Stage 6
ผินอินเดินเข้าไปตามอุโมงค์แสงสีชมพู เมื่อโผล่ออกไปพ้นพบกับกลีบดอกท้อเป็นพายุกระจายฟุ้งเข้ามาปะทะ
ลำแสงจากดวงตะวันสาดลงมากระทบร่าง ผินอินจึงได้เห็นว่าด้านหน้าของตนคือตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง บนหลังคาประดับด้วยรูปปั้นมังกรหางเป็นปลาหลีฮื้อ
“โอ้โห! ที่นี่สวยจังเลย อย่างกับพระราชวังที่เคยเห็นในหนังสือเรียนเลย”
รอบด้านคือตำหนักโอ่อ่า ไม่ว่าจะเป็นเรือนหลังเล็กที่ดูไม่มีความสำคัญ แต่การปลูกสร้างเน้นความแข็งแรงชวนมอง สีสันบนตัวอาคารยังคงสดใสคล้ายเพิ่งผ่านการก่อสร้างมาไม่นาน
“นางกำนัลที่เข้ารอบเดินมาด้านหน้า”
เสียงจากขันทีเฒ่าคนเดิมดังขึ้น ผินอินจำได้แม่นยำ เมื่อด่านที่แล้วเข้าไปเก็บดอกบัวหิมะแดง เมื่อกิเลนไฟนำมาส่งถึงประตูวังหลวง หลังจากลงจากหลังของมัน ข้าวของทุกอย่างที่มีติดตัวหายวับไปกับตา
ปรากฏเป็นแต้มสกอร์สูงน่าพอใจในระดับหนึ่ง
แต่ไม่วายแต้มที่สะสมมายังคงไม่มากพอที่จะทำให้คะแนนสะสมอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง
“นั่นเป็นเพราะเราใช้ตัวช่วยมากเกินไป รอบนี้ต้องระวังให้มาก อีกอย่างยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ด่านต่อไปจะต้องเจอกับอุปสรรคอะไรอีก”
ขันทีเฒ่าเดินถือถาดนำหน้าขันทีอีกสิบคน ผินอินทราบทันทีว่านั่นคือจำนวนของผู้ร่วมเข้าแข่งขันที่เข้ารอบมาด้วยกันกับตน
พลันท้องฟ้ากลายเป็นสีกระดาษด้าน ทุกอย่างรอบกายคล้ายถูกดูดกลืนสีสัน ผินอินลอยตามองบน เพราะทราบดีว่ามีบางสิ่งกำลังจะปรากฎตัว
ตุ๊กตาจีนแก้มแดงปรากฏตัวขึ้นอีกเช่นเคย
[ ท่านผู้เข้าแข่งขันโปรดทราบ ด่านนี้มีชื่อว่า รสสุคนธ์หรรษา ]
“รสสุคนธ์หรรษา?”
[ กติกามีอยู่ว่า ให้ไปเก็บผลไม้ที่อยู่ในสวนเพาะปลูก คนละสามชนิด เพื่อนำไปส่งห้องเครื่อง ในจำนวนผลไม้ทั้งสามชนิดจะมีคะแนนแตกต่างกัน ดังนั้นหากจำนวนคะแนนน้อยกว่าที่กำหนด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องกลับไปเก็บมาใหม่ให้เพียงพอต่อสกอร์คะแนน ]
“เกมแต่ละอย่างฟังเหมือนง่าย แต่พอเอาเข้าจริงอุปสรรคเยอะเกิน”
[ กำหนดเวลาในด่านนี้ไม่มี ]
“หา เรื่องจริงเหรอนี่ เป็นไปได้ยังไงกัน?” เธอชักสงสัย อะไรจะใจดีเบอร์นั้น
[ เนื่องจากด่านนี้ไม่ใช่ด่านหลัก เรื่องเวลาจึงไม่ได้นำมาเป็นข้อกำหนด มีเพียงคะแนนจากการเก็บผลไม้เท่านั้น ที่สามารถนำมาเป็นตัวชี้วัด ]
“อ้อ ใครเร็วใครได้ ว่างั้นเถอะ ดีล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าห่วง”
“แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน แล้วด่านนี้ไม่มีไอเทม หรือปุ่มช่วยเหมือนด่านก่อนหน้าแล้วใช่ไหม?”
เสียงการประมวลผลเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งกลายเป็นเสียงคล้ายสัญญาณหลุด
อยู่ ๆ ตุ๊กตาแก้มแดงนิ่งงันไป
“อ้าว ทำไมเงียบไปอย่างนั้นเล่า?”
[ ตรวจพบผู้บุกรุกภายในเกมอาเขต ตรวจพบผู้บุกรุกภายในเกมอาเขต ]
“หมายความว่ายังไงกันน่ะ เกิดอะไรขึ้นนี่?”
[ รอบนี้ทางเกมมาสเตอร์ประมวลค่าความเสี่ยงจากเดิมระดับสอง เป็นระดับสิบ เนื่องจากมีไวรัสโปรแกรมหลุดการควบคุม ซึ่งน่าจะมีผลมาจากการชำรุดของโปรแกรมใด โปรแกรมหนึ่ง ]
“เอ๋! แล้วแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ หมายความว่าต้องไปสู้กับสัตว์ประหลาดอีกงั้นสิ ไม่ไหวแล้วนะ” แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว นั่งเล่นเกมอยู่ที่บ้านยังมีปุ่มกดสต๊อป แต่ที่นี่เธอทำแบบนั้นไม่ได้
[ ตัวช่วยพิเศษในด่านนี้ คือ ]
[ 1 กระสุนดอกท้อพิโรธ
2 ตะกร้าสารพัดประโยชน์
3 มือจับซาลามานเดอร์ ]
“ฟังจากชื่อไอเทมแล้วเหมือนด่านี้จะโหดไม่น้อยเลย แล้วกติกาเพิ่มเติมมีอีกไหม?”
[ กติกาตามเดิม เพียงแค่ท่านผู้เข้าแข่งขันจะต้องเปิดเกราะที่เหลือจากด่านก่อนตลอดเวลาไว้ เพียงเท่านี้จะไม่ได้รับอันตรายจากโปรแกรมไวรัส ]
“เกราะป้องกันงั้นเหรอ คงเป็นหยกขาวชิ้นนี้สินะ”
ผินอินก้มลงพลิกป้ายหยกขาว ไอเทมชิ้นสุดท้ายที่เหลือมาจากสเตจก่อน เมื่อกลางอากาศปรากฏตะกร้าสารพัดนึกขึ้น จึงมองเห็นร่องที่สามารถนำหยกขาววางทาบลงไปได้
เมื่อสะพายตะกร้า แล้วนำหยกขาววางทาบลงไป เกราะป้องกันถูกเปิดขึ้นเป็นม่านพลังโปร่งแสง ที่มีเพียงผินอินเท่านั้นที่มองเห็น
“เยี่ยม เยี่ยมเช่นนี้นี่เอง แบบนี้ต่อให้เป็นมอนสเตอร์ระดับสิบก็ไม่น่ากลัวแล้ว”
[ เกมจะเริ่มในอีก 5 4 3 2 1 ]
[ Ready Go! ]
เกมมาสเตอร์หายไปคล้ายถูกสูบ เมื่อไร้คนสั่งการ รอบกายกลับมามีสีสันดังเดิมอีกครั้ง เสียงของขันทีเฒ่าดังขึ้นฉุดสติของผินอิน
“กติกามีอยู่ว่า ห้ามเข้าไปเก็บในสวนส่วนพระองค์ของรัชทายาทโดยเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนโทษปรับคือตัดคอ”
“อ้าว... แล้วทำไมเมื่อกี๊อีเกมมาสเตอร์ไม่บอกเราวะ!”
“นางกำนัลทั้งหมด มายืนเรียงแถวด้านหน้าทุกคน”
เมื่อเห็นคนที่เข้ารอบมายืนเรียงรายกันเป็นแถว
ผินอินแทบกลั้นขำไม่อยู่ เมื่อเห็นหน้าตาของจุ้ยจวี้ซึ่งยังคงซีดเซียวเสมือนหนึ่งคนเพิ่งฟื้นไข้
“โอ้! ดูเจ้าสิ ยายพิกกะเล็ด เจ้าก็เก่งน่าดู ยังอุตส่าห์รอดเข้ามาถึงด่านคัดเลือกนี้ได้”
“อะไรพิกกะเล็ด”
หมูสีชมพูเพื่อนรักของหมีพลูนั่นเอง
“เจ้ามันลูกไม้เยอะ ที่แท้เจ้ากิเลนไฟนั่นก็เป็นพวกเดียวกับเจ้า ไว้ข้ามีโอกาสพบหน้าองค์ฝ่าบาท ข้าจะทูลฟ้องพระองค์ว่าเจ้ามันเป็นแม่มดชั่วร้าย!”
กลายเป็นว่าคนอื่นมองว่าผินอินสามารถควบคุมลมฝน แม้กระทั่งควบคุมสัตว์ร้าย ทั้งที่จริงตนเองก็แทบเอาตัวไม่รอด
“ใส่ความชัด ๆ ที่เจ้าเห็นมันเพราะพิษไข้จากหิมะกัดสิไม่ว่า ดูสิจมูกบี้แบนของเจ้ายังเปื่อยยุ่ย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นไข้หนักมีหรือจะเป็นเช่นนี้”
“เหลวไหล ข้าเพียงแต่แค่เป็นหวัดเพราะอากาศเย็นจัด มิได้ป่วยเพราะถูกหิมะกัดจนเกิดภาพหลอนสักนิด เจ้านั้นล่ะ สักวันข้าจะเปิดโปงความชั่วของเจ้านางแม่มด”
“อ้าว เจ้านี่แพ้ชวนตี แบร๋...” แลบลิ้นปลิ้นตาให้เสียเลย
บางครั้งก็อยากร้องขอปุ่มปิดปากจากเกมมาสเตอร์มาไว้เป็นไอเทมติดตัวเหมือนกัน ดูท่ารอบหน้าถ้าโบนัสแตกคงจะต้องขอเป็นกรณีพิเศษเสียแล้ว
“เตรียมตัว ออกจากประตูตำหนักเข้าสู่สวนวังหลวง ทุกคนจงท่องจำกฎข้อห้ามให้ขึ้นใจ หากจำไม่ขึ้นใจ พวกเจ้าจะไร้หัว”
“ทราบเจ้าค่ะ!” ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ประตูตำหนักถูกเปิดออก เห็นทิวทัศน์ภายในสวนอุทยานวังหลวงเขียวขจี
“ไปได้!”
สิ้นเสียงขันทีเฒ่า นางกำนัลกว่าสิบคนที่ผ่านเข้ารอบวิ่งเข้าประตูไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อผินอินก้าวเท้าข้ามเข้าไปในอาเขต รอบด้านกลายเป็นภาพสีสันคล้ายอยู่ในเกม มิใช่ทิวทัศน์ดังเช่นสายตามนุษย์มองเห็น
“เฮ้อ... เพื่อชัยชนะ งานนี้ผินอินจะต้องได้เล่นใหญ่งานอลังการใช่ไหม เฮ้อ... ต้องถึงขนาดนี้เชียว เอาเถอะ... อย่างน้อยก็อย่าให้เจออุปสรรคยากนักเลยนะ ข้าขอร้องเถอะ” ผินอินยังถอนหายใจทิ้งท้าย
ผินอินวิ่งช้ากว่าจุ้ยจวี้และพวก เมื่อวิ่งตามหลังคนพวกนั้น จึงถูกกลั่นแกล้งด้วยการพาสมัครพรรคพวกโยนก้อนหินพุ่งสกัดออกมาจากพุ่มไม้
“นี่พวกเจ้า รุมกลั่นแกล้งข้าเลยหรือนี่”
“พวกนางก็เป็นลูกแม่ค้าในตลาดผ้าวันนั้น เช่นเดียวกับข้า วันนี้เจ้าชะตาขาดแน่!”
ในเมื่อเล่นหมาหมู่ ผินอินซึ่งไม่ยอมเสียเปรียบใคร มีหรือจะยอมให้ถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว แต่แม้ก้อนหินเหล่านั้นจะถูกปาเข้ามา แต่เพราะบาเรียที่กางไว้จึงไม่ถูกก้อนหินกระทบมาโดนร่างกาย
-----
กลับมาสู่โลกปัจจุบันหรือไม่ ต้องไปตามอ่านกัน
เป็นกำลังใจให้ หลิวอี๋เหวิน ด้วยนะคะ
ฝากกดไลค์ กดแชร์ และให้หัวใจกันแบบรัว ๆ ด้วยนะ
กราบรอบทิศ สาธุ ภารกิจนี้ เพื่อพิชิตอันดับหนึ่งของ #ดรีม
#การประกวดนิยายภาษาไทยครั้งแรก