วันต่อมา…
“นี่เป็นห้องที่ผมใช้ทดลองผ่าร่างอาจารย์ใหญ่ เป็นห้องผ่าตัดพิเศษที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อศึกษาหัวใจของมนุษย์โดยเฉพาะ”
นั่นเป็นคำบอกเล่าก่อนที่จะได้เข้ามาในห้องนี้ ตอนแรกพรชดาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าคงมีหมอและพยาบาลอีกหลายคนที่จะเข้าๆออกๆห้องนี้บ่อยๆ แต่เธอคิดผิด เพราะนอกจากห้องผ่าตัดที่ว่าจะอยู่ห่างไกลจากตึกอื่นๆแล้ว เห็นจะมีแค่เธอและเขาที่อยู่ในห้องนี้ตามลำพัง
ภายในห้องถูกจัดให้เป็นสัดส่วนชัดเจนแยกระหว่างห้องผ่าตัดกับห้องทดลอง แต่ก็มีเพียงกระจกใสๆก้านไว้ ทำให้สามารถมองเห็นทะลุไปยังห้องทดลองที่มีชิ้นส่วนหัวใจของมนุษย์ ทั้งที่ยังสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์อยู่ในขวดโหล และตู้โชว์ราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์หัวใจมนุษย์โดยเฉพาะ
“ไม่ต้องกลัวว่าแฟนคลับ หรือนักข่าวจะมากวนใจ เพราะที่นี่มีความปลอดภัยสูง จะไม่มีใครมารบกวนหากไม่ได้รับอนุญาตจากผมเสียก่อน”
เจษฎาบอกเพื่อให้เธอคลายกังวล แต่หญิงสาวกลับคิดตรงกันข้าม
‘ถึงได้รับอนุญาต ก็ไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด’
พรชดากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองขณะที่กวาดสายตาไปรอบๆห้อง รับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องที่เย็นเฉียบต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง และทันใดนั้นหนังสยองขวัญที่เธอคอยดูก็ผ่านเข้ามาในหัวแวบหนึ่งเรียกขนในกายให้ลุกซู่ขึ้นอย่างกระทันหัน
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า พรชดา”
เจษฎาหันมาถามคนข้างหลัง ที่จู่ๆก็หยุดเดินไม่ยอมตามมายืนใกล้ๆเตียงผ่าตัด
“เอ่อ….คือ…คือว่า ห้องนี้มีแค่เราสองคนเหรอคะ ฉันหมายถึงขณะที่เรียนผ่าตัดไม่มีคุณหมอ หรือพยาบาลคนอื่นเข้ามาเลยเหรอคะ”
หญิงสาวย้อนถาม ขณะที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม อันที่จริงเธอรู้สึกกลัวจนแทบจะก้าวขาไม่ออกอยู่แล้ว ภาวนาให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงผาตัดซึ่งถูกคลุมปิดด้วยผ้าสีขาวผืนใหญ่เป็นแค่หุ่นยนต์ ไม่ใช่ร่างมนุษย์ไร้วิญญาณ
“ใช่ แล้วคุณมีปัญหาอะไร”ขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือว่าคุณกลัวผมจะปล้ำคุณ”
“ปะ…เปล่านะ ชดาไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
หญิงสาวรีบปฏิเสธเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจผิดไปไกล พลางบ่นพึมพำในใจ
‘ในห้องแบบนี้ใครจะกล้าคิดนอกเหนือจากเรื่องผีกันเล่า’
เธอจะพูดยังไงให้เขาพาเธอออกไปจากห้องนี้ดี พรชดารู้สึกเจ็บใจตัวเอง ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย รู้แบบนี้เรียนรู้วิธีการผ่าตัดจากสารคดียังจะดีเสียกว่ามาเห็นของจริง
“ถ้าไม่กลัวก็มายืนใกล้ๆผมสิ ยืนไกลแบบนั้นแล้วจะสอนได้ยังไง”
เจษฎาบอกพร้อมจับชายผ้าคลุมสีขาวบนเตียงหมายจะดึงออก แต่ก็ต้องชะงักมือไว้แทบไม่ทัน เมื่อเสียงหวานร้องห้ามดังลั่น
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณหมอ!”
“ทำไมคุณกลัวเหรอ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นใบหน้างามขาวซีดขึ้นมาจนหน้าตกใจ แต่กระนั้นผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอก็ปฏิเสธออกมา
“ไม่ค่ะ มีคุณหมออยู่ด้วย คงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องกลัวหรอกจริงไหมคะ”
เป็นคำตอบของคนที่ต้องการให้กำลังใจตัวเองมากกว่า ใครที่เคยให้คะแนนการแสดงในจอเธอเต็มสิบ หากเห็นอาการเธอตอนนี้คงลดเหลือแค่ศูนย์ เพราะแม้จะพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากแค่ไหนก็มิวายหลุดสีหน้าให้ฝ่ายตรงข้ามจับได้ ว่าเธอกำลังพูดไม่ตรงกับใจ
“ครับ ไม่มีอะไรต้องกลัว โดยเฉพาะการผ่าตัดหัวใจ ออกจะสนุกด้วยซ้ำไป”
‘การผ่าตัดหัวใจดูไม่น่ากลัวและคงสนุกมากเลยนะคะ คุณหมอ!’
พรชดาถามประชดอยู่ในใจแต่ยังคงระบายยิ้มหวานไม่ให้ถูกจับได้ว่าเธอกำลังคิดกลัวจนฉี่จะราดกางเกงอยู่แล้ว เจษฎาพยักหน้าพอใจกับคำตอบและรอยยิ้มหวานๆของเธอ
‘ยิ้มได้แบบนี้คงจะหายกลัวบ้างแล้วสินะ’
“วันนี้คุณหมอตรวจสอบตารางงานดีแล้วเหรอคะ คุณหมอลองนึกดูดีๆสิคะว่าได้นัดใครไว้นอกเหนือจากชดาหรือเปล่า ถ้าเกิดวันนี้คุณหมอไม่ว่าง หรือมีธุระด่วนที่อื่นก็รีบไปเถอะค่ะ ส่วนเรื่องเรียนเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ”
พรชดาหยั่งเชิงถามออกไปเผื่อว่าเธอจะสามารถหลุดรอดออกไปจากห้องที่แสนจะน่ากลัวนี้สักที เป็นครั้งแรกที่พรชดาอยากจะถูกปฏิเสธจากชายหนุ่ม แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย หญิงสาวก็แทบจะลืมหายใจ
“ไม่มี วันนี้ผมจะใช้เวลาอยู่กับคุณทั้งวัน”
คำตอบหนักแน่นของเจษฎาสร้างความรู้สึกหลากหลายให้กับพรชดา มันคงเป็นคำตอบที่ดีมากหากการใช้เวลาทั้งวันกับเธอไม่ใช่ห้องผ่าตัดนี้ แต่ถึงอย่างไรหัวใจเธอก็ยังคงพองโตคับอกขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“หมดคำถามแล้วใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญคุณมายืนข้างๆผมได้แล้ว ระหว่างที่ผมสอนคุณถ้ามีอะไรสงสัยให้ถามได้ตลอดเวลา เสร็จจากนี้จะพาไปทานข้าวทดแทนครั้งก่อนที่ปฏิเสธคุณไป”
เจษฎาบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินมาจุงมือเล็กดึงให้เดินตาม แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดินเสียงหวานก็เรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณหมอ ขอทานข้าวกับคุณหมอก่อนไม่ได้เหรอคะ”
หญิงสาวพยายามต่อรองพลางยิ้มหวานอ้อน แต่คำตอบที่เธอได้รับกลับมาทำให้พรชดาแทบจะหุบยิ้มไปทันที
“เสียใจ ผมจะไปทานกับคุณหลังจากที่เรียนเสร็จแล้วเท่านั้น!”
‘ใจแข็งชะมัด! ฉันไม่ได้เหมือนคุณนะที่จะทำใจชินกินข้าวได้ลงหลังจากผ่าตัดเสร็จน่ะ’
พรชดาต่อว่าอยู่ในใจแต่พอจะพูดมันออกมาเสียงของเธอก็กลับเลือนหายไปเสียเฉยๆเมื่อสบสายตาเข้ากับดวงตาคู่หวานแต่แฝงความดุดันผ่านกรอบแว่นตาคู่นั้น
“มีปัญหาอะไร”
“ปะ…เปล่าค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ”
กัดฟันพูดพร้อมปั้นหน้ายิ้มสุดความสามารถเท่าที่เธอจะทำได้
“ดี! งั้นเรามาเริ่มกันเลย”
เจษฎาพยักหน้าพอใจพร้อมกับแอบลอบขำท่าทางของหญิงสาวที่อึดอัดจนต้องระบายออกมาด้วยการกำหมัดแน่น ทั้งที่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกขัดใจ แต่ที่เธอไม่พูดออกมาคงเพราะต้องการทำคะแนน อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะแกล้งเธอเพียงแต่เห็นเธอรุกหนักก็อยากเอาคืนบ้างก็เท่านั้นเอง
พรชดาถึงกับต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อทำใจกับสิ่งที่ต้องเผชิญตรงหน้า พยายามอย่างยิ่งที่จะทำใจไม่ให้กลัว
กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มือใหญ่จับจูงแขนเล็กพามายังข้างเตียงผ่าตัด ก่อนที่เจษฎาจะดึงผ้าคลุมสีขาวออก ขณะที่หญิงสาวกลั้นหายใจด้วยความหวั่นใจ แต่เมื่อเห็นว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงเป็นแค่หุ่นยนต์หญิงสาวก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เคยเรียนวิชาชีวะวิทยาหรือเปล่า”
“เหมือนจะเคย”พรชดาตอบก่อนจะแอบปาดเหงื่อที่ซึมขึ้นมาตามหน้าผากมน
“ทำไมใช้คำว่าเหมือนจะเคยล่ะ”
“ก็ฉันชอบหนีเรียนวิชานี้ เพราะไม่ชอบทั้งเนื้อหาวิชาและครูผู้สอน ก็เลยไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาของเธอเรียกรอยยิ้มจางๆจากใบหน้าหล่อเหลาได้เป็นอย่างดี เพราะเธอไม่คิดที่จะสร้างภาพให้ตัวเองดูดีแม้แต่กับคนที่ตัวเองกำลังประกาศจีบอยู่เลยทำให้เขาสนใจเธอเป็นพิเศษแบบนี้ไง
“งั้นวิชานี้ก็ตั้งใจเรียนหน่อย เพราะผมไม่ใช่คุณครูชีวะที่ใจดีของคุณ จะได้ให้คุณผ่านหลักสูตรง่ายๆ”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกขณะที่คว้ารถเข็นถาดวางอุปกรณ์ที่จะใช้ในการผ่าตัดเข็นมาตรงหน้า
“ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักอุปกรณ์ในศัพท์แพทย์ที่จะใช้ในการผ่าตัดทั้งหมดเสียก่อน ตั้งใจดูและฟังให้ดี เพราะผมจะไม่บอกซ้ำเป็นครั้งที่สอง”
“ครั้งเดียวใครจะไปจำได้ละคะ”
หญิงสาวเถียงเพราะถึงแม้อุปกรณ์ในถาดจะมีไม่กี่ชิ้น แต่ศัพท์แพทย์ก็ไม่เหมือนศัพท์ธรรรมดาทั่วไปที่คนเขาใช้กันอยู่แล้ว
“ที่ผมบอกแค่ครั้งเดียว เพราะตอนผมเป็นนักศึกษาอาจารย์ก็บอกให้ฟังเพียงครั้งเดียวเหมือนกัน”
“เอ่อ…ค่ะ”
พรชดาพยักหน้าเข้าใจแต่ก็มิวายแอบบ่นในใจ
‘ครั้งเดียวใครจะไปจำได้ นี่มันหลักสูตรหินชัดๆเลย’
แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาฟัง และไม่ลืมที่จะกดบันทึกเสียงในโทรศัพท์มือถือสำรองไว้ เผื่อต้องการมาเปิดฟังทีหลัง เจษฎาเองก็ไม่ได้บ่นว่าอะไร เห็นเธอรอบคอบแบบนี้เขาก็ยินดีที่จะสอนให้อย่างเต็มใจ
หลังจากการบรรยายชื่ออุปกรณ์พร้อมวิธีการใช้เสร็จหญิงสาวก็เอ่ยถาม
“นี่คุณหมอเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพกันแน่คะ ทำไมถึงจำเก่งขนาดนี้ละคะ ชดานั่งฟังตั้งแต่ต้นจนจบชดารู้แค่ว่าอันนี้คือมีดที่ใช้ในการผ่าตัดแค่นั้นเองค่ะ”
คำถามที่เต็มไปด้วยความทึ่งปนกับท่าทางคล้ายคนละเมอบ่งบอกชัดว่าเธอไม่ได้ตั้งใจฟังที่เขาพูดเลยสักนิดทำให้เจษฎาต้องขบกรามแน่นเก็บอารมณ์กรุ่นๆที่กำลังก่อเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะหยิบมีดวางลงบนอุ้งมือเล็กพร้อมบอกเสียงเรียบชิดติดใบหูเล็ก
“ถ้าไม่ตั้งเรียนจะจับฉีดยาเป็นการทำโทษ เข้าใจไหมคุณพรชดา”
พรชดาพยักหน้าน้อยๆหลังจากได้ฟังคำขู่ของชายหนุ่มจบ พลางคิดขบขันที่เลือกขู่เธอราวกับเธอเป็นเด็กน้อยกลัวเข็มฉีดยา
“คำขู่ของคุณหมอไม่มีผลกับชดาหรอกค่ะ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตชดาไม่กลัวเข็มเลยสักนิด ไม่เชื่อคุณหมอไปถามคุณแม่ของชดาได้เลย”
เสียงหวานใสบอกด้วยน้ำเสียงท้าทายแววตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความอยากเอาชนะ จนเจษฎาต้องเผลอคลี่ยิ้มบางๆออกมาอย่างเอ็นดูในความไร้เดียงสาของอีกฝ่ายอยู่ในใจ
‘ถ้าคุณรู้ว่าเข็มฉีดยาที่ผมหมายถึงคืออะไร คุณยังจะยิ้มออกอยู่หรือเปล่านะ พรชดา’
“เอาล่ะ เริ่มลงมือกันได้แล้ว”
สีหน้าและแววตาปรับเปลี่ยนเป็นจริงจังปราศจากการล้อเล่นของเจษฎาขณะพูดทำให้คนฟังถึงกับเผลออ้าปากค้างคำพูดที่กำลังจะเอ่ยเล่นกับเขาเป็นอันต้องพับเก็บแล้วตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อ
“ค่ะ”