“ดีใจนะที่เธอจำฉันได้”
หล่อนต้องจำเขาได้อยู่แล้ว ในเมื่อไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผู้คนมากมายเท่าไหร่ แต่เขาก็โดดเด่นดึงดูดสายตาของทุกคนได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่หล่อน
“เอ่อ... ค่ะ”
คาฟาห์ยิ้มเยาะ หยุดไล่สายตาสำรวจตรวจตราราวกับประเมินราคาหญิงสาว และจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของเจ้าหล่อนแทน
“ซึ่งฉันก็จำเธอได้เหมือนกัน”
สายตาดูถูกเหยียดหยามของผู้ชายตรงหน้า ทำให้ปรางสิตาหน้าแดงก่ำ อับอายจนต้องรีบขยับตัวออกห่างยิ่งขึ้น เพราะไอร้อนแสนร้ายกาจจากเรือนกายล่ำสันของเขาทำให้หล่อนวิงเวียน
“ขอบ... ขอบคุณที่จำฉันได้ค่ะ”
หล่อนหมุนตัวจะเดินเข้าไปภายในห้องดูชุดอีกครั้ง แต่คงเพราะรีบร้อนมาก ทำให้สะดุดขาของตัวเอง และแน่นอนหล่อนกำลังจะล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นหากไม่มีมือใหญ่ตวัดรวบเอวคอดเอาไว้เสียก่อน และไม่ใช่ใครที่ไหนที่ช่วยเหลือหล่อน แต่คือเขา
“เอ่อ... ขอบคุณค่ะ”
ดวงตาของหล่อนสบประสานกับดวงตาคมกริบโดยบังเอิญ แล้วก็เหมือนกับตัวเองถูกดูดหายเข้าไปในดวงตาคู่นั้น หล่อนหอบหายใจระรัว เพราะออกซิเจนในกายเริ่มน้อยลงไปทุกขณะ ร่างกายคล้ายกับเทียนไขที่ตั้งอยู่กลางแดดจ้า มันกำลังจะละลายในไม่ช้า
บ้า... มันบ้ามากที่หล่อนรู้สึกรุนแรงแบบนี้กับผู้ชายที่ป่าวประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่าเกลียดชังหล่อน แต่... แต่เขาหล่อเหลาเหลือเกิน หล่อจนขโมยหัวใจของหล่อนไปได้ตั้งแต่แรกสบตา
ไม่ใช่แค่ปรางสิตาคนเดียวหรอกที่รู้สึกว่าตกลงไปในเหวอันเต็มไปด้วยความร้อนแรง แต่คาฟาห์เองก็ไม่ต่างกัน เขารู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน รู้สึกราวกับว่าผู้หญิงในอ้อมแขนคือนางโลมยั่วใจ หล่อนนุ่มนิ่มไปทั้งตัว ไม่ว่าจะสัมผัสตรงไหน
แถมยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับทุ่งดอกไม้ป่าก็ฟุ้งเข้ามาในจมูก มันทำให้เขามึนเมา และแข็งชันไปทั้งตัว
เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่รู้สึกทางเพศกับแม่หม้ายชื่อคาวกระฉ่อนเมืองอย่างกานติมา
คาฟาห์ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถปล่อยร่างอรชรออกจากอ้อมแขนได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายถอยหลังออกไปเสียเอง
มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมดกดำหลายครั้งติด ก่อนจะมองแม่ผู้หญิงที่สร้างความปั่นป่วนให้กับกายหนุ่มอย่างเดือดดาล
“ถึงฉันจะร่ำรวยมาก แต่ฉันก็ไม่ใช่ผู้ชายสูงวัยอย่างที่เธอนิยม ดังนั้นอย่ามาอ่อยฉันให้เสียเวลา”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความชิงชังของผู้ชายที่มีรูปโฉมราวกับเทพบุตรชั้นฟ้าตรงหน้าทำให้หล่อนได้สติ
“ฉัน... ไม่ได้...”
“เพราะฉันไม่ได้โง่ให้เธอจูงจมูกง่ายๆ หรอก”
ปรางสิตาน้ำตาซึมด้วยความอับอาย กลีบปากอิ่มเต็มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง มองผู้ชายตรงหน้าอย่างโมโห
“คุณจะคิดยังไงกับฉันก็ตามใจ แต่ฉันไม่เคยคิดจะอ่อยคุณเลย ขอตัวค่ะ”
แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินหนีจากไปทันที โดยมีพนักงานขายที่ยืนมองอย่างอึ้งๆ ก้าวตามหลังเข้าไป
คาฟาห์กำมือแน่น เดินกลับไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเอง พยายามทำใจให้สงบ แต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ต้องการแม้แต่น้อย เขาขบกรามจนเป็นสันนูนด้วยความหงุดหงิด
“ขออย่าให้เจอะเจอกันอีกเลย”
แม้หลังจากพาชลันดาไปชอปปิงชุดหรูแล้ว เขาจะได้ลากหล่อนขึ้นเตียงและปลดปล่อยใส่ร่างของหล่อนไปสามครั้งแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอย่างหาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี
คาฟาห์ส่งเสื้อสูทสีเข้มให้กับคนรับใช้ ก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้องโถง และก็พบว่าบิดานั่งยิ้มแฉ่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าของท่านยิ้มแย้มมากกว่าทุกวัน
“ทำไมทำหน้าบูดเชียวเจ้าลูกชาย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับท่านพ่อ” เขาปฏิเสธ ก่อนจะเดินเข้าไปคุกเข่าใกล้ๆ รถเข็นของท่าน “วันนี้ท่านพ่อหน้าตายิ้มแย้มเชียว มีอะไรพิเศษหรือครับ”
โมฮัมหมัดฉีกยิ้มกว้างขึ้น วางมือเหี่ยวบนบ่ากว้างทรงพลังของลูกชายเพียงคนเดียว
“แกลืมวันนี้ไปได้ยังไงกัน คาฟาห์”
คิ้วเข้มที่พาดอยู่เหนือดวงตาคมกริบเลิกสูง และก็พยายามขบคิดหาคำตอบ แต่ก็คิดไม่ออก
“วันนี้ไม่ใช่วันเกิดท่านพ่อ วันครบรอบท่านแม่สิ้นก็ไม่ใช่ หรือว่าวันเกิดผม... แต่ก็ไม่ใช่นี่ครับ”
ผู้เป็นบิดาทำหน้าย่นใส่ ก่อนจะพูดออกมา “ก็คืนนี้แกต้องพาพ่อไปงานเลี้ยงยังไงล่ะ”
คาฟาห์ถึงบางอ้อในทันที “ผมก็นึกว่าท่านพ่อมีอะไรพิเศษ ที่แท้ก็นับวันนับคืนรอที่จะได้ไปงานเลี้ยงไร้สาระนั่นนี่เอง”
“มันไร้สาระที่ไหนกันล่ะ พ่อจะพาแกไปส่องสาวๆ แล้วก็...”
“แล้วก็ส่องให้ตัวท่านพ่อเองด้วยใช่ไหมครับ” คาฟาห์แทรกขึ้นอย่างรู้ทัน
โมฮัมหมัดหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ “ก็แล้วแต่แกจะคิดเถอะ อ้อ แล้วพ่อก็หวังว่าคืนนี้จะได้เจอหนูคนนั้นด้วย”
เขารู้ทันทีเลยว่าบิดาหมายถึงผู้หญิงคนไหน ก็แม่ผู้หญิงที่เขาเจอที่ห้องเสื้อวันนี้ไงล่ะ
กานติมา แม่หม้ายสาวที่มีงานอดิเรกคือหลอกแต่งงานกับผู้ชายอายุรุ่นคุณปู่ จากนั้นก็กอบโกยสมบัติอย่างหน้าชื่นตาบาน เขาเกลียดหล่อนนัก เกลียดหน้าหวานๆ ดวงตาใสซื่อ ที่ซ่อนความแพศยาเอาไว้ภายในมากมาย
“เธอไม่มาหรอกครับ มันงานเล็กเกินไป”
“แต่พ่อมีลางสังหรณ์ว่าเธอจะต้องมา”
ใบหน้าของบิดาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง ดวงตาของท่านก็เป็นประกายมีความสุข ยามเอ่ยถึงผู้หญิงแพศยาคนนั้น นี่เขาจะทำยังไงดี ถึงจะทำให้บิดาหยุดคิดถึงแม่นั่นได้
“ผมเคยขอร้องท่านพ่อแล้วนะครับว่าอย่าให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใกล้ หล่อนเป็นตัวเชื้อโรค เป็นผู้หญิงน่าขยะแขยง”
“ตรงไหนล่ะ พ่อก็เห็นเธอสวย น่ารัก แถมยังเอาอกเอาใจคนแก่เก่งอีกต่างหาก”
“เรื่องเอาอกเอาใจคนเก่ง คงเป็นสิ่งเดียวที่แม่นั่นทำได้ดีครับ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีผัวแก่มาแล้วถึงเก้าคนหรอก นี่นับเฉพาะคนที่หล่อนจดทะเบียนสมรสด้วยนะคะ ถ้ารวมทั้งหมดทุกคนคงยาวเป็นสิบยี่สิบกิโลเมตรแน่ๆ”
“แกก็ใส่ร้ายเธอเกินไปนะ คาฟาห์”
“ผมไม่ได้ใส่ร้ายนะครับ แต่ผมพูดตามความจริงต่างหาก และที่สำคัญ ผมไม่อยากเห็นท่านพ่อตายคาอกอวบๆ ของแม่นั่น ผมอายนะครับ”
“นี่แกรู้ได้ยังไงว่าเธอหน้าอกอวบๆ หรือว่าแกเคยลองมาแล้ว”
ใบหน้าของคาฟาห์เข้มขึ้น ภาพหน้าอกอวบอัดที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็นคัพอะไรของผู้หญิงคนนั้นผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง และมันก็ทำให้บางส่วนของกายหนุ่มแข็งชันยิ่งขึ้น
“ผมก็แค่พูดเปรียบเทียบครับ”
ชายสูงวัยอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ แต่ก็ทำไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง
“แกเคยได้ยินคำสุภาษิตนี้หรือเปล่า เกลียดอย่างไหนได้อย่างนั้นน่ะ”
“ผมเคยได้ยินครับ แต่ไม่เชื่อ เพราะตามธรรมชาติของคนแล้ว ถ้าเกลียดอะไร จะอยู่ห่างจากสิ่งนั้นมากที่สุด ซึ่งผมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันครับ”
“แล้วพ่อจะคอยดู”
คาฟาห์ยิ้มไม่ออก เขาลุกขึ้นยืน “งั้นเอาเป็นว่าทุ่มครึ่งเราเจอกันตรงนี้นะครับ”
“สักทุ่มหนึ่งก็พอแล้วมั้ง คาฟาห์”
ยิ่งพ่อของเขาแสดงความร้อนรนอยากเจอผู้หญิงคนนั้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกลียดชังเจ้าหล่อน
“หนึ่งทุ่มครึ่งครับ” คาฟาห์ย้ำคำเดิม ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“ทำเป็นเจ้าชายน้ำแข็งไปเถอะ เดี๋ยวแผนการจับคู่ให้แกของฉันสำเร็จเมื่อไหร่ แกจะกลายเป็นญาติกับไฟเลยทีเดียว ไอ้ลูกรัก”
โมฮัมหมัดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจในแผนการของตนเอง
ปรางสิตาเป่าลมออกจากปากอิ่มที่ถูกเคลือบทับเอาไว้ด้วยลิปสติกสีหวานเมื่อรถแท็กซี่แล่นมาจอดที่หน้าโรงแรมหรูหราซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
หญิงสาวจ่ายเงินและก้าวลงจากรถ หยุดยืนลังเลอยู่หน้าโรงแรมด้วยความประหม่า ครั้งแรกที่หล่อนแอบสวมรอยเป็นกานติมาผู้เป็นนายจ้างมางานเลี้ยง เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าชีวิตของคนร่ำรวยเป็นเช่นไร แต่ครั้งนี้หล่อนถูกกานติมายัดเหยียดให้มา และหล่อนก็ขัดใจนายจ้างไม่ได้
ดวงตากลมโตหลุบลงมองชุดราตรีสั้นสีทองบนเรือนร่างของตนเอง หล่อนใส่มันได้พอดิบพอดีมาก แถมชุดนี้ยังเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งได้เป็นอย่างดีจนหล่อนอับอาย
“ขอดูบัตรเชิญด้วยครับ”
พนักงานของโรงแรมเอ่ยขึ้นเมื่อหล่อนกำลังจะเดินผ่านเข้าไปในงาน หล่อนหยุดเดิน และหยิบบัตรเชิญซึ่งเป็นชื่อของกานติมายื่นไปให้ ก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงสุดหรู
ภายในงานเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายหรูหรา แสงสะท้อนจากเพชรหลายต่อหลายเม็ดกระทบกับแสงไฟและสาดส่องเข้ามาในดวงตาของหล่อน
ทุกคนที่นี่ล้วนแต่ร่ำรวยเงินทองและลาภยศสรรเสริญจนอดที่จะอิจฉาในวาสนาไม่ได้
หญิงสาวฝืนยิ้มออกมา ขณะกวาดตามองไปรอบๆ ตัว ก่อนจะเห็นสายตาของผู้ชายวัยกลางคนสามคนที่จ้องมองมา สายตาที่มองมายังเรือนร่างของหล่อนนั้นเต็มไปด้วยการประเมินราคา หล่อนอับอายจนต้องรีบเดินหนีไปทางอื่น
หล่อนเกลียดผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นนัก เกลียดที่พวกนั้นคิดว่าเงินกองเท่าภูเขาของตนเองจะซื้อผู้หญิงทุกคนในโลกไปเป็นของเล่นได้ แต่ไม่มีทางใช่หล่อนแน่ หล่อนไม่มีทางยอมขายตัวเพื่อแลกกับเงินเด็ดขาด หากจะทำก็ต้องทำเพราะหัวใจ
เท้าบอบบางในรองเท้าส้นสูงเดินตรงไปยังจุดที่มีอาหารหน้าตาสะสวยตั้งเอาไว้ หล่อนมองอาหารคาวหวานพวกนั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ และท้องก็ร้องครางทันที
มือเล็กขาวสะอาดยกขึ้นกุมท้องของตนเอง ก่อนจะมองไปรอบๆ เพราะเกรงว่าแขกคนอื่นจะได้ยินเสียงท้องของหล่อนร้องด้วย แต่โชคดีที่ไม่มีใครสนใจ
หล่อนยิ้มหวาน ลืมเรื่องสายตาดูถูกของผู้ชายพวกนั้นไปจนหมดสิ้น และให้ความสนใจกับอาหารหน้าตาสวยงามเบื้องหน้าแทน
“น่ากินทุกอย่างเลย”