“ห้าว” ตองเก้าป้องปากหาว เดินลัดเลาะมาทางป่าช้าท้ายวัดหลังจากที่การไปวิ่งราวหลังตลาดไม่สำเร็จ ใบหน้าทั้งสามอิดโรยเพราะยังไม่ได้นอนรอเหยื่อจนถึงเช้าก็ไม่มี ตอนนี้เดินแทบจะก้าวขาไม่ออก ปวดตัวไปหมด
“แม่งซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ้อนเงื่อน เชี่ย ไม่ได้เหยื่อสักคน”
“เอาน่า มันก็ต้องมีวันได้วันไม่ได้บ้างแหละ เศรษฐกิจแบบนี้จะให้ได้ทุกวันมันก็เป็นไปไม่ได้ ช่วงโควิดใครเขาจะอยากออกจากบ้านกัน” ตองเก้าเอ่ยปลอบเพื่อน
“เราไปปล้นตามบ้านไหม”
“เสี่ยงเกินไป กูไม่อยากให้ใครต้องเสี่ยงขนาดนั้น แล้วโจรอย่างเราไม่ใช่โจรมืออาชีพนะ”
“แล้วโจรอย่างเรามันเป็นโจรแบบไหนวะ”
“โจรอย่างเรามันโจรกระจอกไงล่ะ ถ้าจะปล้นบ้านคนอื่นมันต้องมีอุปกรณ์มีเครื่องมือหลาย ๆ อย่าง แต่นี่อะไร รถจะขับก็ยังไม่มีเลย เฮ้อ!”
“จริง”
“เมื่อคืนไม่ได้เงิน วันนี้ก็คงต้องกินเงินเก่าไปก่อน” โขงว่าแล้วเตะขวดน้ำที่วางอยู่ข้างทางอย่างหงุดหงิด ภาระยิ่งถาโถมรายจ่ายก็มากมาย แต่เงินที่จะเอามาใช้จ่ายวันนี้มันไม่มี
“กินเงินเก่ามันก็มีวันหมดนะเว้ย แล้วแต่ละคนก็ต่างจำเป็นต้องใช้เงินกันทั้งนั้น” หมัดเอ่ย
“หรือว่าเราจะไปหางานอื่นทำดู”
“แล้วใครจะจ้างมึงวะสถานการณ์แบบนี้ คนตกงานกันครึ่งประเทศแล้ว”
“นั่นน่ะสิกูคิดไม่ออกเลยจริง ๆ”
“เฮ้อ หนีไปบวชเป็นพระซะบ้อ มาอุกอั่งหัวใจแท้น้อ”
“มึงพูดเชี่ยไรวะ”
“คนอีสานเท่านั้นถึงจะเข้าใจเว้ย” หมัดเอ่ย
“หนีไปบวชก็แทบจะไม่มีคนใส่บาตร เขากลัวโควิดกัน” ตองเก้าว่า
“ฆวย ไอ้นรกโควิด ไอ้โควิดตัวร้าย” หมัดพูดอย่างหงุดหงิด สายตาเฉี่ยวคมหันไปจ้องมองสัปเหร่อชัยที่กำลังสาละวนทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างเมรุ
“โควิดทำเราแย่”
“นั่นมันลุงชัยนี่หว่า” หมัดชี้ไปที่ลุงชัยสัปเหร่อของวัด ผู้ช่ำชองผู้ชำนานการเผาศพมาตลอดสามสิบปี
“ลุงชัยแล้วไงวะ ทำตื่นเต้นไปได้”
“เราไปคุยกับลุงชัยก่อนดีกว่า”
“กูไม่ไป กูไม่ชอบไปตรงนั้นเท่าไหร่กูกลัวผี” โขงเอ่ยพร้อมกับลูบแขนตัวเองเบา ๆ อย่างหวาดกลัว
“ต้องไปทุกคน” ว่าจบหมัดก็จับข้อมือของตองเก้า หญิงสาวก็รีบคว้าข้อมือของโขงให้เดินตาม
“โอ๊ย กูกลัว”
“กลัวก็ต้องไป” โขงถูกลากไปจนกระทั่งถึงหลังเมรุ ลุงชัยกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างอยู่บนตะเเกรงเผาศพ
“ลุงทำอะไร?”
“โอ้ย ไอ้ชิบผายกูตกใจหมด” ลุงชัยยกมือทาบอกตัวเองเบา ๆ
“ตอบฉันมาก่อนว่าลุงทำอะไร?”
“ไอ้ตะไล กูก็เก็บกระดูกคนตายสิวะ”
“ไม่ยักรู้ว่ามีการเฝ้าศพเมื่อวาน เสียงพระสวดก็ไม่มี เสียงคนอ่านประวัติคนตายก็ไม่มี เมื่อวานเงียบกริบไม่น่าจะมีงานศพไม่น่าจะมีคนเอาศพมาเผา”
“ช่วงโควิด เขาไม่ให้จัดงานใหญ่โตไม่ให้มีคนมางานศพเยอะหรอก”
“มันก็จริงอย่างที่ลุงพูดนั่นแหละว่าแต่อัฐินี้เป็นของใครเหรอ” หมัดถามพร้อมกับชะโงกหน้าไปดูกระดูกที่ตะแกรงเผาศพ
“ไอ้ห่า มึงอย่าเข้ามาใกล้กูนะSocial Distancing เว้นระยะห่างหนึ่งถึงสองเมตร”
“โถ่ลุงพวกฉันน่ะปลอดเชื้อ ว่าแต่กระดูกใครเนี่ย คนติดโควิดหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง ตอนเขาเอาศพมาเผา เขาเอาใส่โลงมาอย่างดี”
“แล้วลุงได้เปิดดูไหม”
“จะเปิดดูทำไมล่ะเขาบอกว่าไม่ให้เปิด ห้ามเปิด ถ้าเขาไม่ได้สั่งเปิด ก็อย่าเปิด”
“หมัดมึงดูนี่ ที่ใส่กระดูกแม่งโคตรสวย” โขงชูโกศขึ้นให้หมัดดู
“ถ้าเกิดมึงตายกูจะหาที่ใส่กระดูกสวย ๆ แบบนี้มาใส่ให้มึง มึงอยากได้แบบไหน มึงก็บอกกูไว้เลย กูจะได้หาให้มึง”
“โถไอ้เวรปากไม่เป็นมงคล กูอีกนานเว้ยกูยังไม่ตายง่าย ๆ หรอก ลูกกูยังไม่โตเลย มึงสิจะตายก่อนพวกกูสองคน”
“ไอ้เวร”
“ไอ้พวกเด็กเวร มึงจะไปไหนก็ไปกันเลยนะ เอาโกศอัฐิวางไว้ เดี๋ยวมันแตกขึ้นมางานงอกทั้งพวกมึงทั้งกูเลยนะ” ลุงชัยว่าจ้องหน้าทั้งสามอย่างไม่พอใจ
“มันก็แค่ดูเฉย ๆ ลุงจะอะไรกันนักกันหนา มันก็แค่อยากรู้ตามประสาคนขี้เสือกนั่นแหละ ว่าแต่ลุงเก็บกระดูกใครเหรอ” ตองเก้าเอ่ยถาม
“แล้วพวกมึงจะอยากรู้ไปทำไมวะ”
“ก็แค่อยากรู้อะ ลุงก็แค่ตอบมา” ลุงชัยเงียบไปสักพัก ก่อนจะก้มหน้าเก็บกระดูกต่อ
“นี่ลุงยังไม่บอกผมเลยนะว่าลุงเก็บกระดูกใคร อย่าเอาแต่เงียบแบบนี้สิ คนรอคำตอบมันหงุดหงิด”
“แล้วใครใช้ให้พวกแกมารอคำตอบเล่า”
“เหล้าหนึ่งเป๊กแลกกับคำตอบว่ากระดูกนี้เป็นของใคร” ตองเก้าต่อรอง
“น้อยไปหรือเปล่าวะแค่หนึ่งเป๊กเอง”
“งั้นหนึ่งกั๊ก” กอดอกจ้องมองลุงชัย
“หนึ่งกั๊กก็น้อยไปว่ะ มันน้อยไปสำหรับสิ่งที่มึงอยากรู้ ถ้ามึงอยากรู้มึงก็ต้องจ่ายให้มันคุ้มค่ากับคำตอบของกูหน่อยสิวะ”
“เล่นตัวชะมัด งั้นหนึ่งขวดใหญ่ไปเลย แต่ถ้าลุงไม่บอก พวกฉันก็จะไม่ต่อรองอะไรอีกแล้ว ลุงก็รู้อยู่นะว่าช่วงโควิด เขาไม่ค่อยขายเหล้าขายอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะเขากลัวว่าคนจะไปตั้งวงแล้วติดโควิดกัน”
“...”
“แต่ถ้าลุงไม่เอาก็ได้นะพวกฉันจะไปแล้ว ไม่อยากรู้แล้ว ไปกันเถอะไอ้โขงไอ้หมัด” ตองเก้ากระตุกชายเสื้อแล้วจ้องตากับเพื่อนรัก เพื่อสื่อความหมายว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร
“ปะ ๆ ไปกันเถอะ” โขงเอ่ยแล้วรีบเดินออกมา
“แผนมึงจะสำเร็จไหมวะ”
“เชื่อมืออีตองได้เลย” ตองเก้าแสยะยิ้มร้ายออกมาเบาๆ
“อะ ๆ บอกก็ได้ ๆ” ลุงชัยตะโกนไล่หลังมา ทั้งสามจ้องหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ
“กูว่าแล้ว เหล้าเป็นเหตุสังเกตได้” ตองเก้าหัวเราะชอบใจแล้วเดินไปหาลุงชัย
“ก่อนจะบอก ไอ้หมัดต้องไปซื้อเหล้ามาให้กูก่อน”
“ให้ไอ้โขงไปดีกว่า ไอ้โขงไปซื้อเหล้ามาสิ”
“โหกูตลอดเลย” โขงบ่นอุบแต่ก็รีบลุกเดินมุ่งไปที่ร้านค้าทันที
“เพื่อนฉันไปแล้วก็บอกมาเถอะ ทำยังกับว่ากระดูกอันนี้ เป็นสิ่งที่บอกไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
“มันบอกได้ก็บอกได้ แต่เผอิญว่าเขาไม่ให้กูบอก แต่ถ้าพวกมึงอยากรู้กูก็จะบอกพวกมึง”
“งั้นก็พูดมาสิชักช้าเสียเวลาจริง ๆ ยืดยาดอืดอาดฉันละเซ็งลุงแล้วนะเนี่ย” หมัดเอ่ยพร้อมกับทำท่าทางหงุดหงิด
“เออ ๆ บอกก็ได้ กระดูกอัฐินี้เป็นของเมีย ทายาทตระกูลดำรงค์พงษ์เมธา”
“ทายาทตระกูลดำรงค์พงศ์เมธาเหรอ” ตองเก้าทวนชื่อตระกูลนี้ซ้ำพร้อมกับทำท่าทางครุ่นคิด เธอคุ้นชื่อตระกูลนี้มาก ๆ
“ใช่ ตระกูลนี้ดังมากมีเงินเยอะมากด้วย ถ้าจะเอามาเขียนจำนวนเงินใส่กระดาษก็คงไม่พอ”
“หือ มันรวยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แค่รวยยังไม่พอมันต้องโคตร ๆ โคตรรวยเลยแหละ” หมัดเอ่ย
“อ้ะ มาแล้ว” โขงวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับยื่นขวดสุราสี่สิบดีกรี ให้กับสัปเหร่อผู้มากประสบการณ์
“ขอบใจนะเว้ย” ลุงชัยรีบรับขวดสุราไปเปิดฝาแล้วกระดกมันลงคอ “อา ชื่นใจกูจริง”
“แล้วเขาจะมาเอากระดูกวันไหนเหรอ” หมัดเอ่ยถามพร้อมกับคิดบางอย่างออก
“พรุ่งนี้น่ะ ส่วนวันนี้กูก็จะเก็บกระดูกไปไว้ก่อน พรุ่งนี้เขาก็จะมาเอากระดูกไป เออ กูจะเล่าอะไรให้ฟัง ผัวนังหนูที่ตายไปเนี่ยหน้าตามันหล่อมาก กูนึกว่าพระเอกในนิยายหลุดออกมา แต่ทำหน้าไม่ค่อยเสียใจอะไรเลย หน้านิ่งมาก”
“แปลกจัง”
“แปลกมาก แต่เธอเป็นเมียของทายาทตระกูลนี้แหละ” ว่าจบก็กระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง หมัดทำท่าทางครุ่นคิดไปสักพัก
“กูคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว”
“อะไรวะ”
“พวกมึงไปตรงโน้นกับกู”
“อะไรวะ” ตองเก้าเอ่ยแต่ก็เดินตามแต่โดยดี
“อีตองไอ้โขง มึงอยากเลิกทำอาชีพโจรไหมวะ”
“อยาก แต่คงทำไม่ได้”
“ทำได้”
“ยังไงวะ”
“เราทำงานนี้ครั้งสุดท้ายแล้วเลิกทำเลย”
“งานไรวะ ถ้าจะเลิกก็คือต้องมีเงินมากพอถึงจะเลิกได้นะ เพราะต่างก็ลำบากกันทั้งนั้น”
“เท่าที่กูคิดคือคนล่ะสิบล้าน”
“ห้ะ งานไรวะ”
“เราจะเรียกค่าไถ่กัน”
“เชี่ย”