ไร้คำจะเอ่ย

1215 คำ
คราวนี้ซ่งหลานไม่เร่งรัด รอจนกระทั่งอีกฝ่ายยืนได้มั่นคงจึงค่อยเดินนำเข้าไปข้างใน เขาย่อมรู้สึกผิดอยู่บ้าง ไม่นึกว่านางจะหวาดกลัวถึงเพียงนั้น เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นอัธพาลที่ชอบรังแกคนไร้ทางสู้ คิดแล้วก็อดตำหนิตนเองไม่ได้ แต่หากตอนนั้นนางขอให้เขาชะลอม้าลงอีกหน่อย มีหรือเขาจะไม่ทำตามที่ร้องขอ ทางด้านเซี่ยหนิง นางย่อมรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นธรรมดา ซ่งหลานเป็นบุรุษอย่างไรกัน ไม่รู้จักถนอมบุปผาเอาเสียเลย แต่เหมือนนางจะลืมคิดไปว่า ซ่งหลานนั้นเกลียดเซี่ยหนิงในนิยายเพียงใด เซี่ยหนิงรู้จุดอ่อนซ่งหลานว่าเป็นคนเชื่อฟังท่านย่า จึงใช้ข้อนี้เรียกร้องความสนใจจากเขาตลอด แต่ครั้งนี้นางไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องถึงหูเขาได้อย่างไร “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” เซี่ยหนิงเงยหน้าขึ้น ผู้ที่เอ่ยทักป็นบุรุษหน้าตาดี สวมชุดสีขาวสะอาดตา เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซ่งหลาน ชายผู้นั้นมีใบหน้าคล้ายซ่งหลานอยู่หลายส่วน เซี่ยหนิงคิดว่าเขาน่าจะเป็นน้องสามซ่งเฉิน ในนิยายไม่ได้กล่าวถึงซ่งเฉินมากนัก รู้เพียงว่าซ่งเฉินนั้นเชี่ยวชาญเรื่องแพทย์ ทว่าไม่ค่อยอยู่เป็นหลักแหล่ง เขาเป็นนักเดินทาง ชอบออกแสวงหาความรู้วิชาแพทย์เพิ่ม และยังมีน้ำใจช่วยรักษาผู้คนยากไร้ “อาเฉิน พี่สะใภ้ของเจ้าไม่สบาย” ซ่งหลานพยักพเยิดมาทางหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง ก่อนเดินปลีกตัวไปอีกทาง โรงหมอขนาดเล็กแห่งนี้เป็นของซ่งเฉิน เน้นรักษาคนยากไร้ ส่วนมากจะปิดมากกว่าเปิด ซ่งเฉินเหลือบมองไปทางพี่ชายคราหนึ่ง ก่อนหันมาส่งยิ้มให้พี่สะใภ้ บุคลิกซ่งเฉินดูเป็นคนใจดีมีเมตตา เขาถามคนไข้สาวที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้ไม่สบายหรือ เจ็บปวดที่ใดบอกข้าได้” ผู้ใดพูดดีกับนาง นางก็พูดดีกลับกับผู้นั้น เซี่ยหนิงยึดคติเช่นนี้ “ที่จริงข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อวานแช่น้ำนานไปหน่อยวันนี้จึงมีไข้ คงเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น...” “ขออภัย” ซ่งเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม รวบปลายแขนกว้างเสื้อของตนเอง แล้วยกหลังมือแตะบนหน้าผากโค้งมนวัดไข้ด้วยท่าทางสุภาพ “พี่สะใภ้มีไข้สูงมากจริงๆ ได้เช็ดตัวหรือกินยาบ้างหรือ” เซี่ยหนิงส่ายหน้า “เช่นนั้นก็เช็ดให้ไข้ลดสักหน่อย เชิญทางนี้” ซ่งเฉินผายมือไปยังหลังม่านที่กั้นไว้เป็นห้องรักษาส่วนตัว เซี่ยหนิงทำตามอย่างว่าง่าย ไม่นานซ่งเฉินก็ตามเข้ามาทีหลังพร้อมผ้าสะอาดและอ่างน้ำในมือ เขาเห็นสีหน้าพี่สะใภ้ดูซีดเซียว ท่าทางก็ดูไร้เรี่ยวแรงจึงอยากให้นางพักเสียหน่อย “พี่สะใภ้นอนพักที่นี่สักครู่ก็ได้ วันนี้โรงหมอคนไม่เยอะ อีกประเดี๋ยวข้าจะนำยาลดไข้มาให้” เซี่ยหนิงพยักหน้า ยอมเชื่อฟังซ่งเฉินแต่โดยดี นางเองก็รู้สึกอยากนอนพักสักตื่นเหมือนกัน ก่อนออกไปซ่งเฉินได้พูดกับนางว่า “เดี๋ยวข้าจะตามพี่ใหญ่ให้เข้ามาช่วยพี่สะใภ้เช็ดตัวแล้วกัน” เซี่ยหนิงรีบส่ายหน้าพัลวัน “ไม่ต้อง!” ซ่งเฉินเลิกคิ้วขึ้น มองพี่สะใภ้อย่างแปลกใจ เซี่ยหนิงเห็นสีหน้านั้นจึงรีบอธิบายเสียงแผ่ว “เอ่อ พอดีว่า..พวกเราทะเลาะกันอยู่” แน่นอนเป็นเขาที่หาเรื่องชวนทะเลาะ นางก็อยู่ของนางดีๆ “เช่นนี้นี่เอง” ซ่งเฉินลากเสียงยาว ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม ถึงว่าเหตุใดท่าทีของสามีภรรยาคู่นี้ถึงดูพิลึกนัก ก่อนออกไปมิวายเอ่ยแซว “พี่ใหญ่คงเป็นห่วงพี่สะใภ้มากจริงๆ ถึงขั้นรีบเร่งควบม้ามายังโรงหมอ” เพราะหากไม่ร้อนใจแล้ว ก็คงไม่พามาถึงโรงหมอ พากลับไปจวนแล้วรอให้หมอไปดูอาการน่าจะสะดวกกว่า สีหน้าของเซี่ยหนิงคล้ายคนอมยาขม นางอยากพูดเสียเหลือเกินว่าเป็นห่วงบ้าอะไรกัน! ครั้นเซี่ยหนิงเช็ดตัวกินยาเสร็จก็ล้มตัวนอนลงบนฟูกทันที นางนำผ้าสะอาดชุบน้ำบิดหมาด พับเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ แปะลงบนหน้าผาก แล้วดึงห่มผ้าขึ้นมาคลุมโปง วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยกับคน... หัวถึงหมอนไม่นานหญิงสาวก็ผล็อยหลับไป รู้ตัวอีกทีก็เป็นซ่งเฉินที่เข้ามาปลุก “พี่สะใภ้กลับบ้านเถอะ ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว” เซี่ยหนิงลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ไม่รู้หลับไปนานเท่าใด แต่พอได้ยินคำว่ากลับบ้าน ตานางก็สว่างโร่ทันที รีบถามชายหนุ่มตรงหน้าว่า “แล้วน้องสามเล่า กลับด้วยกันหรือไม่” เผื่อนางจะได้ขอกลับพร้อมเขา นางกลัวว่าจะต้องควบม้ากลับพร้อมซ่งหลานอย่างเช่นตอนมา “ข้านอนค้างที่นี่ พี่สะใภ้รีบไปเถอะ พี่ใหญ่เรียกรถม้าจอดรออยู่หน้าโรงหมอแล้ว” ได้ยินเช่นนี้เซี่ยหนิงค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย ซ่งเฉินไม่ลืมกล่าวเสริม “หากกลับไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้คนมาตามข้าได้ที่นี่” ฟ้าด้านนอกเริ่มมืด บ้านเรือนระแวงนั้นต่างเริ่มแขวนโคมกันที่หน้าบ้าน เซี่ยหนิงเดินออกมาก็เห็นร่างสูงสวมชุดสีเข้มยืนกอดอกอยู่ข้างรถม้า สีหน้าเขาคล้ายคนท้องผูกอย่างไรอย่างนั้น เหตุใดเขาถึงชอบทำหน้าเช่นนั้นเล่า “กลับ” ซ่งหลานเหลือบตามองหญิงสาว เอ่ยสั้นๆ ก่อนก้าวขาขึ้นรถม้าไป หากไม่คิดว่ามีเรื่องจะคุยกับนาง มีหรือเขาจะเสียเวลารอ เซี่ยหนิงลอบถอนหายใจ ก่อนก้าวตามเขาขึ้นรถม้าไป คนทั้งสองนั่งไหล่ชิดกันอยู่ในรถม้า บรรยากาศชวนอึดอัดไม่น้อย รถม้าคันนี้หาใช่รถม้าของจวนสกุลซ่ง เป็นรถม้าที่ซ่งหลานเช่ามาจึงมีพื้นที่คับแคบ รถม้าวิ่งเหยาะไปตามท้องถนนเรื่อยๆ เซี่ยหนิงพยายามทำตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางแทบหลอมตัวรวมกับผนังแล้ว สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “ท่านช่วยหุบขาหน่อยได้หรือไม่” ซ่งหลานเป็นบุรุษตัวสูงขายาว ยามที่เขานั่งจึงกินพื้นที่มาก ชายหนุ่มนั่งตัวยืดหลังตรง มือหนาวางอยู่บนเข่าทั้งสองข้าง สายตาที่เพ่งมองตรงไปข้างหน้าตวัดมองนางครั้งหนึ่ง เขาพูดคล้ายรำคาญว่า “หรือเจ้าจะเดินกลับ” เซี่ยหนิงไร้คำจะเอ่ยแล้วจริงๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม