การทดสอบร่างกายเริ่มขึ้นโดยเริ่มจากการแบกสัมภาระเดินขึ้นเขาด้วยระยะทางห้ากิโลเมตรภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ญาณิศาเกือบจะถอดใจหลายต่อครั้งหลายครั้งแต่ในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ ด้วยกำลังใจจากผู้ช่วยครูฝึกที่คอยพูดให้กำลังใจและดูแลเธอตลอดทาง
ในที่สุดคุณหมอคนสวยก็มาถึงบริเวณจุดที่ตั้งของหอดูไฟเป็นคนสุดท้าย ภูมินทร์ที่คอยช่วยลุ้นอยู่เงียบๆพาร่างสูงสง่าในชุดเสื้อแขนยาวสีเลือดหมูกับกางเกงสีดำดูหล่อเข้มเต็มพิกัดชนิดที่ว่าพอเห็นหน้าเขาแล้วอาการเหนื่อยหอบแทบหายเป็นปลิดทิ้งก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าสองคนมาใหม่
“เป็นไงบ้าง ไม่มีปัญหาอะไรระหว่างทางใช่ไหม”
ภูมินทร์เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทที่คอยดูแลหญิงสาวระหว่างการเดินทางมาที่นี่ พร้อมกวาดสายตาคมกริบมองมาทางใบหน้าขาวๆที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะพิษแดดไปเป็นที่เรียบร้อนแล้ว
“ไม่มีปัญหาครับหัวหน้า คุณหมอณิศาแกร่งกว่าที่เราคิด”
“อืม…ดี ต่อไปจะเป็นการโรยตัวลงจากหน้าผา คุณหมอเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมขอไปบอกทางโน้นให้เตรียมตัวก่อน”
ประโยคของคนตัวใหญ่ที่บอกกับเธอแล้วหมุนตัวเดินจากไป ทำให้ใบหน้างดงามที่กำลังจะระบายยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่สามารถทดสอบร่างกายด่านแรกได้สำเร็จก็แทบจะหุบลงในทันที ญาณิศาเข้าใจว่าจะไม่มีบททดสอบที่โหดกว่าการเดินเท้าขึ้นเขาแล้วเสียอีก แต่นี่อะไร! ยังไม่ทันได้พักก็ต้องโรยตัวลงจากหน้าผาอีกแล้วงั้นเหรอ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นละครับคุณหมอ ยังไม่พร้อมทดสอบด่านต่อไปเหรอครับ”
หมอกเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนเห็นใจ เมื่อเห็นสีหน้าของคุณหมอคนสวยดูไม่ค่อยดีหลังเดินทางมาถึงเป็นคนสุดท้ายเนื่องจากเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวในดงเสือ ใบหน้างดงามตอนนี้เหมือนคนกำลังอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
“เปล่าค่ะ ณิศาพร้อมแล้วสำหรับการทดสอบด่านต่อไป”
น้ำเสียงตอนพูดเหมือนจะตรงข้ามกับประโยคที่พูด จนทำให้หมอกรู้สึกผิดสังเกตพลางคิดไปว่าบางทีเธออาจจะยังเหนื่อยกับการเดินเท้าขึ้นมาที่นี่อยู่
“แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นละครับ ถ้าคุณหมอยังเหนื่อยอยู่ก็พักก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกกับหัวหน้าให้เอง”
“ณิศาไม่ได้เหนื่อยค่ะ แต่แค่รู้สึกกังวลกับบททดสอบวันนี้นิดหน่อย เพราะณิศาก็เพิ่งจะรู้ว่าวันนี้นอกจากจะต้องแบกสัมภาระเดินขึ้นเขาไกลถึงห้ากิโลเมตรแล้วยังต้องโรยตัวลงจากหน้าผาด้วย ณิศาไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า”
ญาณิศายอมรับเลยว่าตั้งแต่ไปเป็นเเพทย์อาสามาไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้มาก่อน สมแล้วที่แพทย์อาสารุ่นพี่แต่ละคนขอถอยเมื่อผู้อำนวยการพูดถึงผาตะวัน
“การปฏิบัติจริงไม่น่ากลัวหรอกครับคุณหมอ จะมีทีมฝึกซ้อมให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ถ้าเราไม่ไหวจริงๆก็บอกเขาได้เลย”
หมอกบอกกับหญิงสาวเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดกับการทดสอบจนเกินไป ทั้งที่ในใจก็อดเห็นใจเธออยู่ไม่น้อย
“ญิศาจะพยายามแล้วกันนะคะ”
ญาณิศาแบ่งรับแบ่งสู้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อคิดถึงการทดสอบแสนโหดที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้านี้
‘เป็นผู้หญิงคนเดียวกลางดงเสือแบบนี้ จะทำตัวอ่อนแอไม่ได้สินะเรา’
แม้อยากถอนตัวมากแค่ไหนก็คงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะขืนเธอไปบอกเขาว่าเธอขอถอนตัวจากแพทย์อาสากลับกรุงเทพฯ มีหวังได้ถูกคนเถื่อนทานแบบหัวหน้าภูมินทร์จับเธอโยนลงหน้าผาเป็นแน่
“ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม”
เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยถามหลังจากที่ชี้แจงรายละเอียดของการทดสอบร่างกายให้คนในแถวเสร็จสรรพ
“พร้อมแล้วครับ!!”
เจ้าหน้าที่ทุกคนขันรับอย่างพร้อมเพรียงส่งผลให้คนถามที่ทำหน้าที่เป็นคนคุมการทดสอบร่างกายในวันนี้พยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็เดินช้าๆกวาดสายตาสำรวจความเรียบร้อยของคนในแถวแล้วมาหยุดยืนอยู่ข้างร่างบาง ญาณิศาเพิ่งจะตระหนักรับรู้ถึงความสูงของเขาตอนนี้เอง เมื่อเธอยืนเทียบกับเขาแล้วศีรษะเธอถึงแค่หน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ซึ่งมันช่างแตกต่างกันเสียจริง เมื่อยืนใกล้ๆกันแบบนี้เธอรู้สึกตัวเล็กไปเลย
“พร้อมแล้วใช่ไหมครับคุณหมอ”
ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาถามพร้อมวางมือหนาอุ่นๆลงบนไหล่มนแล้วบีบให้กำลังใจเบาๆ ญาณิศาทำได้เพียงพยักหน้ารับชะตากรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อยากกลับบ้าน
ราวๆสามสิบนาทีอาสาสมัครทุกคนเริ่มทยอยปีนลงจากหน้าผาด้วยเชือกทีละคนจนเหลือเธอเป็นคนสุดท้าย ญาณิศาถูกพามายืนตรงขอบหน้าผาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการโรยตัวตามคนอื่นลงไปด้านล่างโดยที่ภูมินทร์เป็นคนจัดการสวมอุปกรณ์ต่างๆให้กับเธอพร้อมกับอธิบายขั้นตอนการโรยตัวไม่หยุด
“เงื่อนเลขแปดสำคัญมากสำหรับนักปีนผาฉะนั้นคุณต้องผูกให้ถูกวิธีและตรวจเช็คให้แน่ใจก่อนที่จะปีนผาหรือโรยตัวลงไปด้านล่าง กรณีที่ปีนเขาอย่าก้มลงมองพื้นล่างแต่ให้ใช้สายตาและความตั้งใจมองเฉพาะจุดที่มือเราจะยึดจับไว้เท่านั้นโดยใช้สติและไหวพริบในการตัดสินใจให้ดี เวลาโรยตัวก็อย่าปล่อยมือที่เป็น Break Hand ออกจากเชือกเป็นอันขาด เข้าใจไหม”
ทว่าเสียงของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้ฝังเข้าไปในหัวสมองของเธอเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรเธอต้องทำได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆญาณิศาก็เข่าอ่อนแทบทรุดลงเมื่อพบว่าด้านล่างที่ต้องโรยตัวไปนั้นสูงกว่าที่คิดไว้มาก
“ไม่ต้องกลัวคุณหมอ ทำตัวตามสบาย เดี๋ยวผมจะลงไปพร้อมคุณหมอเอง”
เสียงทุ้มกระซิบลงมาที่ข้างใบหูเล็กราวกับรู้ว่าเธอกำลังรู้สึกกลัว กับประสบการณ์ใหม่ที่ต้องเผชิญ
“ทำไมฉันต้องฝึกปีนหน้าผาโรยตัวด้วยละคะ ไม่ทำไม่ได้เหรอ”
ญาณิศาเงยหน้าถามชายหนุ่มร่างสูงด้วยความไม่เข้าใจปนส่งสายตาอ้อนวอนเพื่อให้ได้รับความเห็นใจยอมปล่อยเธอไป ทว่าชายหนุ่มกลับส่ายหน้าตอบกลับมาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพราะผาตะวันเป็นพื้นที่พิเศษไม่เหมือนที่อื่น เวลาเข้าไปดับไฟจริงเราอาจจะเจอกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้ ฉะนั้นเราต้องฝึกเอาตัวรอดในเวลาคับขันในทุกช่องทาง”เขาให้เหตุผลอย่างใจเย็น
“แต่ฉันเป็นหมอ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าที่ต้องเข้าไปลุยกับไฟ หัวหน้าไม่จำเป็นต้องให้ฝึกเอาตัวรอดเหมือนทุกคนก็ได้ ถ้าหัวหน้ากลัวฉันจะไปเป็นภาระของคนอื่นก็ไม่ต้องห่วง เพราะฉันสัญญาว่าจะรออยู่แต่ในรถไม่ทำตัวเป็นภาระของใคร”
ญาณิศาบอกกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมสัญญาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมไม่ได้กลัวคุณจะไปเป็นภาระคนอื่น แต่แค่อยากมั่นใจว่าคุณจะปลอดภัยดีตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานอยู่กับผมที่นี่”
คำอธิบายของเขาทำให้ญาณิศาต้องพยักหน้าเข้าใจถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจก็ตามที พร้อมกับตั้งคำถามอยู่ในใจ
‘ทำงานอยู่กับคุณที่นี่มันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอคะ แล้วฉันจะรอดกลับไปหรือเปล่าคะ’
แต่ทั้งนี้เธอก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมา ท่าทางอึดอัดของหญิงสาวทำให้ภูมินทร์นึกขำก่อนจะเอ่ยกับเธอเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
“เอาละ จำทุกอย่างที่ผมสอนและคอยฟังสัญญาณจากผมไว้ให้ดี”
“ค่ะ”
ญาณิศาพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย ไม่ว่าเขาจะพูดหรือสั่งอะไรเธอก็ตอบได้เพียงค่ะแล้วก็ค่ะเท่านั้น เพราะถึงจะปฏิเสธไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี