ตอนที่ 17 การมาของบุตรชาย
คุณชายรองหรือท่านหัวหน้าองครักษ์เดินทางกลับไปพร้อมกับซากศพคนเหล่านั้น ที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัส บ้างก็ยอมสังเวยชีวิตตนเองเพื่อมิให้ถูกทรมาน
ส่วนคุณชายใหญ่หรือท่านราชครูจับจูงมือของภรรยา เดินออกมาจากจุดที่หลบซ่อน ทั้งสองขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว อาชิงไม่ได้รับบาดเจ็บมาก มีเพียงรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น สารถีหนุ่มที่คอยควบคุมรถม้าคอยดูแล ปกป้องอาชิงตลอดการหลบหนี
ทางด้านหวังเพ่ยอิงยอมละทิ้งศักดิ์เข้าทางประตูข้างของจวน นางจะจดจำความอัปยศหนนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ สักวันจะต้องแก้แค้นคนจวนโจวให้ได้ โดยเฉพาะถังเหมยหลิน สาวใช้ของนางที่ติดตามมาด้วยคือลู่จิน
เป็นสาวใช้ที่ได้รับความไว้วางใจให้คอยรับใช้คุณหนูรองของจวนหวัง นับตั้งแต่ที่คุณหนูยังเป็นดรุณีน้อยวัยเพียงแค่แปดหนาวเท่านั้น ลู่จินก็คอยดูแลรับใช้คุณหนูน้อยเสมอมา
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าไปสืบมาแล้ว ท่านราชครูเดินทางไปเยี่ยมจวนถังจริง ๆ เจ้าคะ” ลู่จินกล่าวจบแล้ว เจ้าสาวรีบดึงผ้าคลุมหน้าออกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง มือเรียวกำกระโปรงเอาไว้ ดวงตาดุดันเกรี้ยวกราดยิ่งนัก
ลู่จินเกรงว่าคุณหนูจะระงับสติไม่ได้ จึงรีบกุมมือนุ่มนิ่มเอาไว้ แล้วพูดปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ อีกไม่กี่วันท่านราชครูก็กลับแล้ว ระหว่างนี้พวกเราควรเริ่มทำตามแผนขององค์ชายสามได้แล้วกระมัง”
“จริงด้วยสิ นี่เป็นโอกาสของพวกเรา เจ้าไปดูเรือนของถังเหมยหลินแล้วใช่หรือไม่” หนทางเดียวต้องเข้าไปในเรือนของศัตรูหัวใจ ทำอย่างไรก็ได้
เพื่อให้อีกฝ่ายเสียเปรียบเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ จนต้องถูกหย่า หรือไม่ได้รับโทษเป็นหญิงงามหน้า สวมหมวกเขียวให้สามี นี่คือแผนที่นางวางเอาไว้ก่อนที่จะเข้ามายังจวนโจว ฐานะอนุผู้หนึ่ง แต่จะโค่นล้มฮูหยินเอกด้วยสองมือคู่นี้ให้ได้
“ไม่มีใครอยู่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคืนนี้จะแอบเข้าไป” ลู่จินเข้าใจนายสาวดี เพราะปรึกษากันก่อนหน้า ว่าจะทำอย่างไรดีให้ถังเหมยหลินถูกตราหน้า ทำให้จวนโจวเสียชื่อเสียง บังเกิดเป็นข้อครหา
“ดีมาก อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาดเล่า”
ทางด้านโจวหย่งเล่อและถังเหมยหลิน เดินทางถึงจวนถังแล้ว มีบ่าวรับใช้และสาวใช้ออกมาต้อนรับ รวมถึงผู้เป็นมารดาที่เป็นห่วงบุตรสาว เนื่องจากได้ยินว่าบุตรเขยมิเข้าหอกับลูกสาวของนาง ทำให้หญิงสูงวัยค่อนข้างมีความกังวลใจไม่น้อย
เมื่อพบว่าสิ่งที่อาชิงบอกกล่าวผ่านจดหมาย มิได้เป็นความจริงเสมอไป เห็นว่าบุตรเขยมีท่าทีอ่อนโยนต่อบุตรสาว หญิงสูงวัยก็ใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว ใบหน้าจึงแย้มยิ้มอย่างยินดียิ่งนัก “มาเหนื่อย ๆ เข้าบ้านกันเถิด โชคดีนักที่ไม่ค่ำมืดเสียก่อน”
“ระหว่างทางเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยขอรับ ทำให้กลับบ้านเยี่ยมท่านแม่ยายกับท่านพ่อตาช้าไปบ้าง” ชายหนุ่มรีบร้อนเอ่ยกล่าว เกรงว่าแม่ยายจะโกรธเอาได้ อีกทั้งยังปกปิดบาดแผลที่ไหล่ซ้าย หากรู้ว่าระหว่างเดินทางกลับบ้านพบเจอกับอันตราย อาจส่งผลให้ท่านพ่อตาหัวเสีย พี่ภรรยาไม่พอใจ
“ไม่เป็นไรเชิญด้านในเถิด พ่อเจ้าคอยอยู่ในห้องรับรองแล้วล่ะ พี่สาวเจ้าก็ตระเตรียมอาหารอยู่ในครัว” ผู้เป็นมารดาจับจูงมือบุตรสาวเข้าด้านใน แล้วเชื้อเชิญบุตรเขยให้รีบเข้ามา นางยังสังเกตเห็นใบหน้าอันสะสวยคล้ายมีเรื่องบางอย่างซุกซ่อนอยู่
ไม่เป็นไรอีกเดี๋ยวค่อยเอ่ยสอบถามยังไม่สาย วันนี้พวกเขาทั้งคู่เดินทางมาเหนื่อย ไม่อยากพูดอันใดให้กระทบกระเทือนจิตใจ เพราะด้านในมีสามีของนาง คอยท่าเล่นงานลูกเขยอยู่แล้ว
ที่บังอาจหักหน้าจวนถัง เห็นคนจวนนี้เป็นอันใดกัน ไม่ให้เกียรติกลับหยามหน้า ตัวนางเป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าสำนักเขาหมื่นลี้ สามีเป็นถึงขุนนางในวังหลวง
มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้ากรมกลาโหมเชียวนะ บุตรชายเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ บุตรสาวคนรองเป็นถึงท่านหญิงพระราชทาน เหตุใดลูกเขยผู้นี้จึงอาจหาญหยามหน้าจวนถังกันเล่า
หรือคิดว่าเป็นหลานชายของโม่ฮองเฮากัน คิดจะข่มเหงรังแกคนจวนนี้มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก หญิงสูงวัยเก็บความไม่พออกพอใจเอาไว้ก่อน จึงเลือกที่จะเดินจับจูงมือบุตรสาวเหมือนราวกับนางยังเป็นเด็กเพียงไม่กี่หนาวเท่านั้น
ยังไม่ทันไร สตรีที่เพิ่งเดินทางเข้ามาจวนก็ถูกเด็กชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาสวมกอดเสียแล้ว “ท่านแม่ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
ถ้อยคำของเด็กชายผู้นี้ทำให้สามีของถังเหมยหลินถึงกับจ้องมองนางอย่างต้องการคำอธิบาย เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับจ้องมองไม่วางตา ที่เห็นว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้มีอายุอานามไล่เลี่ยกับหลานชายของตน
แต่ที่น่าแปลกใจ ภรรยาของเขามิเคยแต่งงานมาก่อน แล้วเจ้าเด็กคนนี้เรียกนางว่าแม่ได้อย่างไรกัน โจวหย่งเล่อยังไม่ทันซักถาม ก็มีชายผู้หนึ่งเดินยิ้มแป้นมาแต่ไกล
“หลินเอ๋อร์กลับมาเสียที ข้ากับลูกรอเจ้าตั้งนานแล้ว” ชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มร้าย ตั้งใจให้โจวหย่งเล่อได้ยินเต็ม ๆ สองรูหู หากขอหย่ากับถังเหมยหลินได้ย่อมดีนัก
เพราะเขาเฝ้ามองนางปรารถนาจะครอบครองนางมาเนิ่นนานแล้ว ติดอยู่ที่ว่านางมีคู่หมั้น และยังรักปักใจกับชายผู้นี้อีก จึงทำให้เขาวางตัวลำบากนัก มีแค่บุตรชายที่ไร้มารดาคอยช่วยเหลือ
แต่ใครจะคาดคิดกันเล่า จากกันเพียงแค่สองเดือน นางก็แต่งงานเข้าจวนโจวแล้ว เขาเสียอกเสียใจนักหนา กินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายผ่านผอม ยังโชคดีที่เขาคำนวณวันเวลา วันนี้นางย่อมต้องเดินทางมาเยี่ยมบิดาและมารดาเป็นแน่
อีกทั้งเขาได้รับจดหมายจากท่านหญิง ว่าถังเหมยหลินมีกำหนดกลับจวนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางพร้อมกับบุตรชายตัวน้อย ตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง กว่าจะเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาหลายชั่วยามทีเดียว
“ขออภัยด้วยคุณชาย นางคือฮูหยินของข้า เกรงว่าท่านกับบุตรชายไม่อาจเรียกนางอย่างที่ว่าได้แล้ว” จู่ ๆ เขาก็รู้สึกไม่พอใจชายผู้นี้นัก บังอาจเรียกภรรยาของเขาอย่างสนิทสนมเยี่ยงนี้ต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน
“ท่านราชครูกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้ากับลูกล้วนสนิทสนมกับนางเป็นอย่างดี อีกอย่างลูกชายข้าเรียกนางว่าท่านแม่มานานแล้ว ท่านมาทีหลังไม่รู้อันใดอย่าพูดจาไม่รู้ความ ประเดี๋ยวนางจะไม่พอใจเอาได้นะ” ชายผู้นี้ยังคงตีฝีปากไม่ยินยอม
เพราะเขารู้ดีว่าหมากกระดานนี้เขามีผู้ช่วยสำคัญ รวมถึงรู้มาว่าโจวหย่งเล่อไม่เข้าหอกับนาง เขาย่อมมีโอกาสที่จะต่อสู้เพื่อช่วงชิงนางมา เจ้าตัวเล็กรีบพูดเสริมบิดาขึ้นว่า “ท่านลุงนี่นะ ช่างใจแคบเสียเหลือเกิน ท่านแม่ของข้าใจดีดุจเทพธิดา น่าเสียดายนักที่แต่งงานกับปีศาจร้ายเช่นท่าน”
“เจ้าเด็กนี่” โจวหย่งเล่อขึ้นเสียง
“ท่านพี่ เขายังเป็นเด็กเหมือนเสี่ยวเปา ท่านก็อย่าถือสาหาความเขาเลย เสี่ยวเว่ยเข้าบ้านกันเถอะ” นางจูงมือเจ้าตัวเล็กเข้าบ้าน แทนที่จะเป็นสามีของนาง
โจวหย่งเล่อยืนทึ่มทื่อเมื่อถูกภรรยาทอดทิ้งเอาไว้ เขาจึงแสร้งร้อง “โอ๊ย...หลินเอ๋อร์ สามีเจ็บตรงนี้เหลือเกิน”
เสแสร้งนักนะ...เสียงพึมพำนี้มาจากบิดาของเสี่ยวเว่ย เขาคือจางเหิง ที่รู้สึกขุ่นเคืองใจนัก เพราะนางปล่อยมือจากเสี่ยวเว่ยไปประคองโจวหย่งเล่อ เพียงเพราะเขาแสร้งร้องเจ็บปวด นางก็รีบร้อนไปประคองเขาแล้ว
โจวหย่งเล่อกดยิ้มที่มุมปาก ถึงอย่างไรเขาก็เหนือกว่าสองพ่อลูกคู่นี้ คิดจะเอาเด็กมาบังหน้า เพื่อเข้าหาภรรยาของเขาเช่นนั้น ฝันไปเถอะ บุรุษอย่างเขาไม่มีวันยอมให้ภรรยาชายตาเหลือบแลชายใดนอกจากเขาเพียงผู้เดียว
“เจ็บมาก ข้าเจ็บตรงนี้” เขาแสร้งซบหน้าลงมายังคนตัวเล็กกว่า ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาเป็นตาเดียวกัน ผู้เป็นมารดาของภรรยาถึงกับกลั้นขำ ที่เห็นว่าลูกเขยผู้นี้ยังเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง รู้จักกินน้ำส้มไหโตเสียแล้ว
“ท่านเจ็บที่ไหล่ซ้ายนี่นา นี่มันไหล่ขวา” นางมองเขาตาเขียว พร้อมกับลงเล็บหยิกที่เอวของเขาเพื่อเป็นการลงโทษ
เห็นคู่สามีภรรยาหยอกล้อกันอย่างรักใคร่ ก็ยิ่งทำให้จางเหิงไม่พอใจนักหนา พูดขึ้นว่า “ลูกชายข้าบาดเจ็บไม่เห็นต้องออเซาะมารดาให้คอยดูแลสักนิด เป็นชายตัวใหญ่เสียเปล่าใจเสาะราวกับสตรีไม่ผิด ใช่หรือไม่เสี่ยวเว่ย”
“ใช่ขอรับท่านพ่อ แขนข้าเขียวช้ำขนาดนี้ ข้ายังไม่ร้องไห้ขอให้ท่านแม่มากอดข้าเลย ท่านลุงโจวช่างอ่อนแอเหลือเกิน จะปกป้องท่านแม่ของข้า ได้เหมือนท่านพ่อของข้าได้หรือไม่...”
เสี่ยวเว่ยยังพูดไม่จบ เขาจึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าท่านพ่อเฝ้าคะนึงหาท่านอย่างเดียวดายมาเนิ่นนานแล้ว พวกเรากลับไปหมู่บ้านฉางเซิงด้วยกันได้หรือไม่ขอรับ ไปอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน ท่านพ่อจะได้ไม่เสียใจจนผ่ายผอม ข้าจะได้ไม่ถูกสหายล้อว่าไม่มีท่านแม่ เป็นเด็กกำพร้าอีก”