บทนำ
ณ เชิงเขาพันลี้อันกว้างใหญ่ไพศาล
ป่าไพรเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ล้อมรอบด้วยทะเลสาบสีคราม ยามไร้ลมผิวน้ำจะเรียบนิ่งประหนึ่งกระจก ส่วนภูเขาที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตามองดูคล้ายแผ่นหลังของมังกร ยามเข้าสู่ฤดูเหมันต์บนยอดเขาจะถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวสะอาด ตีนเขาเขียวขจี ด้วยทิวทัศน์ตัดกันโดยสิ้นเชิง เขาพันลี้จึงไม่ต่างจาก ‘สรวงสวรรค์บนพื้นพิภพ’ ประกอบกับมีหมอกรวมตัวจางๆ เหนือน้ำยังผลให้ผู้คนพบเห็นทั้งหวั่นเกรงและศรัทธาในเวลาเดียวกัน
ว่ากันว่า ที่กลางเชิงเขาพันลี้เป็นที่ตั้งของสำนัก ‘บุปผาหยก’ ซึ่งศิษย์ในสำนักล้วนแล้วแต่เป็นสตรีงดงามไร้ที่ติประหนึ่งธิดาเซียนจากแดนสรวง เจ้าสำนักฝู้กุ้ยเซียนเดินตามหลักคุณธรรมเจ็ดส่วน หลักมารสามส่วน จึงมิอาจกล่าวได้ว่าสำนักบุปผาหยกอยู่ฝ่ายธรรมะหรืออธรรม แต่ต่อให้พวกนางเป็นนางฟ้าหรือมารหาใช่สำคัญไม่ เพราะผู้คนส่วนใหญ่สนใจเพียงความงามของศิษย์สำนักบุปผาหยกเท่านั้น
ไม่เพียงพวกนางจะงดงามหยาดฟ้ามาดิน ชั้นเชิงแขนงต่างๆ ยังถูกถ่ายทอดมาจากอาจารย์คนงามทั้งสิ้น แต่น่าเสียดาย ศิษย์สำนักบุปผาหยกทุกนางล้วนแต่มีอุปนิสัยชอบเก็บตัวเงียบ หากมิใช่เพราะทุกสำนักล้วนต้องก้าวเข้าสู่ยุทธภพเพื่อทดสอบฝีมือหลังจากร่ำเรียนวิชาของสำนักนั้นๆ สำเร็จ คนนอกอย่าคิดหวังได้ยลโฉมพวกนางเชียว
และแน่นอนว่า สำนักบุปผาหยกเป็นสำนักอันดับต้นๆ ที่เหล่าชาวยุทธ์หนุ่มต่างจับตามองเป็นพิเศษ
หลังจากเจ้าสำนักผลักดันศิษย์คนอื่นๆ เข้าสู่ยุทธภพ วันนี้กุ้ยหลิน ศิษย์คนเล็กถูกเรียกเข้าพบเจ้าสำนัก นั่นย่อมแสดงว่าศิษย์รายต่อไปที่เจ้าสำนักต้องการทดสอบฝีมือคือนางอย่างมิต้องสงสัย
“กุ้ยหลิน มานี่สิ” เจ้าสำนักกวักมือเรียกพลางส่งยิ้มหวานหยด
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ยิ่งเจ้าสำนักยิ้มหวานให้นางมากเท่าไร นางยิ่งชาวาบบริเวณศีรษะมากเท่านั้น
“ท่านเจ้าสำนัก เรียกหากุ้ยหลินมีอะไรให้กุ้ยหลินรับใช้หรือเจ้าคะ” นางถามอย่างระมัดระวัง
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร”
กุ้ยหลินกะพริบตาปริบก่อนตอบว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก ปีนี้กุ้ยหลินอายุสิบเก้า เอ่อ...” นางเอียงคอครุ่นคิด “ท่านเจ้าสำนักไม่ใช่เรียกกุ้ยหลินมาถามความคืบหน้าของวิชาแพทย์หรือเจ้าคะ” หลังจากเจ้าสำนักสอนนางร่ำเรียนวิชาแพทย์ต่อจากวิชาการใช้พิษ วันนี้นางคิดว่าเจ้าสำนักเรียกนางมาถามความคืบหน้าของวิชาแพทย์เสียอีก
“นั่นสินะ” เจ้าสำนักโบกพัดจีบลวดลายดอกโบตั๋นพลางหัวเราะในลำคอครู่หนึ่ง ก่อนจะหุบพัดลงแล้วเคาะลงบนฝ่ามือเบาๆ
“กุ้ยหลิน ในสำนักเรายังมีพิษใดที่เจ้าไม่รู้จักอีกบ้าง”
กุ้ยหลินขมวดคิ้วมุ่น ตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในสำนักบุปผาหยก ไม่มีพิษใดที่กุ้ยหลินไม่รู้จักเจ้าค่ะ”
ว่ากันตามตรง นางซึ่งเข้ามาอยู่ในสำนักบุปผาหยกได้ห้าปีเต็ม ไม่เคยออกไปที่ใด ซ้ำไม่เคยข้องเกี่ยวกับผู้อื่นนอกจากเก็บตัวศึกษาตำราภายในสำนัก นางย่อมเรียนรู้และเข้าใจวิชาพิษในสำนักอย่างถ่องแท้อยู่แล้ว
ดวงตาของเจ้าสำนักเป็นประกายวาบ พร้อมยืดตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรง ทำสีหน้าจริงจัง “ดี เช่นนั้นเจ้ารีบเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางเถิด สำนักหมื่นพิษอยู่ไกลมาก เกรงว่าการเดินทางอาจจะล่าช้าเพราะเจ้ามัวโอ้เอ้”
หญิงสาวนิ่งตะลึงงันอย่างไม่เข้าใจในวาจาของเจ้าสำนัก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถาม “ท่านเจ้าสำนักหมายถึง ให้กุ้ยหลินไปสำนักหมื่นพิษหรือเจ้าคะ”
“ถูกต้อง” ฝ่ายตรงข้ามตอบชัดถ้อยชัดคำ หนำซ้ำบนใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม
หญิงสาวสูดหายใจลึกยาว ก่อนจะเอ่ยถามอย่างคาดหวังว่า “ท่านเจ้าสำนักคงล้อกุ้ยหลินเล่น?”
ฝ่ายตรงข้ามคลี่ยิ้มหวานล้ำ แล้วค่อยส่ายหน้าเล็กน้อย เสมือนเป็นการบ่งชี้ว่า ‘ไม่ได้ล้อเล่น’
“เช่นนั้น มีใครไปกับกุ้ยหลินบ้างเจ้าคะ” นางยังคงไม่หมดหวัง เอ่ยถามหาศิษย์พี่ในสำนัก ทั้งนี้เพราะศิษย์พี่เคยขอสมุนไพรและพิษจากนางก่อนออกไปทำภารกิจภายนอกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นครั้งนี้หากนางมีตัวช่วยไปด้วยคงได้อุ่นใจมากขึ้น
กระนั้นฝ่ายตรงข้ามยังคงตอบช้าชัดว่า
“ไม่มี”
“มะ... ไม่มี?” นางทวนคำด้วยความฉงนแกมอึ้งนิดๆ “สักคนเดียวก็ไม่มีหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ไม่มี”
กุ้ยหลินร้องครางในลำคอ นี่นางมิได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ เจ้าสำนักมีเจตนาให้นางออกไปใช้ชีวิตนอกสำนัก มิหนำซ้ำยังให้ไปไกลถึงแดนใต้เพียงลำพัง!
นางเคยได้ยินว่าสำนักหมื่นพิษอยู่ทางใต้ ตอนนี้นางอยู่ทางเหนือ ระหว่างเดินทางจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำเกือบหนึ่งเดือน อีกอย่างตั้งแต่เข้ามาอยู่ในสำนักบุปผาหยก นางยังไม่เคยออกไปข้างนอกคนเดียวเลยด้วยซ้ำ
“แต่ว่า... วรยุทธ์ของกุ้ยหลินอ่อนด้อย ถ้าหาก... ถ้าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง เจ้าสำนักจะให้กุ้ยหลินทำเช่นไรล่ะเจ้าคะ” นางถามอย่างน่าสงสาร น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
ฮือ... นางว่าแล้วเชียว เจ้าสำนักต้องการขับนางออกจากสำนักอย่างศิษย์พี่คนอื่นจริงๆ ด้วย ลำพังแค่ออกไปภายนอกสำนักโดยไม่พึ่งพาผู้อื่นสำหรับนางยังทำได้ยาก นี่เจ้าสำนักคิดจะส่งนางไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไปอยู่สำนักที่ขึ้นชื่อว่าลึกลับที่สุด เช่นนี้มิเท่ากับส่งนางไปตายหรอกหรือ!
เจ้าสำนักคลี่ยิ้มหวานล้ำเอ่ยย้ำว่า “แต่เจ้าเชี่ยวชาญพิษ ย่อมใช้สิ่งนั้นเอาตัวรอดได้ อีกอย่างเจ้าฉลาดออกจะตาย ข้าเชื่อว่าไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าหรอก”
หญิงสาวเอียงคอครุ่นคิด แม้ในใจอยากจะเถียงใจแทบขาดว่านางมิได้ฉลาดสักนิด ซ้ำร้ายวรยุทธ์ของนางออกจะอ่อนด้อย ไม่มีทางไม่ถูกรังแก... ทว่าก็มิอาจเอ่ยออกไปตามตรง ได้เพียงแต่มองแววตาและมุมปากแฝงรอยยิ้มของเจ้าสำนักที่จ้องมองมาราวกับมีแผนอื่นในใจเงียบๆ
“เจ้านี่น่า ไม่คิดจะก้าวออกนอกสำนักอย่างศิษย์พี่ของเจ้าบ้างหรือไรกัน” เจ้าสำนักถอนใจคล้ายเหนื่อยหน่าย แต่มุมปากกลับโค้งขึ้นน้อยๆ “กุ้ยหลิน แม้ตลอดเวลาหลายปีที่ข้าจะคอยชี้นำเจ้าจะทำให้เจ้าเชี่ยวชาญการใช้พิษ แต่จุดหมายของผู้หญิงมิใช่แค่ร่ำเรียนวิชาในตำราหรืออยู่แต่ในสำนัก นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของชีวิต ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวเจ้าเองนะ”
เพื่อนาง...
กุ้ยหลินสูดหายใจแรงๆ ด้วยความรู้สึกมืดมน ถึงเจ้าสำนักจะกล่าวว่าทำเพื่อนาง แต่สำหรับนาง นางมั่นใจว่าการที่เจ้าสำนักพยายามส่งนางไปถึงแดนใต้ไม่ต่างจากการขับไล่ออกจากบ้าน!
“เอาล่ะ ถ้าหากเจ้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไรก็ออกเดินทางได้ทันที ขืนประวิงเวลาต่อไปเห็นทีคงจะไม่ทันกาล” คราวนี้เจ้าสำนักกล่าวเสียงเฉียบขาด แววตาแฝงนัยข่มขู่
กุ้ยหลินนั่งนิ่งไม่ขยับ พลางคาดเดาไปต่างๆ นานา
เจ้าสำนักมีความคิดยากหยั่งถึง ในขณะเดียวกันก็มีนิสัยทำอะไรตามอำเภอใจ ถ้าหากนางกล้าขัดคำสั่งบอกว่า ‘ไม่ไป’ ก็เสมือนรนหาที่ แน่นอนว่าเจ้าสำนักย่อมมีวิธีสั่งสอนคนที่กล้าขัดคำสั่ง หรือหากนางยอมเออออห่อหมกอย่างว่าง่าย เลือกทำตามคำสั่งของเจ้าสำนัก เดินทางไปแดนใต้ ถ้าไม่ถูกเสือสิงในป่าจับกินเป็นอาหารก็คงถูกโจรป่าย่ำยีความบริสุทธิ์ เช่นนั้นนางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกินยาพิษปลิดชีพตนเองเสีย และแน่นอนว่า นางย่อมพูดเกินจริง เพราะยาพิษมิอาจทำอันตรายนางได้ ดังนั้นประเด็นถัดมาจึงไม่พ้นต้องยินยอมก้มหน้ารับคำสั่งของเจ้าสำนัก
เอ่อ... หวังว่าเจ้าสำนักคงมิได้เบื่อหน่ายนางใช่หรือไม่ ถึงได้คิดหาวิธีขับไล่นางออกจากบ้านเช่นนี้
กุ้ยหลินขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อย ดวงตาคู่งามคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำอุ่น จากนั้นกล่าวรับคำอย่างลังเลว่า
“เจ้าค่ะ กุ้ยหลินจะออกเดินทางตามคำสั่งเจ้าสำนัก”