9 : นางถานมารับตัวเซี่ยซือซือ

1829 คำ
ยามเฉิน[1] เสียงดังเหมือนคนกำลังก่อสร้างบางอย่าง รบกวนสามพี่น้องในตอนเช้าของอีกวัน เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ น้องสาวของนางยันตัวลุกขึ้นมานั่งเหมือนกัน ทั้งคู่หันไปมองเจ้าตัวน้อยมุมในสุดของเตียง เซี่ยซือหยางยังคงนอนหลับอุตุอยู่ที่เดิม สองพี่น้องจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ข้าจะออกไปดูเองเจ้านอนต่อเถอะ” เซี่ยซือซือกระซิบเสียงเบา น้องสาวของนางก็เอนตัวลงนอนอย่างว่าเชื่อฟัง พอเดินออกมาอยู่หน้าบ้าน เซี่ยซือซือถึงได้รู้ว่าท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองของนาง กำลังช่วยกันปั้นก้อนดินก่อกำแพงกั้นบ้านอยู่ ทำงานกันเช้าเพียงนี้เชียวหรือ ดูท่าแม่เฒ่าเซี่ยคงอยากตัดขาดพวกนางให้เร็วที่สุด เซี่ยฉางเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลานสาวของตน สายตาพลันเย็นชาขึ้นในทันที “ข้าไม่อยู่แค่วันเดียวเจ้าก็ปีกกล้าขาแข็งขอแยกบ้าน ช่างเป็นเด็กเนรคุณจริง ๆ” เมื่อวานเซี่ยฉางกับน้องชายเซี่ยชุน พากันเข้าไปเยี่ยมบุตรชายที่สำนักศึกษาในอำเภอ จึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขอแยกบ้าน พอกลับมาถึงช่วงเย็นภรรยาของพวกเขา ต่างก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แน่นอนว่าต้องเน้นคำว่าบ้านสามเป็นพวกเนรคุณอกตัญญูเป็นหลัก เซี่ยซือซือไม่ได้โต้กลับ ในยามนี้นางเป็นเพียงเด็กอายุสิบสามปี ท่านลุงใหญ่ของนางรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน มองด้วยตาเปล่าหากเทียบกับความสูงในยุคปัจจุบัน อาจสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ส่วนท่านลุงรองนั้นรูปร่างเพรียวกว่าเล็กน้อย ทว่าความสูงนั้นใกล้เคียงกัน เช่นนี้แล้วคนที่สูงราวหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตรแบบนาง ไม่อาจต่อกรกับท่านลุงทั้งสองคนได้ จึงต้องทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ก่อน “ท่านแม่ให้พวกข้ามากั้นกำแพง หลังจากนี้บ้านใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับบ้านสามอีกต่อไป พวกเจ้าสามพี่น้องจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แยกบ้านก็เหมือนตัดขาดออกจากกันไปแล้ว ยามลำบากเจ้าอย่าได้หาญกล้า มาขอความช่วยเหลือจากพวกเราเด็ดขาด” คำพูดนี้เซี่ยชุนเป็นคนเอ่ย มุมปากเซี่ยซือซือกระตุกขึ้นเล็กน้อย บ้านนี้หาคนนิสัยใจคอเหมือนมนุษย์มนาทั่วไปได้ยากจริง ๆ “เชิญท่านลุงทั้งสองทำงานต่อเถอะเจ้าค่ะ ข้ายังต้องหามื้อเช้าให้น้อง ๆ กินก่อน” “กระทั่งห้องครัวยังไม่มี มีหน้ามาบอกว่าจะทำมื้อเช้า ใกล้อดตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” เซี่ยฉางตะโกนด่าตามหลังไป “รีบก่อให้เสร็จเถอะพี่ใหญ่ ท่านแม่เลือกตัดขาดจากคนบ้านสามแล้ว ท่านกับข้าก็ไม่ต้องไปสนใจเด็กพวกนี้หรอก” “เจ้าสามกับเมียไม่น่าชิงตายไปเช่นนี้เลย เด็กพวกนี้เลยไร้คนสั่งสอน ถึงได้เนรคุณท่านย่าของตัวเองเช่นนี้” แม้ปากของเซี่ยฉางจะพูดแบบนี้ ทว่าในใจนั้นกลับยินดีเสียด้วยซ้ำ การที่น้องสามกับภรรยาตายจากไปนั้น ทำให้ส่วนแบ่งในอนาคตของตนกับลูก ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น ราวหนึ่งชั่วยาม[2]กำแพงบ้านก็เสร็จเรียบร้อย ท่านลุงทั้งสองเงียบเก็บของกลับบ้านตนเองไปแล้ว เซี่ยซือซือถึงได้วางใจ นำมันฝรั่งเข้าไปทำโจ๊กในมิติพิเศษของตัวเอง นางนำธัญพืชหยาบต้มผสมกับมันฝรั่ง ให้เป็นโจ๊กเนื้อข้น ๆ สำหรับมื้อเช้า แอบหยดน้ำพุวิเศษลงไปด้วยเล็กน้อย หนนี้นางหยิบเฉ่าเหมยออกไปด้วยสองกำมือ “น้องเล็กล้างหน้าบ้วนปากหรือยัง” “อื้ม” “มากินข้าวเช้าได้แล้ว” “ขอรับท่านพี่” เซี่ยซือหยางรีบลากโต๊ะนั่งกินข้าวออกมาจากมุมบ้าน เข้าประจำตำแหน่งที่เคยนั่งกินข้าวกับครอบครัว ทันทีที่พี่สาวของเขาวางถ้วยโจ๊กถ้วน ๆ ลงบนโต๊ะ ตามด้วยผลเฉ่าเหมยไว้ด้านข้าง เจ้าตัวน้อยก็เอียงหน้ามองพร้อมจ้องตาแป๋ว “เจ้านี่คืออะไรหรือท่านพี่” “หืม เฉ่าเหมยไงเจ้าไม่รู้จักหรือ” “ไม่ขอรับ ไม่เคยเห็น” ไม่เคยเห็น ! เซี่ยซือซือมึนงงหนักกว่าเดิม พยายามย้อนความคิดของเจ้าของร่างเดิม ปรากฏว่าไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้จริง ๆ ตายละ ! แล้วนางจะหาข้ออ้างไหนมาบอกน้องชายดี แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใดออกไป น้องชายของนางก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีก “ท่านพี่ไปเอาโจ๊กนี่มาจากไหนหรือขอรับ” “คือว่า เอ่อ ข้าเอาธัญพืชหยาบกับมันฝรั่งไปบ้านท่านปู่ใหญ่ ขอห้องครัวที่นั่นต้มโจ๊ก ท่านย่าใหญ่สงสารพวกเราเลยให้ถ้วยกับช้อนตะเกียบมาสามชุด บอกว่าไม่ต้องรีบคืน เอาไว้ให้พวกเราซื้อใหม่ก่อนค่อยเอาไปคืนท่าน ส่วนเฉ่าเหมยนั่นเป็นผลไม้ป่ากินได้ ท่านปู่ใหญ่มอบให้พวกเรามา” ยามนี้คงต้องอาศัยชื่อของท่านปู่ใหญ่มาช่วยก่อน “ท่านปู่ใหญ่ใจดี โตขึ้นข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านปู่ใหญ่แน่” เด็กน้อยรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของคนบ้านท่านปู่ใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากท่านย่าแท้ ๆ ของตนเอง ราวฟ้ากับเหวกันเลยทีเดียว “ดีมากบุญคุณต้องตอบแทน” ความแค้นต้องชำระ คำนี้เก็บไว้ในใจ “รีบกินเถอะน้องเล็ก แต่ว่าเรื่องนี้เจ้าห้ามเอาไปบอกคนอื่นเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไปใช้ห้องครัวของท่านปู่ใหญ่ เรื่องถ้วยใส่โจ๊กหรือแม้กระทั่งเฉ่าเหมยผลไม้ป่านั่น ไม่เช่นนั้นจะมีคนมาแย่งของพวกนี้กลับคืนไป น้องเล็กเจ้าเข้าใจคำข้าหรือไม่” เรื่องนี้ต้องย้ำเตือนดี ๆ น้องชายนางยังเด็กนัก “ขอรับท่านพี่ ข้าจะไม่พูดเด็ดขาด” แม้ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เซี่ยซือหยางก็รู้ว่าการถูกแย่งของไปนั้นไม่ใช่เรื่องดี “ดีมาก” เซี่ยซือซือยกฝ่ามือลูบศีรษะน้องชายเบา ๆ ปล่อยให้เขานั่งกินโจ๊กไปเพียงลำพัง ส่วนตัวนางเข้าไปดูน้องสาวที่นอนอยู่บนเตียง แต่แอบเปิดตามองดูนางกับน้องชายอยู่เป็นระยะ “เดี๋ยวพอน้องเล็กกินอิ่มแล้ว ข้าจะพาออกไปเดินเล่นตรงหน้าบ้านสักหน่อย ยามนั้นเจ้าค่อยไปกินข้าวนะอาซาน” นางเอ่ยเบา ๆ น้องสาวก็พยักหน้ารับรู้ แม้มีคำถามเต็มไปหมด แต่เซี่ยซานซานไม่อาจเอ่ยถามออกไปในยามนี้ได้ เอาไว้สบโอกาสเหมาะ ๆ นางต้องถามให้หายข้องใจ บ้านของท่านปู่ใหญ่นั้น แม้จะมีความเห็นอกเห็นใจพวกนาง แต่ไม่มีทางมอบห้องครัวให้ทำอาหาร หรือมอบผลไม้ป่าให้กินอย่างแน่นอน เพราะยังมีบรรดาลูกสะใภ้ใจคับแคบอีกหลายคน “ท่านพี่มากินข้าว” เสียงเซี่ยซือหยางตะโกนเรียกพี่สาวอยู่ด้านนอก “ไปแล้ว ๆ” “ท่านพี่เฉ่าเหมยอันนี้อร่อยมาก ทั้งหวานทั้งเปรี้ยว ท่านพี่กินสิ กินเร็วเข้าเดี๋ยวคนอื่นมาแย่ง” เด็กน้อยรีบยื่นผลเฉ่าเหมยให้พี่สาว เพราะเคยถูกคนในบ้านแย่งของกินอยู่บ่อยครั้ง เลยจดจำฝังใจไปเสียแล้ว “เจ้าค่อย ๆ กินไม่ต้องรีบ ไม่มีใครมาแย่งของกินเจ้าได้หรอก ท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองมากั้นกำแพงบ้านแล้ว พวกเขาไม่กล้าปีนกำแพง เข้ามาแย่งของกินเจ้าหรอกน้องเล็ก” นางบุ้ยหน้าไปที่กำแพงบ้าน “โอ๊ะ จริงด้วย” เด็กน้อยชะโงกหน้าออกไปมองกำแพงบ้านตามพี่สาว ก่อนจะยืดอกน้อย ๆ ขึ้นอย่างดีใจ ค่อย ๆ หยิบผลเฉ่าเหมยเข้าปาก แล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย สองพี่น้องกินโจ๊กมันฝรั่งผสมธัญพืชหยาบจนอิ่ม จากนั้นเซี่ยซือซือได้พาน้องชายออกไปเดินเล่นนอกบ้าน อย่างที่บอกน้องสาวเอาไว้ นางกะเวลาให้เซี่ยซานซานได้ล้างหน้าบ้วนปาก และกินข้าวให้เสร็จเรียบร้อย ถึงได้พาน้องชายกลับเข้าบ้าน สักพักใหญ่ ๆ นางถานก็มาเคาะประตูเรียก “ท่านป้าถานเข้ามานั่งในบ้านก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ถานเหลียนฮวาอายุสามสิบหกปี มีใบหน้าซูบตอบทำให้ดูแก่เกินวัย ทว่ายังมีเค้าโครงความงามอยู่ไม่น้อย นางเดินตามหลังเซี่ยซือซือเข้าไปนั่งภายในบ้าน “บ้านข้ามีแค่น้ำต้ม ท่านป้าถานอย่าได้รังเกียจ” เซี่ยซือซือรินน้ำต้มให้นางถาน “ขอบใจเจ้ามากซือซือ เจ้าเก็บของเสร็จรึยัง” นางถานเรียกชื่อนางเช่นนี้สินะ นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนเรียกชื่อซือซือเหมือนในยุคปัจจุบัน “ข้ายังไม่ได้เก็บเลยเจ้าค่ะ” “เหตุใดยังไม่เก็บอีกเล่า เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือว่าวันนี้ต้องไปอยู่ที่บ้านข้า แค่ก ๆ” เอ่ยยังไม่ทันจบนางถานก็ไอโขลกออกมาติด ๆ “แค่ก แค่ก แค่ก” “ท่านป้าถาน ท่านดื่มน้ำก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เซี่ยซือซือเลื่อนจอกน้ำต้มไปให้คนไอหนักจนหน้าดำหน้าแดง กานี้นางไม่ได้หยดน้ำพุวิเศษใส่ นางถานรีบยกจอกน้ำขึ้นจิบ ใช้ฝ่ามือลูบหน้าอกตัวเองแรง ๆ อาการเหมือนคนเจ็บป่วยรุนแรง ยามนี้เซี่ยซือซือกระจ่างแก่ใจตัวเองแล้ว เหตุใดนางถานถึงอยากซื้อนางไปเป็นภรรยาของลูกชายนัก ที่แท้ก็ป่วยหนักเจียนตาย คงคิดว่าตัวเองจะอยู่รอดได้ไม่นาน จึงรีบหาภรรยาให้ลูกชาย ทว่าสตรีดี ๆ ที่ไหน จะยอมรับคนพิการเป็นสามี อีกทั้งโอกาสหย่าร้างนั้นยังมีสูง แต่การซื้อคนนั้นมีเอกสารเป็นหลักฐานการซื้อขาย ผู้ถูกซื้อจะหนีไปจากผู้ซื้อไม่ได้ จะกลายเป็นคนมีความผิดติดตัว ในความทรงจำของร่างเดิม พอจะรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง กฎหมายแคว้นจ้าวนั้นมีข้อเสียเปรียบ ตรงระบุไว้ว่าการจะไถ่ถอนตัวได้นั้น ต้องให้ผู้เป็นนายอนุญาตเท่านั้น ไม่เว้นกรณีซื้อไปเป็นภรรยาแบบนาง ต่อให้นางหาเงินมามากพอจะไถ่ถอนตัวเองได้ แต่หากถานจ้านไม่อนุญาตนางก็หมดสิทธิ์ที่จะไปจากเขา เห็นทีนางต้องทำดีกับถานจ้านให้มาก เพื่อเสรีภาพของตัวนางเองในวันข้างหน้า ท่านป้าถาน ท่านช่างฉลาดนักนะ [1] ยามเฉิน คือ 07.00-08.59 น. [2] หนึ่งชั่วยาม แทนเวลา 2ชั่วโมง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม