บทที่ 6 แค่รู้จักท่าน ชะตากรรมของข้าก็เลวร้ายมากพอแล้ว
ปลายจมูกของกู่เย่าไป๋ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มาจากห้องด้านข้าง เป็นกลิ่นหอมของเกสรดอกไม้ บางชนิดหายากยิ่งกว่าทองคำพันชั่ง บางชนิดหาง่ายตามภูเขา
เขาหรี่ตามองผนังห้องขวามือ เขม็งจ้องราวกับมองทะลุผ่านกำแพงได้
ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นจางๆ ในที่สุดดวงตาลุ่มลึกอ่านยาก เวลานี้คล้ายมีเกลียวคลื่นระลอกหนึ่งซัดกระทบฝั่งแล้ว
หวนนึกนึกเมื่อหลายวันก่อน เขาได้รับสารจากฝู้กุ้ยเซียนน้องร่วมสาบานว่าจะมีลูกศิษย์คนเล็กของนางเข้ามาเรียนรู้วิชายังสำนักหมื่นพิษของเขา ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าสำนัก ความปลอดภัยของเด็กสาวคนนี้จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรับผิดชอบ...
แต่เขาไม่นึกเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะโง่งม และสมองช้าได้มากถึงเพียงนี้
...ช่างประไร เขามิได้รับปากกับฝู้กุ้ยเซียนว่าจะดูแลลูกศิษย์ของนางเสียหน่อย ไยต้องเป็นกังวลกับความปลอดภัยของนาง ควรปล่อยให้กลิ่นหอมประหลาดนั่น ดึงดูดบุรุษชั่วช้าสามานย์เข้าหา นางจะได้รู้จักระแวดระวังภัยมากกว่านี้
ยุทธภพย่อมมีคนดีคนเลวประปนกันไป นางช่างอ่อนหัดเกินไปแล้ว... ชายหนุ่มหรี่ตา ไม่เพียงแค่อ่อนหัด นางยังโง่งมอีกด้วย
“หึ สำนักบุปผาหยกไม่สมควรมีศิษย์ซื่อบื้อเช่นนางเลยจริงๆ ”
กู่เย่าไป๋บ่นพลางเดินวนไปวนมาภายในห้อง ก่อนตัดสินใจผลักประตูออกไปด้านนอกอย่างหงุดหงิดรำคาญ
ภายในห้อง กุ้ยหลินยังคงนั่งแช่น้ำร้อนด้วยท่าทีผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าที่มีมาแต่เดิมทำให้นางเกือบคอพับหลับคาถังไม้
ฉับพลันนั้นเองประตูห้องเปิดผางออก นางตกใจลนลานรีบหดคอซุกตัวลงไปใต้น้ำ ก่อนจะค่อยๆ โผล่ศีรษะเล็กๆ ขึ้นมา
ทันทีที่เห็นผู้มาเยือน นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกตื่น
“ทะ... ท่าน!”
นางคิดอยู่แล้วเชียวว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีเจตนาอื่น มิเช่นนั้นเหตุใดเขาต้องบุกเข้ามาในห้องของนางในเวลานี้ด้วย ที่สำคัญ เห็นๆ อยู่ว่าเขาเป็นคนล่วงล้ำเข้ามาในห้องของนางก่อน เหตุใดต้องทำสายตาโหดเหี้ยมมองนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่มีทีท่ากระดากอายเลยแม้แต่น้อย ตรงข้าม คนที่เขินอายกลับเป็นนางเสียเอง!
นางคิดว่าเขาจะเป็นคนดีเสียอีก
“ลุกขึ้นมา” ชายหนุ่มยืนสั่งอยู่หน้าประตูห้องด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
นางกัดริมฝีปากแน่น ส่ายหน้าดิก สองมือยกขึ้นกุมเนินอกขาวผ่อง ใบหน้าแดงก่ำ
ไม่นะ นี่เขาคงไม่คิดที่จะ...
เพราะสังเกตเห็นท่าทางของหญิงสาว กู่เย่าไป๋สั่งเสียงเย็นเจือความหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “เจ้าอย่าได้คิดเหลวไหลเชียว รีบใช้กำลังภายในทำลายกลิ่นที่ติดตัวของเจ้าเสีย”
นางเองก็รับรู้ถึงความหงุดหงิดของเขา แต่ว่า...
“ข้า... ข้าไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับที่ท่านบุกเข้ามาในห้องข้าเวลานี้เลยนี่ อีกอย่างหนึ่ง ข้าใช้กำลังภายในทำลายกลิ่นหอมที่ติดตัวไม่เป็น” พูดจบนางซุกใบหน้าเล็กๆ ลงไปในน้ำมากกว่าเดิม เหลือไว้เพียงแค่ดวงตากลมโตสุกใสที่จ้องมองเขาด้วยความหวาดระแวง
พื้นฐานกำลังภายในของนางนับว่าอ่อนด้อยเป็นที่สุด แค่ใช้วิชาตัวเบาได้ก็นับว่าบุญแล้ว
กู่เย่าไป๋ไม่พูดพล่าม หลับตาเดินเข้ามาทางหญิงสาว ฝีเท้าหนักแน่น ไม่เหมือนคนกำลังหลับตาคลำทางเลยสักนิด
นะ... นั่น เขาคิดจะทำอะไร!
กุ้ยหลินตื่นตะลึง เหลียวซ้ายแลขวาหาหนทางหนี พร้อมกันนั้นสองมือยังตั้งท่าพยุงกายลุกขึ้น
“อย่าขยับ!”
เสียงตวาดของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วห้อง ยังผลให้นางตัวแข็งทื่อคล้ายถูกสกัดจุด... นั่นใช่เขาหลับตาจริงๆ หรือไม่
มือใหญ่ยื่นมาแตะขอบถังไม้ กู่เย่าไป๋โคจรกำลังภายในลงบนฝ่ามือ น้ำร้อนในถังที่ทำท่าจะเย็นเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
หญิงสาวช้อนดวงตาสุกใสแอบมองใบหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่ม แม้เขาจะดูไม่สบอารมณ์อยู่มาก แต่ในส่วนลึกสุดของหัวใจ นางอดคิดไม่ได้ว่าที่เขาทำทุกอย่างก็เพื่อนางทั้งสิ้น
ไออุ่นระอุส่งควันขาวขุ่นลอยอ้อยอิ่งเหนือถังไม้ คราวนี้ใบหน้าของกุ้ยหลินแดงเรื่อยิ่งกว่าลูกอิงเถา(ผลเชอรี่) ไม่ใช่เพราะความเขินอาย หากแต่เป็นเพราะน้ำในถังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับน้ำเดือด!
“ร้อนๆ” นางอยากกระโดนออกมาจากถังไม้ให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าเขายังยืนอยู่ล่ะก็
“ร้อนก็ดี ตายไปเลยก็ช่าง นอกจากโง่งมแล้วเจ้ายังไม่มีความอดทนอีก”
หญิงสาวส่งเสียงครางในลำคอเป็นการท้วง พลางซุกหน้าลงบนฝ่ามือตนเอง
นางเพิ่งรู้เดียวนี้เองว่าเย่าไป๋นอกจากจะรักสะอาดยังเป็นคนที่ปากคอเราะร้าย
“ทำไมต้องว่าข้าด้วย ท่านนี่ พูดจาร้ายกาจยิ่ง”
“หึ ไม่รู้หรืออย่างไร กลิ่นที่ติดตัวเจ้าจะดึงดูดบุรุษเพศ”
“แล้วท่านมาสนใจข้าทำไม...” ประโยคนี้นางพูดเสียงเบาหวิว แต่คนอยู่ใกล้อย่างเขาย่อมได้ยินเต็มสองหู
หางตาของเขากระตุกถี่ หัวคิ้วขมวดมุ่น เขารวบรวมสมาธิและจิตใจทุ่มเทกำลังภายในทำลายกลิ่นเกสรของสมุนไพร อดทน... เขาต้องอดทนไม่จับนางขึ้นมาตีก้นให้ตายก็นับว่าเป็นบุญของนางมากแล้ว บัดนี้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเกสรเริ่มเบาลงจนสลายไปในที่สุด
อันที่จริงเขาจะมิไยดีนางก็ได้ ปล่อยให้นางได้รับความอัปยศอดสูจากความประมาทเลินเล่อ ทว่าเขากลับทำไม่ลง
“ถ้าคราวหน้ายังใช้เกสรและสมุนไพรนั่นอีก เจ้าจะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างร้ายกาจ” สิ้นประโยคบุรุษสะบัดแขนเสื้อพลางหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆ ออกจากห้องโดยไม่ลืมหันกลับมาหับประตูให้นาง
กุ้ยหลินกะพริบตาปริบ พลางบ่นอุบอิบ “แค่รู้จักท่าน ชะตากรรมของข้าก็เลวร้ายมากพอแล้ว”
ยังมีอะไรที่ร้ายกาจไปมากกว่านี้อีก สำหรับนางที่ไม่เคยออกมานอกสำนัก เหตุการณ์เมื่อครู่จึงทำให้นางใจเต้นแรงเกือบไร้การควบคุม ลึกๆ แม้นางยังโกรธเขาอยู่บ้าง แต่ความเป็นจริงเขาเองก็คงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่