“ยิ้มอะไรวะไอ้ปุณณ์ ได้เบาะแสเพิ่มเติมหรือไง”
“เปล่าหรอก ฉันไปก่อนนะ มีเรื่องต้องสะสางอีกเยอะ” หนุ่มรูปหล่อยกมือขึ้นโบกลาทีหนึ่ง แล้วเดินยิ้มออกจากห้องรักษาความปลอดภัยไป
“ทีเงินปิดปากคนอื่นมีให้เป็นแสน กับฉันให้แค่สามพัน เธอนี่น่าสนใจชะมัดเลย” ปุณณ์พึมพำขณะเดินลงบันไดเพื่อไปยังลานจอดรถ แม้ความหวังในการตามหาตัวแม่นางฟ้าสามพันของเขาจะริบหรี่แค่ไหน แต่ปุณณ์ก็เชื่อว่าตนจะต้องตามหาเธอเจอจนได้
…
ตลอดระยะเวลาสองเดือนนับจากวันที่ปุณณ์ได้พบกับหญิงสาวปริศนา เขาทั้งรู้สึกโหยหาและต้องการสัมผัสผิวกายขาวนวลเนียนที่ตนเคยได้ฟอนเฟ้น ทรวดทรงองค์เอวทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอนั้นหลอกล่อให้ปุณณ์ตกเป็นทาสรักอย่างห้ามไม่อยู่
เป็นผู้หญิงที่พิเศษอะไรเช่นนี้
“ผมไปสอบถามเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านอาหารและโรงแรมที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดมาให้เรียบร้อยแล้วนะครับเจ้านาย ทุกที่บอกเหมือนกันหมดว่าถูกข่มขู่ให้ลบทิ้งจนเกลี้ยงเลยครับ ไม่มีเหลือแม้แต่ภาพเดียว ผมเองก็จนปัญญาแล้วครับ” วาทิตรายงานผลที่ตนและทีมบอดีการ์ดไปตามสืบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ปุณณ์โบกมือไล่ทีหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารับรู้แล้ว ก่อนจะนั่งเหม่อลอย ขบคิดกับตัวเองว่าจะมีวิธีไหนหรือไม่ที่ทำให้เขาได้พบเจอกับเธออีกครั้ง
“ไอ้ปุณณ์นะไอ้ปุณณ์ ชอบมากขนาดนี้ แต่ดันจำหน้าไม่ได้…” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองแผ่วเบา ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนจุกจิกถึงขั้นรำพึงรำพันอะไรแบบนี้ออกมาได้ แต่ช่วงนี้สังเกตได้ว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนเกินขอบเขตอย่างน่าประหลาดใจ
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ริมระเบียง ตั้งใจจะเดินกลับเข้าห้องพักของตนเอง ทว่าจู่ ๆ โลกทั้งใบก็เหมือนจะเหวี่ยงแรงขึ้นจนเขาเดินเซ
เพล้ง!
ชายหนุ่มหน้ามืดส่งผลให้มือหนาปัดถูกแจกันที่วางประดับอยู่บนโต๊ะริมระเบียงหล่นลงพื้นจนแตกกระจาย เสียงนั้นทำให้วาทิตรีบรุดกลับขึ้นมาอีกหน
“เจ้านาย! เกิดอะไรขึ้นครับ!” ผู้ช่วยส่วนตัวพ่วงตำแหน่งบอดีการ์ดหนุ่มรีบพยุงแขนพาร่างของผู้เป็นนายให้ค่อย ๆ เดินไปนั่งที่โซฟาข้างใน อุณหภูมิร่างกายของปุณณ์สูงขึ้นจนผิดปกติ
“ไม่เป็นไร แค่หน้ามืด” ปุณณ์ตอบอย่างประหยัดคำ เขาเอนหลังพิงโซฟาเหมือนคนซังกะตาย “ขอยาพาราก็พอ ฉันดูแลตัวเองได้ ทำตามที่สั่งเถอะ”
แม้จะเป็นห่วงเจ้านายของตนมากแค่ไหน แต่วาทิตก็ทำได้เพียงก้มหัวน้อมรับคำสั่งนั้น แล้วรีบออกจากห้องเพื่อไปนำยามาตามคำสั่งของปุณณ์ทันที
หลังจากคล้อยหลังลูกน้องได้ไม่นาน สิ่งที่อึดอัดคั่งค้างอยู่ในอกก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน ปุณณ์เด้งตัวขึ้นจากโซฟาแล้วรีบรุดไปยังห้องน้ำทันที ชายหนุ่มอาเจียนออกมาอย่างหมดไส้หมดพุง สภาพร่างกายที่เคยแข็งแรงกำยำนั้นอ่อนปวกเปียกลงอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งลงบนพื้นแล้วหอบหายใจออกมา
“ยาพาราได้แล้วครับ…เจ้านาย!” วาทิตวางยาที่ตนลงไปหยิบมาจากแม่บ้านไว้บนโต๊ะแล้วรีบวิ่งไปดูอาการผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว “ให้ผมเรียกรถพยาบาลเถอะนะครับ อาการเจ้านายดูไม่ไหวเลยครับ”
ปุณณ์ไอออกมาเบา ๆ สีหน้าพะอืดพะอมเหลือทน เขารีบยกมือขึ้นปราม “ไม่เป็นไร ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก เรียกอาหมอมาก็พอแล้ว”
วาทิตจำใจต้องรับคำสั่งนั้นอีกครั้ง เขาพาเจ้านายของตนมานอนพักบนเตียง แล้วต่อสายตรงหาแพทย์ประจำตระกูลศิรินน์ทันที
ใช้เวลาเพียงครู่แพทย์วัยหนุ่มใหญ่ก็เดินทางมาถึงบ้าน ปุณณ์ยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยความเคารพ เพราะคนคนนี้คือคนสนิทของเจ้าสัวกษิดิษ ผู้เป็นบิดาของตน
“สวัสดีครับอาหมอ ผมไม่ค่อยสบาย ต้องรบกวนอาหมอช่วยดูแลหน่อยนะครับ” ปุณณ์ยิ้มออกมาฝืด ๆ ทั้งเขาและแป้งหอมนั้นเป็นหลานรักของอาหมอมาก ๆ ไม่ว่าจะเจอกันกี่หนก็ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ในสายตาของแพทย์หนุ่มใหญ่ผู้นี้เสมอ
“โหมงานหนักหรือไงปุณณ์ ถึงได้ล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้” นายแพทย์ทรงพลเอ่ยเสียงนุ่มนวลเหมือนดั่งภาพลักษณ์ “ตอนวาทิตโทร.ไปบอกอาตกใจแทบแย่”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับอา ช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยได้โหมงานหนักนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เป็นไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อกี้ก็อ้วกจนหมดแรงแทบจะซบชักโครก ตลอดทั้งเดือนผมไม่มีอาการอะไรเลย แต่วันสองวันนี้อยู่ ๆ ก็เป็นครับ” ปุณณ์บอกเล่าอาการของตนเองคร่าว ๆ
“อยู่ ๆ ก็เป็น ไม่น่าเป็นไปได้ ไปทำอะไรมาหรือเปล่าปุณณ์ ดื่มหนัก?” แพทย์หนุ่มใหญ่เดาอาการของหลานชายแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของปุณณ์เหมือนเด็กที่โดนจับได้เวลาทำผิด
“เปล่านะครับ” ปุณณ์ประท้วงออกมาเบา ๆ แล้วเงียบลงเมื่ออาหมอวัดการเต้นของหัวใจผ่านเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่นานนักก็ถอยออก
“กินยาตามที่อาสั่ง งดดื่มเหล้างดเที่ยวกลางคืนก่อนนะช่วงนี้ ร่างกายเราภูมิตก เหมือนคนแพ้นั่นแพ้นี่ ถ้ามีอาการอะไรเพิ่มเติมก็รีบบอกอานะปุณณ์” ทรงพลยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ขณะที่หันหลังไปคุยเรื่องการจัดยาให้วาทิตฟัง
ปุณณ์หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะตัวเองไม่เคยป่วยแบบนี้มาก่อน พอป่วยหนึ่งครั้งก็เลยรู้สึกเหมือนกับหนักมาก แถมยังหงุดหงิดแปลก ๆ อีก
แต่ก่อนที่ผู้เป็นอาจะได้เอ่ยลา กลิ่นบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูกของปุณณ์
“กลิ่นดอกไม้…อาฉีดน้ำหอมเหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น เพราะนี่เป็นกลิ่นที่เขารู้สึกคุ้นเคยมาก ๆ
คุ้นว่ามันเคยอยู่บนตัวของแม่นางฟ้าสามพันที่เขาเฝ้าตามหามาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
“อ้อ ไม่ใช่หรอกปุณณ์ กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มใหม่น่ะ พอดีภรรยาอาเขาเพิ่งเคยใช้ครั้งแรก เป็นกลิ่นมะลิผสมกุหลาบอ่อน ๆ เลียนแบบแบรนด์น้ำหอมอะไรสักอย่างนี่แหละ อาก็ไม่ทันได้ฟัง” ทรงพลตอบพลางยกสาบเสื้อตนขึ้นดมบ้าง “ฉุนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่เลย” ปุณณ์ตอบแล้วยิ้มออกมา “ออกจะตรงข้ามเสียด้วยซ้ำครับ”
…
หลังจากที่แพทย์ประจำตระกูลกลับไป ปุณณ์ก็ออกคำสั่งให้วาทิตเกณฑ์ลูกน้องไปซื้อต้นมะลิและกุหลาบมาลงปลูกในสวนหย่อมหน้าบ้านทันที เพียงแค่ได้กลิ่นหอมอบอวลคล้ายคลึงกับน้ำหอม Chanel No.5 ที่ทิ้งเอาไว้ติดปลายจมูกเมื่อเดือนก่อน ปุณณ์ก็รู้สึกมีความสุขและสดชื่นขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กลิ่นของพรรณไม้สองชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกสบายตัวมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีอาการพะอืดพะอม คลื่นไส้ และเวียนหัวแทรกอยู่ทั้งวันเป็นระยะ ๆ ก็ตาม แต่เมื่อได้ออกมายืนสูดกลิ่นหอมพวกนี้ อาการก็ดีขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว
กระนั้นเวลากินข้าวก็ยังคงไม่สงบสุขสำหรับปุณณ์ แม้แม่ครัวรสมือเยี่ยมหลายคนจะร่วมมือกันรังสรรค์อาหารรสเดิมที่ปุณณ์เคยโปรดปรานขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะ แต่เจ้านายหนุ่มเป็นอันต้องวิ่งไปอาเจียนออกตลอด
จนกระทั่งเข้าสู่เดือนที่สามของการตามหาตัวหญิงสาวนิรนามที่ทิ้งรสรักไว้ให้ปุณณ์หวนนึกถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ ปุณณ์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความตั้งใจที่ว่าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์และกลิ่นหอมของดอกมะลิที่เคล้าคลอกับดอกกุหลาบ
ทว่าเพียงแค่เท้าแตะที่พื้น เขาก็ต้องพบกับความปวดหนึบที่แล่นปราดเข้ามาบริเวณศีรษะ มันปะทุอย่างรุนแรงพร้อมกับความพะอืดพะอมในลำคอ ชายหนุ่มวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำจนหมดไส้หมดพุงเป็นครั้งที่เท่าไรของสัปดาห์ก็ไม่อาจนับได้
ภาพสุดท้ายที่ชายหนุ่มเห็นก่อนหมดสติคือวาทิตที่เดินเข้ามาพร้อมกับยาในมือ