สายๆของวันนั้น ภูมินทร์ได้เดินทางมาหาเจษฎาบนห้องทำงานส่วนตัวของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึก
“เรื่องที่ฉันขอไป นายจัดเตรียมให้หรือยังวะไอ้หมอ”
ภูมินทร์เอ่ยถามผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อยขณะเอนหลังพิงผนังโซฟาหรูในท่าสบายๆ ในมือจับแก้วไวน์กวาดวนไปมาช้าๆ รอฟังคำตอบอย่างใจเย็น
“เรียบร้อยแล้ว นี่คือประวัติอย่างละเอียดของหัวหน้าแพทย์สนามที่จะไปปฏิบัติงานแทนฉันระหว่างที่ฉันอยู่กรุงเทพฯ นายอยากได้คนไหนไปร่วมงานด้วยก็เลือกเอาได้เลย”
เจษฎาตอบพร้อมกับวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะกระจกเตี้ยๆ ตรงหน้าเพื่อนสนิท เช่นเดียวกับภูมินทร์ที่วางแก้วไวน์ในมือลงพร้อมกับหยิบเอกสารมาพลิกดูแบบผ่านๆราวกับไม่ต้องการอ่านรายละเอียดของนายแพทย์ทั้งหลายที่เพื่อนเลือกมาให้ กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงประวัติพร้อมภาพถ่ายของแพทย์หญิงเพียงคนเดียวในแฟ้ม
“แพทย์หญิงญาณิศา อายุยี่สิบแปดปี สถานะโสดอยู่งั้นเหรอ”
เสียงทุ้มดังผ่านริมฝีปากหยักได้รูป นัยน์ตาคมกริบร้อนแรงดุจเปลวไฟจับจ้องมาที่แฟ้มเอกสารบนโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มที่มุมปากออกมาแบบร้ายๆอย่างพอใจ
‘คุณหมอญาณิศา แล้วเราจะได้เจอกันเร็วๆนี้’
ที่ผ่านมาเขาปฏิเสธการมีชีวิตคู่มาโดยตลอด เพราะสำหรับเขาแล้วการมีอิสระเป็นสวรรค์ของหนุ่มโสด กระทั่งมาวันนี้ดูเหมือนเขาจะหลีกหนีมันไม่ได้อีกต่อไปเมื่อมารดาเอ่ยทวงสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับท่านเมื่อหลายปีก่อนอย่างจริงจัง
ด้วยระยะเวลาที่สมควรแก่การปฏิบัติตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่าน ทว่าเขากลับมีข้อจำกัดทั้งเวลาและงานเลยต้องหาช่องทางที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงสักคนตามเงื่อนไขของมารดา ซึ่งเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจาก หาจากเพื่อนร่วมงาน
นี่เลยเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องให้เพื่อนรวบรวมประวัติแพทย์อาสาของทางโรงพยาลบาลแต่ละคนมาอย่างละเอียดเพื่อให้เขาเลือกหอบหิ้วไปในฐานปฏิบัติการควบคุมไฟป่าที่กำลังดุเดือดในช่วงเดือนเมษายนทางตอนเหนือของประเทศไทยในครั้งนี้
ภูมินทร์จำได้ว่าภาพที่เพื่อนส่งมาเมื่อเช้านั้นมีแพทย์หญิงอยู่ด้วย แถมเธอยังสวยสะดุดตาสะดุดใจเขาจนเผลอจ้องมองภาพเธอนานนับนาที และยิ่งเห็นประวัติอย่างละเอียดของเธอด้วยแล้วเขาก็ยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง
‘ในเมื่อไม่มีเวลาอยู่ในเมืองหาเมียตามเงื่อนไขของคุณแม่ได้ งั้นผมขอเลือกวิธีในแบบฉบับของผมเองก็แล้วกัน รับรองว่าภูมินทร์คนนี้จะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวังอย่างแน่นอน’
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเจอหน้าเธอ แต่เพียงแค่เห็นรูปร่างหน้าตาเธอผ่านภาพถ่ายก็สามารถสร้างความพึงพอใจกับเขาอยู่ไม่น้อย และนั่นทำให้เขาต้องเลือกเธอไปเป็นแพทย์อาสาตามเขาไปอยู่ที่ผาตะวัน อำเภอเล็กๆท่วมกลางหุบเขาในถิ่นทุรกันดารให้ได้
ไม่เพียงเท่านั้นภูมินทร์ยังสาบานกับตัวเองว่าจะใช้เสน่ห์ที่ล้นเหลือของตัวเองมัดใจเธอด้วยระยะเวลาจำกัดเพื่อหอบหิ้วลูกสะใภ้ที่มีดีกรีเป็นแพทย์หญิงเมืองกรุงกลับมาฝากมารดาให้จงได้
“ฉันจะเอาแพทย์คนนี้”
ภูมินทร์เอ่ยเสียงหนักพร้อมกับโยนแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะ เพื่อให้เพื่อนไปจัดการออกคำสั่งให้เธอไปเป็นแพทย์อาสาตามเขาไปผาตะวัน
เจษฎาหย่อนสะโพกนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับเพื่อนก่อนจะหยิบแฟ้มหน้าที่เพื่อนเปิดค้างไว้มาดู ดวงตาคมกริบซ่อนหวานภายใต้กรอบแว่นตาใสๆกวาดไปที่ประวัติและรูปถ่ายของแพทย์หญิงแล้วต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“นี่คือคุณหมอญาณิศา หนึ่งในเด็กกำพร้าที่ได้รับทุนเรียนแพทย์จากโรงพยาบาลของฉัน เธอเพิ่งจบแพทย์มาได้สองปี และเพิ่งกลับมาจากการไปเป็นแพทย์อาสาที่แอฟริกา”
เจษฎาบอกประวัติเพิ่มของเธอให้กับเพื่อนทราบ หลังจากที่เห็นว่าเพื่อนกำลังสนใจแพทย์หญิงคนดังกล่าวเป็นพิเศษ
“กลับมาจากแอฟริกา ใครเป็นคนออกคำสั่งให้เธอไปในที่แบบนั้นวะ เดี๋ยวผิวสวยๆก็ดำหมดพอดี”
ภูมินทร์ขอบ่นแทนเธอเมื่อนึกถึงสภาพอากาศที่ร้อนระอุของที่นั่น แม้จะรู้ดีว่าเจ้าของคำสั่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ก็ตาม
“งานของฉันมีล้นมือ โครงการของโรงพยาบาลก็มีเป็นร้อยเป็นพัน ฉันไม่มีเวลามาเปิดดูประวัติแพทย์ทีละคนหรอกว่าใครจะไปไหนทำอะไรบ้าง แค่ผ่านการคัดกรองจากหัวหน้าแผนกและเลขาก็พอแล้ว”
เจษฎาบอกไปตามความจริง อันที่จริงแล้วถ้าเมื่อวานเธอไม่มารายงานตัวว่ากลับมาจากการไปเป็นแพทย์อาสาเขาก็ยังคงไม่ทราบว่าเธอไปเอฟิริกามา เพราะงานของเขานั้นมีมากจนแทบจะไม่มีเวลาให้กับคนรักสาวที่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมงานแต่ง
“ไปเป็นแพทย์อาสาถึงแอฟริกาก็แสดงว่าคุ้นชินกับอากาศร้อนบ้างแล้วสินะ”
“ก็ประมาณนั้น แต่จะว่าไปแล้วเธอก็ไปมาหลายประเทศแล้วแหละ เพราะเธอเป็นแพทย์หญิงที่เก่งและแกร่งพร้อมลุยกับทุกสถานการณ์ ไม่ทำตัวสำออยกลัวลมกลัวแดดอะไรหรอก อยู่ที่นี่นอกจากเธอจะมีอัธยาศัยดีกับเพื่อนร่วมงานแล้ว เธอยังได้รับฉายาดาวโรงพยาบาลอีกด้วยนะไอ้ภู”
ได้ทีเจษฎาก็อวยนักศึกษาทุนของตัวเองใหญ่ จนคนนั่งฟังอดที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่ได้
“ก็ไหนบอกว่างานยุ่งไม่มีเวลาสนใจอะไรไง แล้วทำไมเรื่องของเธอถึงได้รู้ลึกรู้ละเอียดขนาดนี้ล่ะ”
“ก็เพราะเธอเป็นนักศึกษาทุนที่ฉันคัดเลือกมากับมือไง ไม่ผิดหวังเลยจริงๆที่ได้เธอมาเป็นบุคลกรของโรงพยาบาลเรา”
ท่าทางและน้ำเสียงของคนพูดนั้นเต็มไปด้วยความภูมิอกภูมิใจ ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้
“แต่เดี๋ยวก่อนนะไอ้ภู ฉันละสงสัยจริงๆ”
“สงสัยอะไรก็รีบถามมาสิ เดี๋ยวฉันจะไขความกระจ่างให้เอง”
“ทำไมนายต้องเลือกคุณหมอณิศาด้วย ไหนนายคอยบอกว่าที่ฐานควบคุมไฟป่าต้องการแต่นายแพทย์ที่มีร่างกายแข็งแรงพร้อมลุยภาคสนามได้ตลอดเวลาไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจเลือกเป็นแพทย์หญิงวะ”
เพราะที่ฐานปฏิบัติการควบคุมไฟป่าจำเป็นต้องใช้แพทย์ผู้ชาย โดยเฉพาะแพทย์สนามที่ต้องลุยเขาลุยไฟตามติดเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเข้าพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุฉุกเฉินในป่า ที่เป็นจุดอับของสัญญาณไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นภายนอกได้ แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ภูมินทร์ถึงได้ขอเป็นแพทย์หญิง
“ก็เพราะฉันต้องการหาแฟนไง”
“หะ...หาแฟน!”
เจษฎาหลุดอุทานเสียงหลง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตกตะลึง พร้อมกับถามย้ำเพื่อทดสอบว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดหรือฟังผิดเพี้ยนไป
“อืม! แล้วนายมีปัญหาอะไรถ้าฉันจะจีบแพทย์หญิงในโรงพยาบาลของนาย”
ภูมินทร์ยืนยันเสียงหนักก่อนที่ตอนท้ายจะขมวดคิ้วถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆเมื่อเพื่อนสนิททำสีหน้าราวกับถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ
“ฉันไม่มีปัญหา เพียงแต่สงสัยว่าทำไมคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับการสร้างพันธะชีวิตคู่อย่างนายถึงเกิดอยากมีแฟนขึ้นมา หรือว่าเพราะเพื่อนในแก๊งเรามีเมียกันหมดแล้ว นายก็เลยเหงาอยากมีตามพวกเรา”
เจษฎาปฏิเสธแต่ก็มิวายถามเพื่อคลายความสงสัยให้กับตัวเอง แต่ไหนแต่ไรภูมินทร์หนุ่มเจ้าสำราญไม่เคยคิดจะผูกมัดชีวิตไว้กับการแต่งงาน แต่ทำไมวันนี้ถึงได้พูดถึงเรื่องจีบสาวได้ และสีหน้าท่าทางที่จริงจังของเขาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่พูดเล่นๆ
“เปล่า ฉันแค่อยากแต่งงานมีเมียตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่ก็เท่านั้นเอง”
คำตอบสั้นของเพื่อนทำเอาเจษฎาถึงกับต้องกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้หลุดรอดออกมา แต่ก็มิวายหลุดสีหน้าให้ภูมินทร์จับได้จนถูกมองด้วยแววตาขุ่นขวางอย่างไม่พอใจ
“ขำอะไรมิทราบ”
ภูมินทร์ถามเพื่อนสนิทอย่างฉุนๆที่บังอาจเห็นการอยากทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับบุพการีนั้นเป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นซะแบบนี้ยังไงล่ะเขาถึงไม่อยากจะพูดมากเพราะไม่ชอบกลายเป็นตัวตลกให้เพื่อนมาแซวเอาได้ในทีหลัง
“ก็ขำนายนะสิวะไอ้ภู ทำอย่างกับการจีบสาวให้ติดถึงขั้นยอมตกลงแต่งงานด้วยเป็นเรื่องง่ายอย่างนั้นแหละ และอีกอย่างสาวคนที่นายหมายตาเอาไว้ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอจะตอบตกลงไปเป็นแพทย์อาสาครั้งนี้หรือเปล่า”
เจษฎาบอกกับเพื่อน ประโยคหลังนั้นก็เต็มไปด้วยเรื่องจริงที่ยังคาดเดาเหตุการณ์ไม่ได้ เพราะการจะส่งแพทย์อาสาไปลงพื้นที่สักคนก็ต้องดูความพร้อมในหลายด้าน ที่สำคัญแพทย์คนนั้นจะต้องยินยอมและเต็มใจที่จะไปเอง ถึงแม้เขาจะเป็นผู้อำนวยการก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับจิตใจผู้ใต้บังคับบัญชาได้
“นายก็ทำหนังสือออกคำสั่งเจาะจงไปที่เธอสิ”
ภูมินทร์ไหวไหล่และแนะนำอย่างไม่ยี่หระ คนฟังถึงกับอ้างปากค้าง
“เอ่อ…”
เจษฎาพูดไม่ออกทำหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อได้ยินคำแนะนำของเพื่อนที่ให้ใช้อำนาจผู้อำนวยการในทางที่ผิด
‘แค่เริ่มต้นก็ใช้วิธีบังคับขืนใจเธอแล้ว แบบนี้นายจะจีบหญิงสำเร็จหรือเปล่าวะไอ้ภู’
การเป็นผู้นำสายลุยที่ทำงานแข่งกับเวลาและอันตรายมักทำให้ภูมินทร์ต้องวางแผนและออกคำสั่งเด็ดขาด! กับผู้ใต้บังคับบัญชาจนเคยตัว จนบางทีอาจจะลืมคิดไปว่าคำสั่งเฉียบขาดนั้นใช้ไม่ได้กับเรื่องของหัวใจ
“นายจะทำยังไงก็ได้ ขอแค่ให้เธอยอมไปผาตะวันกับฉัน ส่วนที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ที่เหลือที่ว่านั้นหมายถึงการจีบเธอให้ติด แต่เจษฎาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเสน่ห์แพรวพราวที่ภูมินทร์ไว้ใช้หว่านเสน่ห์ให้สาวๆมาติดกับนั้นจะใช้ได้กับหญิงสาวที่ทั้งสองกำลังพูดถึงอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะญาณิศานั้นมุ่งแต่เรียนและทำงานจนแทบจะไม่มีเวลาสนใจเรื่องความรัก ถึงแม้เธอจะเก่งและแกร่งเรื่องงาน แต่เรื่องของหัวใจนั้นเธอยังไร้เดียงสาอยู่มาก แต่ยังไงเจษฎาก็อยากจะลองเอาใจช่วยเพื่อนดูสักครั้ง
“ก็ได้ ฉันจะลองดู”
“ขอบใจมากเพื่อน แล้วอย่าลืมบอกเธอด้วยว่าล้อหมุนพรุ่งนี้เก้าโมงตรง เดี๋ยวฉันจะมารับเธอที่โรงพยาบาลเอง”
“ดูมั่นใจจังเลยนะว่าเธอจะยอมไปกับนาย”
เจษฎาอดเหน็บเพื่อนไม่ได้ ซึ่งคนถูกเหน็บเพียงยักไหล่ไม่เดือดไม่ร้อน ยกแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้นมาจีบต่ออย่างสบายอารมณ์
……………………………………………………..