ณ โรงพยาบาลใจกลางเมือง
ร่างกายบอบบางนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยจนล่วงเลยมาถึงวันที่สี่แล้ว จู่ๆ ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักเข้ามาในตอนเช้าวันใหม่ ร่างสูงของกรกล้าเดินตรงดิ่งมายังร่างบอบบางที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ พลางยกกระดาษขึ้นมาจดรายละเอียดต่างๆ ที่แสดงบนหน้าจอมอนิเตอร์ โดยมีพยาบาลวัยกลางคนทำหน้าที่เฝ้าไข้ให้หญิงสาวอยู่ห่างๆ กรกล้าเอ่ยถามอาการของผู้ป่วยทันที
“เมื่อคืนยังละเมออยู่ไหมครับ?”
“ละเมอค่ะ แต่ไม่มากเท่าวันแรกๆ อาการร้องไห้กลางดึกก็ไม่มีแล้วค่ะ”
กรกล้าแตะเนื้อตัวปิ่นอนงค์ตามจุดต่างๆ สักพักชายหนุ่มก็เดินออกไปพร้อมใบหน้าที่ดีขึ้นกว่าเดิม เขากังวลมา หลายวันแล้วว่าปิ่นอนงค์จะต้องบำบัดทางจิต แต่พอได้ยินว่าอาการของเธอไม่ได้แย่อย่างที่คิดเขาก็เบาใจไปได้มาก
นนท์ธวัชหรืออาจารย์หมอนนท์ที่กำลังเดินตรวจอาการของคนไข้หยุดแวะทักบุตรชายคนเล็กเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินมาทางนี้พอดี กรกล้าเงยหน้าจากการจดงานขึ้นมายิ้มให้ผู้เป็นพ่อ
“ว่าไง น้องอาการดีขึ้นบ้างไหม?” นนท์ธวัชตบบ่ากรกล้าก่อนจะถามอาการของปิ่นอนงค์
“ดีขึ้นมากเลยครับ” กรกล้าตอบคำถามบิดาพร้อมกับถามกลับ “แล้ววันนี้อาจารย์จะกลับไปทานข้าวที่บ้านไหมครับ วันนี้ผมว่าจะกลับบ้าน คุณแม่ท่านโทรมาจี้ตั้งแต่อาทิตย์ยังไม่ขึ้นแล้วนะครับ”
“หมอกล้าก็รู้ว่าวันนี้ผมคงกลับไม่ได้ เคสนี้อันตรายจริงๆ ต้องดูอาการเป็นระยะ”
“พ่อครับ…” กรกล้าทำเสียงอ่อน
“อะแฮ่ม!” นนท์ธวัชรีบเตือนสติที่บุตรชายเผลอเรียกตนว่าพ่อออกมา
“ขอโทษครับ ผมลืมตัว แต่ว่า…ยังไงก็โทรไปบอกแฟนของอาจารย์หน่อยก็ดีนะครับว่าไม่กลับ เพราะผมกลัวจริงๆ ว่าระเบิดจะลงกลางบ้าน” กรกล้ายิ้มแหยๆ ซึ่งนนท์ธวัชก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนที่ทั้งสองจะพากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
คล้อยหลังคุณหมอหนุ่มเพียงไม่นาน เปลือกตาของปิ่นอนงค์ก็ขยับไปมาคล้ายกำลังจะตื่นขึ้น ในห้วงความคิดของหญิงสาวมีแค่เพียงแสงสีขาวอยู่รอบตัว ไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากอากาศและตัวเธอที่เดินไปมาคล้ายหาทางออก
‘พ่อ แม่ อยู่ไหนกันคะ?’
ปิ่นอนงค์วิ่งไปข้างหน้าสุดกำลังหวังว่าจะเจอใครสักคน แต่เปล่าเลย สถานที่นี้มีเพียงเธออยู่คนเดียว ความโดดเดี่ยวท่ามกลางจิตใจที่หวาดกลัวทำให้เธอร้องไห้ออกมาและสะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงรอบกายก็ยังคงเงียบงัน จนกระทั่งเธอเห็นเงาคนกำลังเดินมาทางนี้
‘คุณ! ช่วยฉันด้วย’
ปิ่นอนงค์รีบปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะยิ้มอย่างมีความหวัง หญิงสาวพยายามโบกไม้โบกมือให้คนแปลกหน้าที่เดินใกล้เข้ามาหาเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น
‘นาย! นายเมฆา’
‘ยังไงน้องปิ่นก็ต้องแต่งงานกับพี่ หนีไปไหนไม่พ้นหรอก’
‘ไม่!’
พยาบาลสังเกตเห็นปิ่นอนงค์มีอาการตอบสนองอย่างรุนแรงจึงเดินออกไปบอกพยาบาลอีกคนให้เรียกกรกล้าเข้ามา ไม่นานหมอกล้าก็รีบวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงของหญิงสาวพร้อมพยาบาลอีกสองคน
“คุณ! ได้ยินผมไหม คุณปิ่น!”
ปิ่นอนงค์หยุดสะอื้นแน่นิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงกรกล้า ส่วนพยาบาลต่างมองหน้ากันเมื่อปฏิกิริยาของคนไข้เริ่มตอบสนองทันทีเมื่อหมอกล้าเรียกชื่อเธอ รอเพียงไม่นานเปลือกตาของหญิงสาวก็เปิดขึ้นช้าๆ ปิ่นอนงค์หรี่ตามองไปรอบๆ ห้องพลางพยายามกระพริบตามองให้ชัดขึ้น
“แสบตา” เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นแทบจะไม่ได้ยิน ปิ่นอนงค์จึงหลับตาลงอีกครั้ง
“ร่างกายเพิ่งฟื้น คุณอย่าเพิ่งขยับตัวมากเลย”
“หิว…น้ำ” ปิ่นอนงค์พูดช้าๆ ทว่าเสียงของเธอช่างแหบแห้งจนแทบจะไม่ได้ยิน
กรกล้าเทน้ำที่หัวเตียงใส่แก้วเพียงครึ่งก่อนจะหยิบหลอดมาเสียบให้หญิงสาวดื่ม แม้ว่าร่างกายของปิ่นอนงค์จะกระหายน้ำเพียงใด แต่ก็ทำได้เพียงกลืนลงคอทีละนิดๆ เท่านั้น
“ผมจะโทรบอกพ่อแม่คุณให้ทราบว่าคุณฟื้นแล้ว ไม่นานท่านก็คงจะมา”
พยาบาลที่เฝ้าไข้หยิบผ้ามาซับน้ำที่หกเลอะปากสวย ปิ่นอนงค์ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจะส่งสายตาเป็นเชิงจะพูด แต่เมื่อเห็นกรกล้ายืนรอฟังอยู่ ปิ่นอนงค์ก็ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา เปลือกตาคู่สวยค่อยๆ ปิดลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้า
“ผมรู้ว่าคุณอยากจะเล่าอะไรให้ผมฟังเยอะแยะในช่วงที่คุณหลับไป รอให้คุณหายดีก่อน ผมจะมานั่งฟังไม่หนีไปไหนเลย โอเคไหม?”
หัวใจของปิ่นอนงค์เต้นแรงขึ้นเมื่อเสียงทุ้มก้มลงมากระซิบข้างหู เพียงเท่านี้น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง กรกล้าลูบผมสลวยน้ำตาลอ่อนของหญิงสาวเบาๆ อย่างต้องการปลอบประโลม
“พักผ่อนซะนะคนเก่ง”
พยาบาลสองคนที่ตามกรกล้าเข้ามาเผลออมยิ้มน้อยๆ ให้กัน เมื่อหมอหนุ่มสุดหล่อหันมามองก็แสร้งตั้งหน้าตั้งตาจดงานยุกยิกต่อ
ปัทมากับนภัทรเมื่อได้รับสายจากกรกล้าว่าบุตรสาวของตนฟื้นแล้วก็รีบขับรถแล่นมาหาทันที ก่อนไม่ลืมที่จะโทรไปบอกปริทัตบุตรชายอีกคนที่กำลังเรียนให้ตามมาทีหลัง
“เธอเพิ่งหลับไปไม่นานเองครับ”
“ขอบใจมากนะกล้า” นภัทรบอกกับคุณหมอหนุ่มพลางโอบไหล่ภรรยาเข้าไปในห้องคนป่วย
ภายในห้องพัก ร่างบอบบางของคนป่วยนอนหันหลังให้ประตู ร่างกายใต้ผ้าห่มขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นภัทรกับปัทมามองบุตรสาวด้วยสายตาสงสารและรู้สึกเศร้าใจที่เป็นต้นเหตุให้บุตรสาวเป็นเช่นนี้