หกโมงเช้าแล้ว พระพายเหลือบมองนาฬิกาที่แสดงผลเป็นตัวเลข ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน เสียงถอนใจดังขึ้นก่อนที่จะลุกและบิดตัวซ้ายขวาสลับกันไป การออกกำลังกายหลังจากตื่นนอน ได้ผูกติดกับชีวิตประจำวันของพระพายมาตั้งแต่วัยเยาว์ หลังๆ การฝึกโยคะแบบพื้นฐาน ช่วยให้ร่างกายได้เตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน การที่เลือดไหลเวียนทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ทั้งๆ ที่อดนอนมาตลอดทั้งคืน หลังจากบริหารร่างกายอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เหงื่อที่ซึมอยู่ตามร่างกายทำให้ร่างกายร้อนละอุขึ้น หัวใจเต้นแรง พระพายมองผ่านบาน หน้าต่างออกไปทางด้านหน้าตัวบ้าน ซึ่งบ้านฝั่งตรงข้ามกำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว โดยเฉพาะเด็กๆ ที่กำลังเตรียมตัวจะไปโรงเรียนกัน พระพายยิ้มน้อยๆ กับภาพที่ได้เห็นในเกือบทุกเช้า
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่กุล” ระหว่างรอให้เหงื่อที่ซึมออกมาแห้งสนิทก่อนที่จะอาบน้ำชำระร่างกาย พระพายจึงโทรศัพท์หากุลธิดา
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ ตื่นเช้าไปนะคะ เมื่อคืนไปงานทำไมถึงตื่นเช้าจัง” กุลธิดาถาม รู้สึกแปลกใจที่พระพายโทรศัพท์มาหาตั้งแต่เช้าตรู่
“ยังไม่ได้นอนเลยค่ะ ฝุ่นเข้าไปที่โรงแรมสายหน่อยนะคะ เบื่อๆ อยาก ขับรถไปนั่งที่ไหนสักพัก รบกวนพี่กุลช่วยดูงานแทนฝุ่นด้วยนะคะ” พระพายรู้สึกเบื่อจริงอย่างที่บอกกับกุลธิดาออกไป
“คุณไต้ฝุ่นมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า มาอยู่ที่คอนโดกุลดีกว่านะคะ อย่าขับรถไปไหนคนเดียวเลย สวนริมน้ำวันธรรมดาเงียบสงบมากค่ะ” กุลธิดาเสนอความคิดเห็น รู้สึกเป็นห่วง หากอยู่ที่คอนโดซึ่งเป็นสถานที่พักของเธอนั้น น่าจะปลอดภัยกว่า
“ที่จริง บ้านตัวเอง น่าจะเป็นที่ๆ ปลอดภัยและสบายใจที่สุดมากกว่านะคะ แต่” พระพายไม่ได้พูดต่อ เพราะรู้ดีว่า กุลธิดาเข้าใจดีกับเรื่องภายในครอบครัวของเธอ
“ไม่ดื้อนะคะ มาที่นี่ เตรียมกุญแจห้องมาด้วยล่ะ เผื่ออยากขึ้นไปงีบ เดี๋ยวพี่เตรียมอาหารไว้ให้ สัญญานะว่าจะไม่ไปไหน ถ้าไม่
ลำบากนัก โทรศัพท์หากุล ตอนที่ไปถึงแล้ว ได้ไหมคะ กุลเป็นห่วงนะคะ” กุลธิดาถอนใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าโดนบิดามารดาบ่นมา
พระพายไม่น่าจะออกอาการเบื่อหน่ายมากขนาดนี้ นี่แถมยังอดหลับอดนอนมาทั้งคืนอีกด้วย
“ขอบคุณค่ะ ที่เป็นห่วง ถ้าเกงานทั้งวัน พี่กุลจะเบื่อฝุ่นไหม” พระพายพูดงึมงำอยู่ในลำคอ
“กี่วันก็ได้ เสร็จงานเรื่องโรงแรมที่สร้างใหม่ กุลว่า คุณไต้ฝุ่นไปพักผ่อนยาวๆ สักเดือนสองเดือนดีกว่านะคะ ทำงานหนักมาสอง
สามปีแล้ว ไม่ค่อยได้พักเอาเสียเลย” กุลธิดายิ้ม เมื่อนึกถึงความตั้งอกตั้งใจทำงานของพระพาย เมื่อได้รับมอบหมายจากครอบครัวให้ดูแลการก่อสร้างโรงแรมใหม่ ถึงแม้จะอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่งานตั้งมากมาย ต้องผ่านการตัดสินใจจากผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว และ
ยังเรื่องวุ่นวายอีกมากมายกับพนักงานโรงแรมรวมถึงลูกค้า ซึ่งบางทีก็สร้างปัญหาให้ต้องไปจัดการด้วยตัวเอง
“ไม่เล่ารายละเอียด กุลคงต้องไปอ่านจากหน้าหนังสือพิมพ์เช้านี้หรือเปล่าคะ” กุลธิดาคาดเดาเอาว่า น่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นจากงานเลี้ยงเมื่อคืน ซึ่งเจ้าตัวออกอาการงอแงไม่อยากไป
“เอาไว้ฝุ่นรายงานให้พี่กุลทราบค่ะ ตอนนี้ขอตัวไปอาบน้ำก่อนคงมีแค่พี่กุลที่รักและเป็นห่วงฝุ่นจริงๆ” พระพายถอนใจ เมื่อนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
“มีอีกตั้งหลายคน คุณพ่อคุณแม่ คุณศศิ เพื่อนสนิทสมัยเรียนอีก อ้อคุณที่มาส่งอีกคนเมื่อวาน รายนั้น ถ้าไม่ห่วงใย คงไม่ขับรถมาส่งด้วยตัวเองหรอกมั้งคะ” กุลธิดายิ้ม เมื่อนึกถึงความมีน้ำใจของพิมพ์พลอย
“ที่มีน้ำใจ เพราะฝุ่นสนิทกับพี่ศศิมากกว่าค่ะ เค้าคงเกรงใจพี่ศศิ ฝุ่นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวถึงคอนโดของพี่กุลแล้ว ฝุ่นโทรฯ ไปหาอีกที ฝุ่นรักพี่กุลมากนะคะ อย่าทิ้งฝุ่นล่ะ” การไม่ได้รับความสนใจจากอีกคน ทำให้รู้สึกสูญเสียความมั่นใจไปค่อนข้างมาก หากวันหนึ่งเกิดไม่มีกุลธิดาขึ้นมา นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไร กุลธิดาเป็นทั้งพี่ เป็นทั้งที่ปรึกษา ตั้งแต่อายุยังน้อย จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือ คอยแนะนำและช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในหลายๆ เรื่อง
“เดี๋ยวคุณไต้ฝุ่นแต่งงาน ขี้คร้านจะลืมกุลล่ะสิ” กุลธิดาพูดยิ้มๆ
“ถ้าฝุ่นไม่แต่ง พี่กุลว่า พ่อกับแม่จะว่าอย่างไรคะ” พระพายถามนำ
“ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เรื่องนั้นค่อยว่ากัน เมื่อถึงเวลา คิดไปก่อนจะทำให้กังวลและเครียดมากกว่าเดิม โทรศัพท์หากุลนะคะ ถ้า
ถึงคอนโดแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณพี่กุล” พระพายยิ้ม กับความห่วงใยที่กุลธิดามีให้เสมอมา กุลธิดาเป็นคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า ตัวเธอนั้นมีค่า
“คุณฝุ่นก็ช่างล้อกุลจริงๆ นะคะ” กุลธิดายิ้ม เมื่อได้ยินน้ำเสียงกวนๆ ของปลายสาย ถึงแม้จะรู้ว่า กำลังรู้สึกไม่สบายใจ แต่การ
ได้พูดคุยหยอกล้อแบบนี้ ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
พิมพ์พลอยพลิกตัวไปมา ยืดเส้นยืดสายด้วยการบิดขี้เกียจ แสงสว่างที่ส่องผ่านม่านเข้ามาทำให้ต้องพยายามหยีตา เพื่อตอนรับเช้าวันใหม่ที่ตัวเธอนั้นยังไม่อยากให้มาถึง เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าจากเครื่องโทรศัพท์ดังขึ้น พิมพ์พลอยเอื้อมมือไปหยิบมาอ่านอย่างเร็ว คิดว่าเป็นข้อความจากใครบางคน แต่รอยยิ้มก็จางลง เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจาก ชัยพร
“หยุดนอนได้ หนึ่งวัน นายอนุญาต” ข้อความสั้นๆ จากชัยพรทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์
ขึ้นมาตรวจเช็คข้อ ความอีกครั้ง
“ไม่มี คงลืมง่าย สินะ” รอยยิ้มของพิมพ์พลอยจางลง เมื่อตรวจดูข้อความจนครบ
พระพายขับรถช้าๆ เพราะไม่ได้รีบร้อนเหมือนทุกวัน ก่อนออกจากบ้านบอกกับบิดาและมารดาว่า สองสามวันนี้จะพักที่โรงแรม
เพราะมีงานอีกหลายเรื่องต้องจัดการ ท่านทั้งสองชินกับการที่ลูกสาวกลับบ้านเพียงเดือนละไม่กี่วัน ส่วนใหญ่จะพักที่โรงแรม ซึ่ง
สะดวกและปลอดภัยกว่า หากจะต้องขับรถกลับบ้านในยามค่ำมืดดึกดื่น
“พี่คะ ต้มเลือดหมู ไม่ใส่กระเทียมเจียวนะคะ” เสียงสั่งอาหารดังขึ้นพร้อมๆ กัน พระพายรู้สึกว่า ตัวเองคงจะประสาทหูเสื่อม
เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นคล้ายกับเสียงของพิมพ์พลอยมาก
“งานการไม่ทำหรือไง มากินข้าวไกลขนาดนี้” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งและมานั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพระพาย ซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมอง
“ขี้เกียจ” พระพายพูดเพียงแค่นั้น
“ดีเนอะ ขี้เกียจก็ไม่ต้องไปทำงาน พลอยย้ายโต๊ะดีกว่า จะได้ไม่กวนใจคนที่นั่งจิ้มโทรศัพท์ไม่สนใจชาวโลกแบบนี้” พิมพ์พลอยยิ้ม เมื่อพระพายเงยหน้ามามองสบตาด้วย และวางโทรศัพท์ลงในทันที
“จะว่าอะไรก็ว่ามา ทีเดียว จะตั้งใจฟัง” พระพายพูดเสียงเข้ม
“เป็นอะไรไป อารมณ์เสียแต่เช้า ทั้งๆ ที่ควงหนุ่มหล่อเมื่อคืนนี้”
“แยกโต๊ะก็ดีนะ ฝุ่นเบื่อจะฟังเรื่องเมื่อคืน ไหนๆ มันก็ผ่านไปแล้ว พลอยจะมาสนใจ มาพูดถึงอยู่ทำไมกัน” พระพายพูดเสียง
เรียบ แต่แววตาที่มองมานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้า พิมพ์พลอยรู้สึกได้ว่า เหมือนคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีอะไรในใจ
“อ๊ะ แบ่งให้ จะได้อารมณ์ดี” พิมพ์พลอยตักเลือดหมูใส่ในชามของพระพายหลังจากคนขายนำมาวางให้
“รับข้าวด้วยไหมครับ” พ่อค้าถามทั้งสองสาว
“สองถ้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ” พิมพ์พลอยพูดจบ ก็หันมายิ้มแป้นให้กับคนที่นั่งหน้านิ่งๆ ไม่ได้ใส่ใจ เริ่มรับประทานอาหารของตัวเอง
ข้าวถ้วยหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าของพระพายที่มองดูอย่างไม่ได้สนใจนัก พิมพ์พลอยด้วยความอยากแกล้ง หลังจากตักข้าวครึ่งถ้วยใส่ในชามต้มเลือดหมูของตัวเองแล้ว จึงเอื้อมตักอีกครึ่งถ้วยใส่ลงในชามของพระพายที่กำลังจ้องเขม็ง
“ฝุ่นไม่ชอบแบบนี้” พระพายพูดขึ้น
“ลองดูสิ อร่อยดีนะ เหมือนข้าวต้ม ยังไม่ลองเลย ทำไมถึงคิดว่าจะไม่ชอบล่ะ” พิมพ์พลอยพูดยิ้มๆ ใบหน้าเรียบนิ่ง ตาที่จ้องเขม็งอยู่นั้นดูน่ารักดี
“ไม่ล่ะ ฝุ่นอิ่มแล้ว”
“อาหารเช้าสำคัญนะ” พิมพ์พลอยอมยิ้ม ลุกขึ้นเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ พระพาย ซึ่งขยับตัวหนีเล็กน้อย
“รู้”
“แค่นี้ก็งอน พลอยไม่ได้สัญญาสักหน่อยนะ ว่าจะโทรฯ ไปรายงานตัวจะมาโกรธพลอยไม่ได้ เอ๊ะหรือสัญญานะ” เห็นแววตาที่จ้องมองมาทำให้รู้สึกผิด เพราะจากที่เห็นอาการของพระพายก็พอจะดูออกว่า คงเป็นห่วง
“ความเป็นห่วงของฝุ่น มันคงไม่ได้สำคัญอะไรกับพลอย ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร ถ้าอย่างนั้น อย่าล้อเล่นอย่างเมื่อคืนอีก อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ฝุ่นจะอยู่ห่างๆ พลอย” พระพายพูดจบ ก็รีบลุกออกไป
“พี่คะ สตางค์วางอยู่ที่โต๊ะนะคะ” พิมพ์พลอยบอกกับเจ้าของร้าน
พิมพ์พลอยขับรถตามพระพายมา ค่อนข้างห่างพอสมควร ชะลอรถเมื่อเห็นรถที่ขับนำหน้ามาเลี้ยวเข้าไปยังคอนโดหรูริมแม่น้ำ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงขับตามเข้าไปด้านใน ลมพัดเย็นสบาย พิมพ์พลอยเลือกมาจอดรถ ห่างจากพระพาย ซึ่งคิดว่า คนที่ขับเข้ามาก่อน
คงไม่ทันได้สังเกตเห็นรถของเธอ
“อะ ไฮโซ กินกาแฟแก้วละห้าสิบบาทได้ป่าว” พิมพ์พลอยอมยิ้ม เมื่อพระพายหันมาในทันทีที่ได้ยินเสียงเธอ ออกอาการตกใจ
เล็กน้อย
“ฝุ่นไม่สนุกด้วยนะ” พระพายพูด แล้วหันกลับไปมองเรือที่แล่นผ่านไปมาบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณที่นั่งอยู่เป็นสวนของคอนโดมีเนียม ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำ บรรยากาศดี พระพายเคยมานั่งที่นี่บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก เพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของ
กุลธิดา
“ขอโทษ ที่ไม่ได้โทรฯ ไปหาเมื่อคืน รับแก้วกาแฟหน่อยนะ พลอยจะได้สบายใจ” พิมพ์พลอยนั่งลงข้างๆ ยื่นแก้วกาแฟไปตรง
หน้าพระพาย ซึ่งหันมาชำเลืองมองพิมพ์พลอยเล็กน้อย
“ก็ได้ สบายใจขึ้นหรือยัง” พระพายถาม หลังจากรับแก้วกาแฟมา แล้วนำไปวางไว้ข้างๆ ตัว
“ง่วงหรือเปล่า เห็นนั่งหาวอยู่” พิมพ์พลอยถามเสียงอ่อยๆ
“อือ”
“หนุนตักพลอยก็ได้ ถือเป็นการไถ่โทษ” พิมพ์พลอยยิ้มจ๋อยๆ สบตากับคนที่หันมามอง พระพายรู้สึกสับสน ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนี้ ทำไมถึงต้องออกอาการงอนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำไมถึงต้องใส่ใจกับเพียงแค่การที่อีกคนไม่ได้โทรศัพท์หาเมื่อคืนทำไมถึงนอนไม่หลับ
“ขาหักพอดี” พระพายพูด แววตาที่ดูเศร้าก่อนหน้านี้ คลายลงไปบ้าง นั่นทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกสบายใจขึ้น
“ถ้าฝุ่นหายงอน พลอยยอมขาหัก” พิมพ์พลอยพูดจบก็ยิ้มๆ จ้องมองไปยังท้องน้ำตรงหน้า ไม่กล้าที่จะหันไปมองสบตา กับคนที่กำลังจ้องมองอยู่ และกำลังล้มตัวลงนอนหนุนตักของเธอ เก้าอี้ที่นั่งอยู่คล้ายเป็นเตียงสำหรับนอนอาบแดด ซึ่งยาวพอที่พระพายจะเหยียดขาออกไปได้อย่างสบาย
“ขอบคุณ” เสียงงึมงำของพระพายทำให้พิมพ์พลอยยิ้มออก วางแก้วกาแฟลงข้างๆ ตัว ทำท่าจะเอื้อมมือไปจับที่ศีรษะของพระพาย แต่ก็ยั้งเอาไว้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวางลงอย่างแผ่วเบา บนเส้นผมที่นุ่มนวลดุจแพรไหม พระพายเงียบไป พิมพ์พลอยยังคงวางมือไว้ที่ศีรษะของคนที่หลับตาพริ้มอยู่ที่ตัก หลังจากลูบศีรษะของพระพายได้สักพัก รอยยิ้มของคนนอนหลับนั้นสร้างความรู้สึกสุขใจให้กับพิมพ์พลอยได้อย่างน่าประหลาด
“สวัสดีค่ะ คุณกุล” พิมพ์พลอยได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ เจ้าของเครื่องหลับไปแล้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ หลังจากเห็นชื่อที่ปรากฏ
อยู่ที่หน้าจอ
“เอ่อ สายของคุณไต้ฝุ่น หรือเปล่าคะ” กุลธิดาถาม หลังจากได้ยินเสียงปลายสายทักทาย
“พลอยเองค่ะ คุณไต้ฝุ่นหลับอยู่ค่ะ” พิมพ์พลอยกระซิบกระซาบบอก
“เสียงลม อยู่ที่สวนริมน้ำหรือเปล่าคะ” กุลธิดายิ้ม เมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร แถมยังรับโทรศัพท์แทน ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม
ถึงได้ไปอยู่ด้วยกันที่นั่นได้ แต่ถ้าบอกว่า พระพายหลับอยู่ ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร
“ใช่ค่ะ สวนริมน้ำของคอนโดค่ะ” พิมพ์พลอยบอก
“ถ้าอย่างนั้น กุลฝากคุณไต้ฝุ่นด้วยนะคะ เห็นว่าไม่ได้นอนทั้งคืน”
“ไม่ได้นอนทั้งคืนเลย หรือคะ ตายล่ะ” พิมพ์พลอยยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น เมื่อได้ยินสิ่งที่กุลธิดาบอก
“ต้นเหตุอยู่นี่เอง ฝากด้วยนะคะ กุลขอไปทำงานก่อน ฝากบอกคุณไต้ฝุ่นด้วยนะคะ ว่า งานทางนี้ไม่มีอะไรเร่งด่วน ไม่ต้องเข้า
มาก็ได้ค่ะ” กุลธิดายิ้ม กำลังนึกภาพตามว่า พระพายหลับอยู่ที่ไหนบริเวณสวนริมแม่น้ำแห่งนั้น
“คือ คุณกุลค่ะ พลอยไม่ใช่” ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กุลธิดาก็วางสายไปเสียแล้ว พิมพ์พลอยกลับมามองคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ที่ตักอีกครั้ง รอยยิ้มจางๆ นั้น ทำให้พิมพ์พลอยยิ้มออก รวมถึงเรื่องที่ได้ยินมาจากกุลธิดาว่า คนที่นอนหลับอยู่นี้ ไม่ได้นอนเลยทั้งคืนโทรศัพท์ของเธอเอง ถูกหยิบขึ้น พิมพ์พลอยค่อยๆ ขยับตัวเกรงว่าจะทำให้พระพายตื่น แล้วภาพของคนที่หลับอยู่ก็ถูกบันทึกไว้ พิมพ์พลอยยิ้มกับภาพที่ได้เห็นบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง
“เวลาหมดฤทธิ์ ก็น่ารักดีนะ แม่พายุ” พิมพ์พลอยยิ้ม เมื่อแอบเรียกพระพายว่า แม่พายุ ลมพัดเย็นสบาย พระพาย คือ ชื่อของลม ซึ่งทำให้คนที่นั่งอยู่รู้สึกเย็นใจและสุขใจกับรอยยิ้มน่ารักๆ ของคนที่หลับอยู่ รวมถึงภาพบรรยากาศริมแม่น้ำที่แสนสวยงาม