หล่อนหยิบจานใบเล็กมาถือเอาไว้ และเดินจิ้มขนมมาใส่จาน จากนั้นก็จิ้มใส่ปากอย่างอดใจไม่ไหว
“อืมมม อร่อยสมหน้าตาเสียด้วย”
มือเล็กจิ้มขนมใส่ปากไม่หยุด คำแล้วคำเล่า หมดแล้วก็ตักใหม่ จนเผลอเรอออกมาเสียงดังจนคนอื่นหันมามอง หล่อนยิ้มแก้เขิน ก่อนจะคว้าแก้วน้ำหวาน และเดินห่างออกไปจากโซนของกิน
หล่อนเดินออกมาจากกลุ่มของผู้คนมีเงินพอสมควร ตั้งใจจะออกไปสูดอากาศนอกงาน แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเสียงแหบของชายสูงวัยดังขึ้นด้านหลัง หล่อนหันไปมอง ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“ท่านนั่นเอง”
หล่อนหันรีหันขวางมองจนมั่นใจว่าโมฮัมหมัดอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีลูกชายจอมเย็นชาของเขาอยู่ด้วย จึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหา ร่างอรชรทรุดลงคุกเข่ากับพื้น และเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ
“ท่านสบายดีไหมคะ”
“ฉันสบายดี แต่จะไม่สบายตรงที่คิดถึงหนูนั่นแหละ”
“เอ่อ... หนูก็คิดถึงท่านค่ะ ท่านคุยสนุกดี” ปรางสิตาหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มของหล่อนสดใสและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด
“เมื่อกี้ ฉันเห็นหนูกินขนมอยู่ทางนู้น”
ปรางสิตาหน้าแดงระเรื่อเพราะรู้สึกอับอาย “คือหนูกินเยอะมากเลยน่ะค่ะ น่าอายจริงๆ”
“ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลย ฉันชอบผู้หญิงที่มีความสุขกับการกินอย่างหนูนะ”
“เอ่อ... ขอบคุณค่ะท่าน”
“ปกติเจ้าลูกชายของฉันนะ มันจะพาแต่ผู้หญิงหุ่นเป็นไม้เสียบลูกชิ้นมาบ้านตลอด ฉันเห็นแล้วก็กลัวเหลือเกินว่าพวกหล่อนจะถูกลมพัดปลิวไปตกกลางทะเล”
ปรางสิตาหัวเราะขบขัน “ท่านเป็นคนอารมณ์ดีมากเลยนะคะ คุยสนุกด้วย”
“นี่ฉันพูดเรื่องจริงนะ” ชายสูงวัยทำเสียงจริงจัง
“ค่ะ หนูทราบค่ะ”
โมฮัมหมัดกวาดตามองหน้าปรางสิตาอย่างเอ็นดู “เจ้าลูกชายของฉันมันบอกกับฉันว่าหนูน่ะเป็นแม่หม้าย ชอบแต่งงานกับชายแก่ แต่ฉันไม่เชื่อหรอก”
“คือหนู...” ปรางสิตาหลบสายตาของชายสูงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนหลายสิบปีลงมองพื้น
“หนูไม่ใช่กานติมาใช่ไหม”
“เอ่อ...”
“ถึงหนูไม่ตอบ ฉันก็รู้ เพราะฉันเคยเห็นหน้ากานติมามาก่อน”
ปรางสิตาถึงกับหน้าซีดเผือด ช้อนตามองชายสูงวัยด้วยความหวาดวิตก
“ท่าน... อย่าบอกใครนะคะ บอกใครไม่ได้เด็ดขาดว่าหนูไม่ใช่... คุณนาย...”
โมฮัมหมัดหัวเราะพึงพอใจ “หนูเป็นเด็กรับใช้ในบ้านเหรอ”
“ใช่... ค่ะ...” หล่อนไม่มีทางเลือก จำต้องยอมพูดความจริงออกไป
“ฉันอยากให้หนูมาดูแลฉันจังเลย ฉันกำลังจะไล่คนดูแลคนเก่าออก ชอบตะคอกฉันบ่อยๆ แถมยังจะงับหัวฉันวันละสามเวลาอีกต่างหาก”
“เอ่อ... คือหนูขอบคุณท่านมากนะคะ แต่หนูคงทิ้งคุณนายไม่ได้หรอกค่ะ”
โมฮัมหมัดเอามือวางลงบนหลังมือเล็กขาวสะอาดของปรางสิตา และพูดขึ้นอย่างมีความหวัง
“ถ้าเมื่อไหร่ที่นั่นไม่ต้องการหนู หนูสัญญานะว่าจะคิดถึงฉันเป็นคนแรกน่ะ”
“เอ่อ...”
“เพื่อแลกกับการที่ฉันจะไม่แพร่งพรายความลับของหนูยังไงล่ะ ตกลงไหม”
ปรางสิตาไม่มีทางเลือก จำต้องดึงมือออกจากอุ้งมือของโมฮัมหมัด และยกมือขึ้นไหว้
“หนูขอบคุณท่านมากค่ะ”
“ไม่เอา ไม่ต้องขอบคุณ สัญญามาดีกว่า”
“สัญญาค่ะท่าน”
โมฮัมหมัดระบายยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ดีมาก ฉันจะรอวันนั้นนะ หนู...” ชายสูงวัยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้น “คุยกันมาสองครั้งแล้ว ยังไม่รู้ชื่อเลย หนูชื่ออะไรเหรอ”
“เรียกหนูว่าปรางก็ได้ค่ะ”
“ปราง... เพราะดีนะ ฉันชอบชื่อนี้จัง”
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของชายสูงวัยตรงหน้าทำให้ปรางสิตารู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาไม่น้อย หลังจากที่ตัวตนของหล่อนถูกกลืนหายไปตั้งแต่ลืมตาดูโลก
ผู้ชายตรงหน้าใจดีและมีเมตตากับหล่อน แน่นอนว่าหล่อนรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันคงจะดีไม่น้อย หากชายสูงวัยคนนี้ไม่ใช่บิดาของผู้ชายผู้มีใบหน้าราวกับเทพบุตรคนนั้น บุรุษเพียงคนเดียวในโลกที่สามารถทำให้หล่อนหยุดหายใจได้โดยที่ยังไม่ตาย
ครั้งแรก เขามองหล่อนว่าเป็นโสเภณีที่เข้าไปขายบริการในโรงแรมหรูของเขา และครั้งที่สองก็คืองานเลี้ยงคืนนั้นที่เขาเข้าใจว่าหล่อนคือกานติมา แม่หม้ายสาวพราวเสน่ห์ที่กำลังจะจับพ่อของเขามาเป็นสามี
หล่อนไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก... เพราะคงไม่อาจจะทานทนต่อสายตาดูแคลนหยามเกียรติที่เขาใช้จ้องมองได้อีกแล้ว
“ขอบคุณมากค่ะท่าน”
“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย นี่ฉันพูดเรื่องจริงนะ”
“เอ่อ... ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่มีใครชมหนูเลยน่ะค่ะ หนูก็เลยรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อท่านบอกว่าชื่อของหนูเพราะ”
โมฮัมหมัดส่ายหน้าไปมาแล้วหัวเราะ “ฉันไม่เชื่อหรอก อย่างน้อยๆ คนที่ตั้งชื่อให้หนูก็ต้องคิดว่ามันเพราะละ ถึงได้ให้หนูใช้ชื่อนี้น่ะ”
สีหน้าของปรางสิตาสลดลง และเศร้าหมองจนโมฮัมหมัดรู้สึกแปลกใจ
“นี่ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ถ้าใช่ ฉันขอโทษนะหนู”
ปรางสิตาช้อนตาขึ้นมอง และฝืนยิ้ม “ท่านไม่ได้พูดอะไรผิดหรอกค่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมทำหน้าเศร้านักล่ะ”
“คือ... คนที่ตั้งชื่อให้หนูคือครูพี่เลี้ยงที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะค่ะ”
สีหน้าของโมฮัมหมัดเต็มไปด้วยความละอายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะบ่าบอบบางของปรางสิตา ท่ามกลางสายตาคมกริบที่จ้องมองมาด้วยความไม่พอใจของเจ้าชายคาฟาห์
“ฉันขอโทษนะหนู ฉันไม่คิดว่า...”
“เอ่อ... ท่านไม่ได้พูดอะไรผิดจริงๆ ค่ะ” คนพูดพยายามที่จะยิ้มออกมา แต่น้ำตาก็ยังคลอเบ้า “คือหนู... แค่รู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย เมื่อคิดถึงพ่อกับแม่น่ะค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดมา หนูก็ยังไม่เคยเห็นหน้าพวกท่านเลย”
ในที่สุดน้ำตาก็ไหลรินออกมาตามร่องแก้ม ปรางสิตารีบยกหลังมือขึ้นป้ายทิ้ง
“คือหนู... แค่อยากเห็นหน้าพวกท่านสักครั้งน่ะค่ะ แค่นั้นจริงๆ” หญิงสาวสะอื้นไห้ออกมา จนโมฮัมหมัดทำอะไรไม่ถูก ต้องรีบกระดาษทิชชูส่งให้และปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะหนูปราง... อย่าคิดมาก...” ชายชราวางมือของตนเองลงบนท่อนแขนหญิงสาวอย่างให้กำลังใจ “ถ้าหนูต้องการพ่อ ต้องการแม่ ก็ฉันนี่ไง... ฉันยินดีเป็นพ่อให้หนูนะ”
ปรางสิตาเงยหน้าขึ้นมองโมฮัมหมัด และก็เห็นความเมตตาที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของท่าน หัวใจของหล่อนพองฟูคับอก สายตาแบบนี้ไง ที่หล่อนอยากเห็นจากพ่อกับแม่บังเกิดเกล้าสักครั้ง
“ขอบคุณค่ะท่าน...”
“นี่ฉันพูดจริงๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น”
“หนูไม่กล้าอาจเอื้อมหรอกค่ะท่าน แต่หนูก็ขอขอบพระคุณท่านมากนะคะ” หลังจากป้ายน้ำตาทิ้งจนแห้งก็ฝืนยิ้มออกมา “นอกจากคุณนายแล้ว หนูก็มีแต่ท่านนี่แหละค่ะที่เมตตาหนูจากใจจริงๆ”
“ฉันถูกชะตากับหนู อยากให้หนูมาอยู่ด้วย”
“เอ่อ...”
“นี่หนูคงไม่คิดว่าฉันจะให้หนูมาอยู่ด้วยในฐานะเมียหรอกใช่ไหม”
“หนู... ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกค่ะ”
โมฮัมหมัดระบายยิ้มโล่งใจ “งั้นถ้าที่นั่นไม่มีใครต้องการหนูแล้ว หนูต้องมาหาฉัน มาอยู่กับฉันที่บ้านนะ”
“ค่ะ... ท่าน”
“แต่ผมคิดว่าคงไม่เหมาะนะครับท่านพ่อ”
น้ำเสียงกระด้างของผู้ชายที่หล่อนรู้ดีว่าเป็นใครดังขึ้นด้านหลัง หล่อนเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง พยายามผ่อนคลายความหวาดกลัวและความตึงเครียดในร่างกายให้บรรเทาลง เพราะรู้ดีว่ากระแสเสียงที่ได้ยินมันมีแต่โทสะร้าย
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ คาฟาห์” โมฮัมหมัดเอ่ยทักทายลูกชาย และไม่สนใจหน้าตาบูดบึ้งแทบจะกินคนได้ของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“มา... พ่อจะแนะนำให้แกรู้จักกับ... หนูปราง... อ้อ... คุณกานติมาอีกครั้งนะ”
คาฟาห์เบ้ปากมองอย่างรังเกียจ “ไม่ต้องแนะนำให้ผมรู้จักหรอกครับ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนที่นี่ ในงานเลี้ยงนี้ ต่างได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคุณกานติมากันมาอย่างดีแล้ว ชื่อเสียงที่มีแต่เสียๆ หายๆ”
เขาเน้นท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงกระด้าง ชิงชัง จนปรางสิตาต้องเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงตลอดเวลา ภาวนาให้สามารถหายตัวไปจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด
“เรื่องในอดีต พ่อไม่สนใจหรอก”
“ท่านพ่อจะไปสนใจอะไรล่ะครับ ในเมื่อท่านพ่อสนอย่างเดียวก็คือความสวย ความฉอเลาะของสตรี” เจ้าชายคาฟาห์ประชดประชันผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองรู้ทัน