ดด
ถ้าเราได้อยู่กับ “สิ่งที่เรารัก” มันก็จะทำให้เรามีความสุข นั่นคือสิ่งที่หลายคนกล่าวไว้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้นล่ะ เราต้องไม่มีความสุขไหม? หรือ ในผู้ที่คิดว่าได้อยู่กับสิ่งที่รักแล้ว แต่กลับมีสิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่สุขเลย เหล่านี้เป็นไปได้ไหม?
ความรักในเรื่องนี้ไม่ได้กำลังหมายถึง คนรัก เพราะ คงจะเคยคิด หรือได้ยินที่เขาบอกว่า การหาเป้าหมายชีวิต หรือชีวิตที่มีความสุข คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก หรือทำในสิ่งที่รัก จึงมักมีคำพูดที่ว่า จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คือการหาในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบให้เจอเสียก่อน…
แล้วเราก็เริ่มคิดว่า รักหรือชอบในสิ่งใด “จากอดีต” ที่ผ่านมา ทว่าเมื่อชีวิตผ่านวันพ้นไป มันอาจไม่ง่ายที่จะ “ย้อนไป” เพื่อทำในสิ่งนั้น ดังเช่นฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในวัย 30 ปี ที่แม้ยังพอมีเวลาทำได้ แต่เมื่อวิเคราะห์ทุกปัจจัย กับวัยที่ควรสร้างความมั่นคง สร้างฐานะนั้น มันคงยากมากทีเดียว และคงแทบเป็นไปไม่ได้ถ้าวัยล่วงเลยขึ้นไปอีก..
เช่นเดียวกันกับชีวิตที่เคย “หลงทาง” หรือ “เสียเวลา” กับหลาย “สิ่งที่ไม่ใช่” จนในวันที่เราเริ่มคิดได้ หรือเพิ่งคิดได้ก็ดูจะช้าไป และในบางเรื่องก็เพิ่งมีปัจจัยให้เหมือนว่า “พร้อม” จะทำ ประมาณว่าบางอย่างมันมาช้าไป เหมือนคำพังเพย “พบไม้งาม เมื่อขวานบิ่น”
ไม่มีคำว่าสาย ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
ถ้าเรามองแบบ “ภาพรวม” ในชีวิต แน่นอนย่อมไม่มีคำว่าสาย ในการเริ่มต้นใหม่ หรือลงมือทำอะไรเสียที แต่ถ้าเจาะจงลงไป ประโยคที่ว่า “ไม่มีคำว่าสาย” ก็ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
เพราะกับบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่า เคยรัก และอยากทำนั้น มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะสานต่อ มีปัจจัยมากมาย แม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรักแบบคนรัก แต่ถ้าให้สมมติเป็นคนรักในอดีต แล้วเราเพิ่งมาระลึกได้ว่าเขาคือคนที่ใช่จริง ๆ หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน ครั้นจะไปจีบ ป่านนี้เขาก็คงมี ครอบครัว มีลูก แม้กระทั่งเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญต่อให้เขายังอยู่และโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหรือสิ่งนั้นจะ “เหมือนเดิม” กับเราเสียเมื่อไหร่..
กลับมาหาสิ่งที่รักสิ่งที่ใช่หากวันนี้เรากำลังค้นหา และอยากจะทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาสักนิดว่าคุ้มค่ากันไหม เพราะเรา “ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว” กับเรื่องเหล่านี้ก็ได้…
ลอง “ปันใจ หรือเปิดใจ” ก่อน เช่น กลับมารักในสิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ งานหรือสิ่งรอบตัว มีมุมไหนน่าสนใจ… แต่หลายคนอาจจะส่ายหัว เช่นนั้นก็ต้องลองรักในสิ่งใหม่ ๆ ที่อาจเหมาะสมกว่าในอดีต เพราะหากเพียงยึดโยงตามแนวคิดที่ว่า “เคยรัก” เคยชอบทำอะไร เมื่อเป็นไปไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นคนยึดติด และดันทุรังไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ถ้าตรองแล้วยังรักในสิ่งเดิม ก็ต้อง “รักแบบมีเหตุผล” เช่น ไม่ฝันเป็นนักบอลอาชีพในวัยที่สายไป แต่แค่มีเวลาไปเตะบอลทุกเย็นหลังเลิกงาน นั่นก็น่าจะเติมเต็มชีวิตที่มีสุขได้แล้ว หรือถ้าเพิ่มความหมายให้ชีวิต การไปเป็นโค้ชก็ดูเป็นไปได้กว่าเพราะไม่ติดกรอบเรื่องอายุ ถ้ามีเงินทุนหน่อยก็ทำสนามบอล หรือสร้างสโมสรฟุตบอลไปเลยยังได้ เชื่อว่าความรู้สึกแนวนี้นั้นคงไม่ห่างไกลในรักเดิมคือการเป็น นักบอล…
โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่
หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
ทว่าการได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่รัก อุปสรรคใหญ่จริง ๆ มักจะเป็นเรื่องของเงิน หรือปัจจัยในการดำรงชีวิตด้านอื่น เพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองไปวัน ๆ …
หากเราลองเปรียบเสมือนว่า ชีวิตคือไม้ดอก ที่สมมติว่าดอกไม้เป็นตัวแทนความสุข ความสำเร็จ ต้นไม้นั้นก่อนจะมีดอก ย่อมมีใบ และหลายชนิดหากจะออกดอกได้ ก็ต้องผ่านการดูแลใส่ใจ ชีวิตก็เหมือนมีสองส่วนคืออยู่รอด กับงดงาม เราอาจต้องทำความเข้าใจและยอมรับว่า ก่อนชีวิตจะงดงามได้นั้น มันก็ต้องอยู่รอดเสียก่อน ดังนั้น โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่ หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
หลายคนโชคดีที่สิ่งที่รักนั้นทำให้เขาอยู่รอดได้ดีด้วย พูดง่าย ๆ คือรักในบางสิ่งจนเป็นอาชีพได้ ซึ่ถ้าเราได้อยู่กับ “สิ่งที่เรารัก” มันก็จะทำให้เรามีความสุข นั่นคือสิ่งที่หลายคนกล่าวไว้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้นล่ะ เราต้องไม่มีความสุขไหม? หรือ ในผู้ที่คิดว่าได้อยู่กับสิ่งที่รักแล้ว แต่กลับมีสิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่สุขเลย เหล่านี้เป็นไปได้ไหม?
ความรักในเรื่องนี้ไม่ได้กำลังหมายถึง คนรัก เพราะ คงจะเคยคิด หรือได้ยินที่เขาบอกว่า การหาเป้าหมายชีวิต หรือชีวิตที่มีความสุข คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก หรือทำในสิ่งที่รัก จึงมักมีคำพูดที่ว่า จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คือการหาในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบให้เจอเสียก่อน…
แล้วเราก็เริ่มคิดว่า รักหรือชอบในสิ่งใด “จากอดีต” ที่ผ่านมา ทว่าเมื่อชีวิตผ่านวันพ้นไป มันอาจไม่ง่ายที่จะ “ย้อนไป” เพื่อทำในสิ่งนั้น ดังเช่นฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในวัย 30 ปี ที่แม้ยังพอมีเวลาทำได้ แต่เมื่อวิเคราะห์ทุกปัจจัย กับวัยที่ควรสร้างความมั่นคง สร้างฐานะนั้น มันคงยากมากทีเดียว และคงแทบเป็นไปไม่ได้ถ้าวัยล่วงเลยขึ้นไปอีก..
เช่นเดียวกันกับชีวิตที่เคย “หลงทาง” หรือ “เสียเวลา” กับหลาย “สิ่งที่ไม่ใช่” จนในวันที่เราเริ่มคิดได้ หรือเพิ่งคิดได้ก็ดูจะช้าไป และในบางเรื่องก็เพิ่งมีปัจจัยให้เหมือนว่า “พร้อม” จะทำ ประมาณว่าบางอย่างมันมาช้าไป เหมือนคำพังเพย “พบไม้งาม เมื่อขวานบิ่น”
ไม่มีคำว่าสาย ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
ถ้าเรามองแบบ “ภาพรวม” ในชีวิต แน่นอนย่อมไม่มีคำว่าสาย ในการเริ่มต้นใหม่ หรือลงมือทำอะไรเสียที แต่ถ้าเจาะจงลงไป ประโยคที่ว่า “ไม่มีคำว่าสาย” ก็ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
เพราะกับบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่า เคยรัก และอยากทำนั้น มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะสานต่อ มีปัจจัยมากมาย แม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรักแบบคนรัก แต่ถ้าให้สมมติเป็นคนรักในอดีต แล้วเราเพิ่งมาระลึกได้ว่าเขาคือคนที่ใช่จริง ๆ หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน ครั้นจะไปจีบ ป่านนี้เขาก็คงมี ครอบครัว มีลูก แม้กระทั่งเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญต่อให้เขายังอยู่และโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหรือสิ่งนั้นจะ “เหมือนเดิม” กับเราเสียเมื่อไหร่..
กลับมาหาสิ่งที่รักสิ่งที่ใช่หากวันนี้เรากำลังค้นหา และอยากจะทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาสักนิดว่าคุ้มค่ากันไหม เพราะเรา “ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว” กับเรื่องเหล่านี้ก็ได้…
ลอง “ปันใจ หรือเปิดใจ” ก่อน เช่น กลับมารักในสิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ งานหรือสิ่งรอบตัว มีมุมไหนน่าสนใจ… แต่หลายคนอาจจะส่ายหัว เช่นนั้นก็ต้องลองรักในสิ่งใหม่ ๆ ที่อาจเหมาะสมกว่าในอดีต เพราะหากเพียงยึดโยงตามแนวคิดที่ว่า “เคยรัก” เคยชอบทำอะไร เมื่อเป็นไปไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นคนยึดติด และดันทุรังไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ถ้าตรองแล้วยังรักในสิ่งเดิม ก็ต้อง “รักแบบมีเหตุผล” เช่น ไม่ฝันเป็นนักบอลอาชีพในวัยที่สายไป แต่แค่มีเวลาไปเตะบอลทุกเย็นหลังเลิกงาน นั่นก็น่าจะเติมเต็มชีวิตที่มีสุขได้แล้ว หรือถ้าเพิ่มความหมายให้ชีวิต การไปเป็นโค้ชก็ดูเป็นไปได้กว่าเพราะไม่ติดกรอบเรื่องอายุ ถ้ามีเงินทุนหน่อยก็ทำสนามบอล หรือสร้างสโมสรฟุตบอลไปเลยยังได้ เชื่อว่าความรู้สึกแนวนี้นั้นคงไม่ห่างไกลในรักเดิมคือการเป็น นักบอล…
โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่
หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
ทว่าการได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่รัก อุปสรรคใหญ่จริง ๆ มักจะเป็นเรื่องของเงิน หรือปัจจัยในการดำรงชีวิตด้านอื่น เพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองไปวัน ๆ …
หากเราลองเปรียบเสมือนว่า ชีวิตคือไม้ดอก ที่สมมติว่าดอกไม้เป็นตัวแทนความสุข ความสำเร็จ ต้นไม้นั้นก่อนจะมีดอก ย่อมมีใบ และหลายชนิดหากจะออกดอกได้ ก็ต้องผ่านการดูแลใส่ใจ ชีวิตก็เหมือนมีสองส่วนคืออยู่รอด กับงดงาม เราอาจต้องทำความเข้าใจและยอมรับว่า ก่อนชีวิตจะงดงามได้นั้น มันก็ต้องอยู่รอดเสียก่อน ดังนั้น โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่ หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
หลายคนโชคดีที่สิ่งที่รักนั้นทำให้เขาอยู่รอดได้ดีด้วย พูดง่าย ๆ คือรักในบางสิ่งจนเป็นอาชีพได้ ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้รักในตอนแรก แต่ทำไปจนรักมัน…
และสำหรับหลายคนมันก็อาจเป็นเรื่องที่แยกส่วนกันชัดเจน คือต้องเข้าใจระหว่างสิ่งที่ต้องทำ กับสิ่งที่รัก ถ้ายอมรับและเข้าใจสิ่งที่ทำนั้นแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่รัก แต่มันก็จำเป็นที่จะนำไปหล่อเลี้ยงสิ่งที่รักได้ คล้ายดอกไม้ที่ต้องการใบงดงามเพื่อจะหล่อเลี้ยงให้ได้ผลิออกมา
หลายคนทำงานหนักเพื่อใช้เงินไปแต่งรถ, สะสมของเล่น, ท่องเที่ยว นี่คือตัวอย่างอย่างง่าย แต่หลายคนอยากเพียงไปสู่เป้าหมาย อยากได้แค่สิ่งที่รัก แต่ไม่อยาก ไม่พร้อมที่จะหล่อเลี้ยงอะไร มองงาน มองทุกสิ่งที่ไม่ใช่คล้ายเป็นเพียงภาระที่เหนื่อยยากเท่านั้น เช่นนี้ก็เหมือนอยากได้แต่ดอก ไม่แคร์ต้นไม่สนใบ.. จึงทำให้กลายเป็นคนที่ อาจได้อยู่กับสิ่งที่รัก แต่ไม่มีความสุข เพราะต้องทุกข์กับชีวิตด้านอื่น..
นี่คือแง่คิดหนึ่งจากเรื่องราววันนี้ ถ้าความสุขอย่างหนึ่ง คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ และเรายังไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้น อย่าลืมว่ามันไม่จำเป็นต้องมาจากอดีต หรือยึดติดในสิ่งที่ “เคยรัก” เสมอไป
และใช่ว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับสิ่งนั้นตลอดว่า หรือมุ่งหน้าให้ได้เหมือนคนที่เอาแต่ใจ เพราะไม่ว่าจะรักในสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็ต้องการการหล่อเลี้ยง รักใหม่ที่ไม่ใช่เพียงเสน่หา หลงใหลกันไปเพียงชั่วคราว แต่คือความยั่งยืนในชีวิตที่มีค่า มีความหมาย สิ่งนั้นอาจใกล้ตัว หรือยังไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ต้องไม่หลงไปว่า ชีวิตด้านอื่นยังต้องดำเนิน เงิน, ครอบครัว, เวลา เหล่านี้ต้องเพียงพอต่อความมั่นคง สมดุลย์ของชีวิต ที่ดังตัวอย่างยกไป ไม่ใช่หวังแต่ดอกไม้ และรังเกียจสิ่งเหล่านี้ มองว่านี่คือภาระ หากแต่เหล่านี้อาจเป็น ดิน ปุ๋ย และน้ำ ที่เราไม่จำเป็นต้องรัก แต่ต้องเข้าใจใส่ใจดูแลเพื่อให้ได้ดอกไม้มา
อีกส่วนหนึ่งคือเราอาจไม่โชคดี หลงผิดหรือเสียเวลาไปมากกับอดีตที่ผ่านมา จึงไม่มีโอกาสได้เลือก ได้อยู่ ได้ทำในสิ่งที่รัก วันนี้จึงควรเข้าใจว่า ชีวิตเราบางทีก็ต้องเริ่มที่ความมั่นคงเสียก่อน…
หรือสรุปไปแล้วก็คล้าย ก่อนจะรักใครให้มั่นใจว่ารักตัวเองเป็นแล้ว เช่นกัน
ปล.อีกหนึ่งมุมคิดทัศนคติที่มีต่อการอยู่ เลือก, และทำในสิ่งที่รัก อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนแต่อางอาจเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้รักในตอนแรก แต่ทำไปจนรักมัน…
และสำหรับหลายคนมันก็อาจเป็นเรื่องที่แยกส่วนกันชัดเจน คือต้องเข้าใจระหว่างสิ่งที่ต้องทำ กับสิ่งที่รัก ถ้ายอมรับและเข้าใจสิ่งที่ทำนั้นแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่รัก แต่มันก็จำเป็นที่จะนำไปหล่อเลี้ยงสิ่งที่รักได้ คล้ายดอกไม้ที่ต้องการใบงดงามเพื่อจะหล่อเลี้ยงให้ได้ผลิออกมา
หลายคนทำงานหนักเพื่อใช้เงินไปแต่งรถ, สะสมของเล่น, ท่องเที่ยว นี่คือตัวอย่างอย่างง่าย แต่หลายคนอยากเพียงไปสู่เป้าหมาย อยากได้แค่สิ่งที่รัก แต่ไม่อยาก ไม่พร้อมที่จะหล่อเลี้ยงอะไร มองงาน มองทุกสิ่งที่ไม่ใช่คล้ายเป็นเพียงภาระที่เหนื่อยยากเท่านั้น เช่นนี้ก็เหมือนอยากได้แต่ดอก ไม่แคร์ต้นไม่สนใบ.. จึงทำให้กลายเป็นคนที่ อาจได้อยู่กับสิ่งที่รัก แต่ไม่มีความสุข เพราะต้องทุกข์กับชีวิตด้านอื่น..
นี่คือแง่คิดหนึ่งจากเรื่องราววันนี้ ถ้าความสุขอย่างหนึ่ง คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ และเรายังไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้น อย่าลืมว่ามันไม่จำเป็นต้องมาจากอดีต หรือยึดติดในสิ่งที่ “เคยรัก” เสมอไป
และใช่ว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับสิ่งนั้นตลอดว่า หรือมุ่งหน้าให้ได้เหมือนคนที่เอาแต่ใจ เพราะไม่ว่าจะรักในสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็ต้องการการหล่อเลี้ยง รักใหม่ที่ไม่ใช่เพียงเสน่หา หลงใหลกันไปเพียงชั่วคราว แต่คือความยั่งยืนในชีวิตที่มีค่า มีความหมาย สิ่งนั้นอาจใกล้ตัว หรือยังไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ต้องไม่หลงไปว่า ชีวิตด้านอื่นยังต้องดำเนิน เงิน, ครอบครัว, เวลา เหล่านี้ต้องเพียงพอต่อความมั่นคง สมดุลย์ของชีวิต ที่ดังตัวอย่างยกไป ไม่ใช่หวังแต่ดอกไม้ และรังเกียจสิ่งเหล่านี้ มองว่านี่คือภาระ หากแต่เหล่านี้อาจเป็น ดิน ปุ๋ย และน้ำ ที่เราไม่จำเป็นต้องรัก แต่ต้องเข้าใจใส่ใจดูแลเพื่อให้ได้ดอกไม้มา
อีกส่วนหนึ่งคือเราอาจไม่โชคดี หลงผิดหรือเสียเวลาไปมากกับอดีตที่ผ่านมา จึงไม่มีโอกาสได้เลือก ได้อยู่ ได้ทำในสิ่งที่รัก วันนี้จึงควรเข้าใจว่า ชีวิตเราบางทีก็ต้องเริ่มที่ความมั่นคงเสียก่อน…
หรือสรุปไปแล้วก็คล้าย ก่อนจะรักใครให้มั่นใจว่ารักตัวเองเป็นแล้ว เช่นกัน
ปล.อีกหนึ่งมุมคิดทัศนคติที่มีต่อการอยู่ เลือก, และทำในสิ่งที่รัก อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนแต่อาถ้าเราได้อยู่กับ “สิ่งที่เรารัก” มันก็จะทำให้เรามีความสุข นั่นคือสิ่งที่หลายคนกล่าวไว้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้นล่ะ เราต้องไม่มีความสุขไหม? หรือ ในผู้ที่คิดว่าได้อยู่กับสิ่งที่รักแล้ว แต่กลับมีสิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่สุขเลย เหล่านี้เป็นไปได้ไหม?
ความรักในเรื่องนี้ไม่ได้กำลังหมายถึง คนรัก เพราะ คงจะเคยคิด หรือได้ยินที่เขาบอกว่า การหาเป้าหมายชีวิต หรือชีวิตที่มีความสุข คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก หรือทำในสิ่งที่รัก จึงมักมีคำพูดที่ว่า จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คือการหาในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบให้เจอเสียก่อน…
แล้วเราก็เริ่มคิดว่า รักหรือชอบในสิ่งใด “จากอดีต” ที่ผ่านมา ทว่าเมื่อชีวิตผ่านวันพ้นไป มันอาจไม่ง่ายที่จะ “ย้อนไป” เพื่อทำในสิ่งนั้น ดังเช่นฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในวัย 30 ปี ที่แม้ยังพอมีเวลาทำได้ แต่เมื่อวิเคราะห์ทุกปัจจัย กับวัยที่ควรสร้างความมั่นคง สร้างฐานะนั้น มันคงยากมากทีเดียว และคงแทบเป็นไปไม่ได้ถ้าวัยล่วงเลยขึ้นไปอีก..
เช่นเดียวกันกับชีวิตที่เคย “หลงทาง” หรือ “เสียเวลา” กับหลาย “สิ่งที่ไม่ใช่” จนในวันที่เราเริ่มคิดได้ หรือเพิ่งคิดได้ก็ดูจะช้าไป และในบางเรื่องก็เพิ่งมีปัจจัยให้เหมือนว่า “พร้อม” จะทำ ประมาณว่าบางอย่างมันมาช้าไป เหมือนคำพังเพย “พบไม้งาม เมื่อขวานบิ่น”
ไม่มีคำว่าสาย ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
ถ้าเรามองแบบ “ภาพรวม” ในชีวิต แน่นอนย่อมไม่มีคำว่าสาย ในการเริ่มต้นใหม่ หรือลงมือทำอะไรเสียที แต่ถ้าเจาะจงลงไป ประโยคที่ว่า “ไม่มีคำว่าสาย” ก็ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
เพราะกับบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่า เคยรัก และอยากทำนั้น มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะสานต่อ มีปัจจัยมากมาย แม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรักแบบคนรัก แต่ถ้าให้สมมติเป็นคนรักในอดีต แล้วเราเพิ่งมาระลึกได้ว่าเขาคือคนที่ใช่จริง ๆ หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน ครั้นจะไปจีบ ป่านนี้เขาก็คงมี ครอบครัว มีลูก แม้กระทั่งเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญต่อให้เขายังอยู่และโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหรือสิ่งนั้นจะ “เหมือนเดิม” กับเราเสียเมื่อไหร่..
กลับมาหาสิ่งที่รักสิ่งที่ใช่หากวันนี้เรากำลังค้นหา และอยากจะทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาสักนิดว่าคุ้มค่ากันไหม เพราะเรา “ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว” กับเรื่องเหล่านี้ก็ได้…
ลอง “ปันใจ หรือเปิดใจ” ก่อน เช่น กลับมารักในสิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ งานหรือสิ่งรอบตัว มีมุมไหนน่าสนใจ… แต่หลายคนอาจจะส่ายหัว เช่นนั้นก็ต้องลองรักในสิ่งใหม่ ๆ ที่อาจเหมาะสมกว่าในอดีต เพราะหากเพียงยึดโยงตามแนวคิดที่ว่า “เคยรัก” เคยชอบทำอะไร เมื่อเป็นไปไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นคนยึดติด และดันทุรังไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ถ้าตรองแล้วยังรักในสิ่งเดิม ก็ต้อง “รักแบบมีเหตุผล” เช่น ไม่ฝันเป็นนักบอลอาชีพในวัยที่สายไป แต่แค่มีเวลาไปเตะบอลทุกเย็นหลังเลิกงาน นั่นก็น่าจะเติมเต็มชีวิตที่มีสุขได้แล้ว หรือถ้าเพิ่มความหมายให้ชีวิต การไปเป็นโค้ชก็ดูเป็นไปได้กว่าเพราะไม่ติดกรอบเรื่องอายุ ถ้ามีเงินทุนหน่อยก็ทำสนามบอล หรือสร้างสโมสรฟุตบอลไปเลยยังได้ เชื่อว่าความรู้สึกแนวนี้นั้นคงไม่ห่างไกลในรักเดิมคือการเป็น นักบอล…
โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่
หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
ทว่าการได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่รัก อุปสรรคใหญ่จริง ๆ มักจะเป็นเรื่องของเงิน หรือปัจจัยในการดำรงชีวิตด้านอื่น เพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองไปวัน ๆ …
หากเราลองเปรียบเสมือนว่า ชีวิตคือไม้ดอก ที่สมมติว่าดอกไม้เป็นตัวแทนความสุข ความสำเร็จ ต้นไม้นั้นก่อนจะมีดอก ย่อมมีใบ และหลายชนิดหากจะออกดอกได้ ก็ต้องผ่านการดูแลใส่ใจ ชีวิตก็เหมือนมีสองส่วนคืออยู่รอด กับงดงาม เราอาจต้องทำความเข้าใจและยอมรับว่า ก่อนชีวิตจะงดงามได้นั้น มันก็ต้องอยู่รอดเสียก่อน ดังนั้น โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่ หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
หลายคนโชคดีที่สิ่งที่รักนั้นทำให้เขาอยู่รอดได้ดีด้วย พูดง่าย ๆ คือรักในบางสิ่งจนเป็นอาชีพได้ ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้รักในตอนแรก แต่ทำไปจนรักมัน…
และสำหรับหลายคนมันก็อาจเป็นเรื่องที่แยกส่วนกันชัดเจน คือต้องเข้าใจระหว่างสิ่งที่ต้องทำ กับสิ่งที่รัก ถ้ายอมรับและเข้าใจสิ่งที่ทำนั้นแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่รัก แต่มันก็จำเป็นที่จะนำไปหล่อเลี้ยงสิ่งที่รักได้ คล้ายดอกไม้ที่ต้องการใบงดงามเพื่อจะหล่อเลี้ยงให้ได้ผลิออกมา
หลายคนทำงานหนักเพื่อใช้เงินไปแต่งรถ, สะสมของเล่น, ท่องเที่ยว นี่คือตัวอย่างอย่างง่าย แต่หลายคนอยากเพียงไปสู่เป้าหมาย อยากได้แค่สิ่งที่รัก แต่ไม่อยาก ไม่พร้อมที่จะหล่อเลี้ยงอะไร มองงาน มองทุกสิ่งที่ไม่ใช่คล้ายเป็นเพียงภาระที่เหนื่อยยากเท่านั้น เช่นนี้ก็เหมือนอยากได้แต่ดอก ไม่แคร์ต้นไม่สนใบ.. จึงทำให้กลายเป็นคนที่ อาจได้อยู่กับสิ่งที่รัก แต่ไม่มีความสุข เพราะต้องทุกข์กับชีวิตด้านอื่น..
นี่คือแง่คิดหนึ่งจากเรื่องราววันนี้ ถ้าความสุขอย่างหนึ่ง คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ และเรายังไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้น อย่าลืมว่ามันไม่จำเป็นต้องมาจากอดีต หรือยึดติดในสิ่งที่ “เคยรัก” เสมอไป
และใช่ว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับสิ่งนั้นตลอดว่า หรือมุ่งหน้าให้ได้เหมือนคนที่เอาแต่ใจ เพราะไม่ว่าจะรักในสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็ต้องการการหล่อเลี้ยง รักใหม่ที่ไม่ใช่เพียงเสน่หา หลงใหลกันไปเพียงชั่วคราว แต่คือความยั่งยืนในชีวิตที่มีค่า มีความหมาย สิ่งนั้นอาจใกล้ตัว หรือยังไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ต้องไม่หลงไปว่า ชีวิตด้านอื่นยังต้องดำเนิน เงิน, ครอบครัว, เวลา เหล่านี้ต้องเพียงพอต่อความมั่นคง สมดุลย์ของชีวิต ที่ดังตัวอย่างยกไป ไม่ใช่หวังแต่ดอกไม้ และรังเกียจสิ่งเหล่านี้ มองว่านี่คือภาระ หากแต่เหล่านี้อาจเป็น ดิน ปุ๋ย และน้ำ ที่เราไม่จำเป็นต้องรัก แต่ต้องเข้าใจใส่ใจดูแลเพื่อให้ได้ดอกไม้มา
อีกส่วนหนึ่งคือเราอาจไม่โชคดี หลงผิดหรือเสียเวลาไปมากกับอดีตที่ผ่านมา จึงไม่มีโอกาสได้เลือก ได้อยู่ ได้ทำในสิ่งที่รัก วันนี้จึงควรเข้าใจว่า ชีวิตเราบางทีก็ต้องเริ่มที่ความมั่นคงเสียก่อน…
หรือสรุปไปแล้วก็คล้าย ก่อนจะรักใครให้มั่นใจว่ารักตัวเองเป็นแล้ว เช่นกัน
ปล.อีกหนึ่งมุมคิดทัศนคติที่มีต่อการอยู่ เลือก, และทำในสิ่งที่รัก อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนแต่อาถ้าเราได้อยู่กับ “สิ่งที่เรารัก” มันก็จะทำให้เรามีความสุข นั่นคือสิ่งที่หลายคนกล่าวไว้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้นล่ะ เราต้องไม่มีความสุขไหม? หรือ ในผู้ที่คิดว่าได้อยู่กับสิ่งที่รักแล้ว แต่กลับมีสิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่สุขเลย เหล่านี้เป็นไปได้ไหม?
ความรักในเรื่องนี้ไม่ได้กำลังหมายถึง คนรัก เพราะ คงจะเคยคิด หรือได้ยินที่เขาบอกว่า การหาเป้าหมายชีวิต หรือชีวิตที่มีความสุข คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก หรือทำในสิ่งที่รัก จึงมักมีคำพูดที่ว่า จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คือการหาในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบให้เจอเสียก่อน…
แล้วเราก็เริ่มคิดว่า รักหรือชอบในสิ่งใด “จากอดีต” ที่ผ่านมา ทว่าเมื่อชีวิตผ่านวันพ้นไป มันอาจไม่ง่ายที่จะ “ย้อนไป” เพื่อทำในสิ่งนั้น ดังเช่นฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในวัย 30 ปี ที่แม้ยังพอมีเวลาทำได้ แต่เมื่อวิเคราะห์ทุกปัจจัย กับวัยที่ควรสร้างความมั่นคง สร้างฐานะนั้น มันคงยากมากทีเดียว และคงแทบเป็นไปไม่ได้ถ้าวัยล่วงเลยขึ้นไปอีก..
เช่นเดียวกันกับชีวิตที่เคย “หลงทาง” หรือ “เสียเวลา” กับหลาย “สิ่งที่ไม่ใช่” จนในวันที่เราเริ่มคิดได้ หรือเพิ่งคิดได้ก็ดูจะช้าไป และในบางเรื่องก็เพิ่งมีปัจจัยให้เหมือนว่า “พร้อม” จะทำ ประมาณว่าบางอย่างมันมาช้าไป เหมือนคำพังเพย “พบไม้งาม เมื่อขวานบิ่น”
ไม่มีคำว่าสาย ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
ถ้าเรามองแบบ “ภาพรวม” ในชีวิต แน่นอนย่อมไม่มีคำว่าสาย ในการเริ่มต้นใหม่ หรือลงมือทำอะไรเสียที แต่ถ้าเจาะจงลงไป ประโยคที่ว่า “ไม่มีคำว่าสาย” ก็ใช้ได้แค่ในบางเรื่อง
เพราะกับบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่า เคยรัก และอยากทำนั้น มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะสานต่อ มีปัจจัยมากมาย แม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรักแบบคนรัก แต่ถ้าให้สมมติเป็นคนรักในอดีต แล้วเราเพิ่งมาระลึกได้ว่าเขาคือคนที่ใช่จริง ๆ หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน ครั้นจะไปจีบ ป่านนี้เขาก็คงมี ครอบครัว มีลูก แม้กระทั่งเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญต่อให้เขายังอยู่และโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหรือสิ่งนั้นจะ “เหมือนเดิม” กับเราเสียเมื่อไหร่..
กลับมาหาสิ่งที่รักสิ่งที่ใช่หากวันนี้เรากำลังค้นหา และอยากจะทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาสักนิดว่าคุ้มค่ากันไหม เพราะเรา “ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว” กับเรื่องเหล่านี้ก็ได้…
ลอง “ปันใจ หรือเปิดใจ” ก่อน เช่น กลับมารักในสิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ งานหรือสิ่งรอบตัว มีมุมไหนน่าสนใจ… แต่หลายคนอาจจะส่ายหัว เช่นนั้นก็ต้องลองรักในสิ่งใหม่ ๆ ที่อาจเหมาะสมกว่าในอดีต เพราะหากเพียงยึดโยงตามแนวคิดที่ว่า “เคยรัก” เคยชอบทำอะไร เมื่อเป็นไปไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นคนยึดติด และดันทุรังไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ถ้าตรองแล้วยังรักในสิ่งเดิม ก็ต้อง “รักแบบมีเหตุผล” เช่น ไม่ฝันเป็นนักบอลอาชีพในวัยที่สายไป แต่แค่มีเวลาไปเตะบอลทุกเย็นหลังเลิกงาน นั่นก็น่าจะเติมเต็มชีวิตที่มีสุขได้แล้ว หรือถ้าเพิ่มความหมายให้ชีวิต การไปเป็นโค้ชก็ดูเป็นไปได้กว่าเพราะไม่ติดกรอบเรื่องอายุ ถ้ามีเงินทุนหน่อยก็ทำสนามบอล หรือสร้างสโมสรฟุตบอลไปเลยยังได้ เชื่อว่าความรู้สึกแนวนี้นั้นคงไม่ห่างไกลในรักเดิมคือการเป็น นักบอล…
โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่
หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
ทว่าการได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่รัก อุปสรรคใหญ่จริง ๆ มักจะเป็นเรื่องของเงิน หรือปัจจัยในการดำรงชีวิตด้านอื่น เพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองไปวัน ๆ …
หากเราลองเปรียบเสมือนว่า ชีวิตคือไม้ดอก ที่สมมติว่าดอกไม้เป็นตัวแทนความสุข ความสำเร็จ ต้นไม้นั้นก่อนจะมีดอก ย่อมมีใบ และหลายชนิดหากจะออกดอกได้ ก็ต้องผ่านการดูแลใส่ใจ ชีวิตก็เหมือนมีสองส่วนคืออยู่รอด กับงดงาม เราอาจต้องทำความเข้าใจและยอมรับว่า ก่อนชีวิตจะงดงามได้นั้น มันก็ต้องอยู่รอดเสียก่อน ดังนั้น โอกาสชื่นชมดอกไม้ อยู่ที่การเอาใจใส่ หากเราหลงลืมไป แม้แต่ใบก็อาจไม่คงอยู่
หลายคนโชคดีที่สิ่งที่รักนั้นทำให้เขาอยู่รอดได้ดีด้วย พูดง่าย ๆ คือรักในบางสิ่งจนเป็นอาชีพได้ ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้รักในตอนแรก แต่ทำไปจนรักมัน…
และสำหรับหลายคนมันก็อาจเป็นเรื่องที่แยกส่วนกันชัดเจน คือต้องเข้าใจระหว่างสิ่งที่ต้องทำ กับสิ่งที่รัก ถ้ายอมรับและเข้าใจสิ่งที่ทำนั้นแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่รัก แต่มันก็จำเป็นที่จะนำไปหล่อเลี้ยงสิ่งที่รักได้ คล้ายดอกไม้ที่ต้องการใบงดงามเพื่อจะหล่อเลี้ยงให้ได้ผลิออกมา
หลายคนทำงานหนักเพื่อใช้เงินไปแต่งรถ, สะสมของเล่น, ท่องเที่ยว นี่คือตัวอย่างอย่างง่าย แต่หลายคนอยากเพียงไปสู่เป้าหมาย อยากได้แค่สิ่งที่รัก แต่ไม่อยาก ไม่พร้อมที่จะหล่อเลี้ยงอะไร มองงาน มองทุกสิ่งที่ไม่ใช่คล้ายเป็นเพียงภาระที่เหนื่อยยากเท่านั้น เช่นนี้ก็เหมือนอยากได้แต่ดอก ไม่แคร์ต้นไม่สนใบ.. จึงทำให้กลายเป็นคนที่ อาจได้อยู่กับสิ่งที่รัก แต่ไม่มีความสุข เพราะต้องทุกข์กับชีวิตด้านอื่น..
นี่คือแง่คิดหนึ่งจากเรื่องราววันนี้ ถ้าความสุขอย่างหนึ่ง คือการได้อยู่กับสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ และเรายังไม่ได้อยู่กับสิ่งนั้น อย่าลืมว่ามันไม่จำเป็นต้องมาจากอดีต หรือยึดติดในสิ่งที่ “เคยรัก” เสมอไป
และใช่ว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับสิ่งนั้นตลอดว่า หรือมุ่งหน้าให้ได้เหมือนคนที่เอาแต่ใจ เพราะไม่ว่าจะรักในสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็ต้องการการหล่อเลี้ยง รักใหม่ที่ไม่ใช่เพียงเสน่หา หลงใหลกันไปเพียงชั่วคราว แต่คือความยั่งยืนในชีวิตที่มีค่า มีความหมาย สิ่งนั้นอาจใกล้ตัว หรือยังไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ต้องไม่หลงไปว่า ชีวิตด้านอื่นยังต้องดำเนิน เงิน, ครอบครัว, เวลา เหล่านี้ต้องเพียงพอต่อความมั่นคง สมดุลย์ของชีวิต ที่ดังตัวอย่างยกไป ไม่ใช่หวังแต่ดอกไม้ และรังเกียจสิ่งเหล่านี้ มองว่านี่คือภาระ หากแต่เหล่านี้อาจเป็น ดิน ปุ๋ย และน้ำ ที่เราไม่จำเป็นต้องรัก แต่ต้องเข้าใจใส่ใจดูแลเพื่อให้ได้ดอกไม้มา
อีกส่วนหนึ่งคือเราอาจไม่โชคดี หลงผิดหรือเสียเวลาไปมากกับอดีตที่ผ่านมา จึงไม่มีโอกาสได้เลือก ได้อยู่ ได้ทำในสิ่งที่รัก วันนี้จึงควรเข้าใจว่า ชีวิตเราบางทีก็ต้องเริ่มที่ความมั่นคงเสียก่อน…
หรือสรุปไปแล้วก็คล้าย ก่อนจะรักใครให้มั่นใจว่ารักตัวเองเป็นแล้ว เช่นกัน
ปล.อีกหนึ่งมุมคิดทัศนคติที่มีต่อการอยู่ เลือก, และทำในสิ่งที่รัก อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนแต่อา