ณ ห้องโถงที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต กำแพงถูกประดับด้วยภาพวาดงามวิจิตรจากช่างฝีมือชั้นยอด รวมถึงเครื่องปั้นที่มีลวดลายงดงามหายากประดับอยู่ทุกมุมภายในห้อง พื้นถูกปูด้วยผืนผ้ากำมะหยี่สีแดงขลิบทอง ดูอย่างไรเจ้าของตำหนักนี้คงชื่นชอบของสวยงามราคาแพงและยังมีทรัพย์สมบัติอีกมากมาย ตรงกลางมีบัลลังก์รูปมังกรประดับอยู่ บนนั้นมีชายผู้หนึ่งนั่งด้วยท่วงท่าวางอำนาจ เบื้องล่างของเขามีคนสวมชุดเกราะสีดำนั่งชันเข่าก้มหัวอย่างนอบน้อมต่อชายตรงหน้า
ชายบนบัลลังก์มังกรก้มมองเหล่าคนที่สวมชุดเกราะสีดำด้วยแววตาเฉยชาก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง
“บัดนี้ยังหาศพมันไม่พบอีกงั้นหรือ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กลับดุดันยิ่งทำให้พวกเขาร้อนรุ่มใจ ท่าทีที่นิ่งเฉยแต่สามารถรับรู้ได้ถึงความอันตรายเนื่องจากเป็นคำถามที่ถูกถามมาตลอดสองปี อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถทำตามคำสั่งที่ได้รับมาให้สำเร็จลุล่วง นับเป็นคำอัปยศที่สุดของเหล่าองค์รักษ์เงา
“ตำแหน่งที่พบองค์ชายครั้งสุดท้ายคือตรงเขตแดนระหว่างแคว้นฉีกับแคว้นหยูเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
ปัก! ร่างของชายผู้นั้นถูกเตะจนกระเด็น ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องออกมาได้ ชายผู้มีใบหน้าคมเข้มดวงตาเรียวยาวเบิกกว้าง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธหลังจากได้ยินคำตอบจากทหารผู้นั้น
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าถึงสองปี ระหว่างสองปีนี้กลับไม่มีความคืบหน้า! พวกเจ้าอยากโดนตัดหัวกันหมดรึ!!”
“ขอประทานอภัยขอรับองค์รัชทายาท”
น้ำเสียงพวกเขาสั่นไหวพร้อมกับรีบก้มหัวขออภัยจากผู้ที่ถูกเรียกว่าองค์รัชทายาท กู่จ้าเถียนชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “จนกว่าจะหาร่างของมันพบ ไม่ว่ามันจะมีชีวิตอยู่รึไม่จงตามหามันเพื่อยืนยันให้กับข้า! จงตามหามันจนกว่าชีวิตของเจ้าจะหาไม่!”
“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขารีบคำนับพร้อมรับคำสั่งในทันทีก่อนที่จะรีบเดินออกไปเพราะกลัวว่าหากช้ากว่านี้ องค์รัชทายาทผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้อาจจะสั่งตัดหัวพวกเขาได้ เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แต่มันไม่อาจจะลบความขุ่นเคืองและความกังวลใจนี้ลงไปได้
“ทุกอย่างจะเป็นของข้าอย่างแน่แท้ เมื่อข้ามั่นใจว่าเจ้าตายแล้วกู่ฉางเฟิง”
ณ ตำหนักกงหยวน แคว้นหยูเจียงที่ประทับขององค์หญิงใหญ่
บนเตียงใหญ่ตัดกับผ้าขลิบทองสีแดง บนเตียงมีสตรีร่างเล็กนอนหลับตาพริ้มใบหน้าดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ผ้าหลายผืนถูกพันตามตัวของจ้าวลู่ชิง ในขณะเดียวกันภายในห้องนั้นมีบุคคลหนึ่งที่ยืนมองนางด้วยความสงสาร ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของ 'จ้าวหนิงเจียง' มองผู้เป็นพี่ด้วยสีหน้าสลด
“องค์หญิงสองทรงพักเสียหน่อยเถิดเพคะ องค์หญิงใหญ่คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าท่านจะฟื้น”
‘ผิงลี่’ หัวหน้านางกำนัลผู้ติดตามจ้าวหนิงเจียงกล่าวเสียงอ่อน
จ้าวหนิงเจียงหรือองค์หญิงรองของแคว้นหยูเจียง ผู้เป็นน้องสาวและเป็นบุตรสาวของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอย่างจ้าวหนานเหอที่รับช่วงตำแหน่งชั่วคราวหลังจากการสวรรคตของจักรพรรดิอี่จื่อ นั่นจึงทำให้สถานะของจ้าวหนิงเจียงมักถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวของนางอย่างจ้าวลู่ชิงอยู่เสมอ แต่ด้วยความที่นางเป็นเด็กน่ารักและอ่อนน้อมถ่อมตนจึงมีแต่คนรักใคร่เอ็นดูนางไม่เหมือนกับจ้าวลู่ชิงผู้หยิ่งยโสและไม่สนใจผู้ใด
“ข้าเป็นห่วงท่านพี่นัก สุขภาพนางไม่ค่อยแข็งแรงกลับถูกคนเถื่อนรังแก”
คนเถื่อนที่นางพูดถึงคงเป็นกู่ฉางเฟิงบุรุษที่องค์หญิงใหญ่เป็นผู้พามาเมื่อสองปีก่อน “องค์หญิงใหญ่ร่างกายไม่สู้ดีนัก แต่กลับร้อนรนอยากไปหาบุรุษผู้นั้น องค์หญิงสองอย่าทรงเศร้าหมองไปเลยเพคะ-” ผิงลี่กล่าวก่อนมองจ้าวหนิงเจียงด้วยสายตาอ่อนโยน แต่เมื่อหันกลับไปมองยังร่างที่นอนไม่ได้สติบนเตียงสายตากลับแปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวในทันที “...นางกระทำตัวเองทั้งนั้น”
ชั่วครู่หนึ่งที่แววตาของจ้าวหนิงเจียงเป็นประกาย แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นนางกลับเปลี่ยนเป็นมีสีหน้าเศร้าหมองจนคนมองอย่างผิงลี่อดสงสารไม่ได้ ในใจพานนึกโกรธเคืองสตรีร้ายกาจที่ทำให้องค์หญิงของนางต้องหม่นหมอง
“เจ้าอย่ากล่าวว่าเสด็จพี่เช่นนั้นเลย”
“นางพูดถูกแล้วเจียงเออร์ นางกระทำตัวของนางเองทั้งนั้นเจ้าจงระวังไว้เสียบ้างล่ะ หากเจ้าวุ่นวายกับนางมากเจ้าอาจจะถูกนางสั่งขังเยี่ยงทาสที่นางซื้อมาหึ” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อคมคาย คิ้วดำเข้มดวงตาคมเฉี่ยวแสนเย่อหยิ่ง ริมฝีปากหยักรับกับใบหน้ายาว ผิวสีเข้มยิ่งขับให้เขาดูน่าเกรงขาม
“เสด็จพี่ตงซือ!”
นางเรียกชื่อเขาพร้อมกับยิ้มจนตาหยี ‘หยางตงซือ’ เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะวางมือบนศีรษะนางแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปมองยังร่างของสตรีว่าที่คู่หมั้นบนเตียง ใบหน้างดงามขาวซีดมีเลือดฝาดเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ยังคงงดงามราวกับภาพวาดอยู่เสมอ
แม้นางจะงดงามแต่เขากลับไม่ชื่นชอบสตรีผู้นี้เอาเสียเลย หากเลือกได้เขาอยากจะขอทูลเสด็จพ่อให้เขาอภิเษกกับจ้าวหนิงเจียงเสียมากกว่า
“เจ้ามาอยู่นี่เองไม่ได้รอข้าอยู่ที่เรือนรับรองหรอกหรือ” หยางตงซือกล่าวเสียงอ่อนโยน พร้อมกับใบหน้าแย้มยิ้มของหญิงสาววัยสิบห้าหนาวที่ส่งมาให้เขา หัวใจของชายหนุ่มพองโตราวกับมีดอกไม้ผลิบานภายในอก
“ขออภัยเพคะ ข้าเป็นห่วงเสด็จพี่มากก็เลยมาเยี่ยมเผื่อท่านพี่ฟื้นแล้วไม่เจอใครนางคงจะเสียใจมากเป็นแน่”
“สตรีเช่นนางหรือจะเสียใจ หากนางเสียใจคงเรียกเหล่าทาสชายทั้งหลายของนางมาปรนนิบัติเองเจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกเจียงเออร์”
หยางตงซือกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หากว่าสตรีเช่นนางมีความรู้สึกจริงล่ะก็ นั่นคงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในชั่วชีวิตเขาแล้ว
“เสด็จพี่ตงซือท่านอย่ากล่าวว่านางเลย เพียงเท่านี้นางย่อมเจ็บปวดใจพอแล้ว ตั้งแต่ที่เสด็จอาอี่จื่อสวรรคตไปท่านพี่ต้องนั่งทนทุกข์อยู่นานหลายปี สิ่งเดียวที่พอทำให้ท่านพี่ลู่ชิงมีความสุขได้คงมีไม่มากนัก...”
ใบหน้าจิ้มลิ้มก้มหน้าลงแสดงสีหน้าเศร้าหมองจนคนตัวสูงอดที่จะปลอบนางไม่ได้ “เจียงเออร์เจ้าอย่าเศร้าไปเลย เมื่อไหร่นางจะฟื้นเสียที แสร้งทำตัวป่วยอีกหรืออย่างไร!”
“น่ารำคาญ” เสียงหวานดังขึ้นมาท่ามกลางคนทั้งคู่ ใบหน้างดงามมีเลือดฝาดเล็กน้อยขมวดคิ้วเป็นปมมองทั้งคู่ นางอยากพักผ่อน…!
ทั้งสองรีบผละออกจากกันก่อนจะหันมามองนางด้วยความตกใจ “เสด็จพี่ฟื้นแล้ว! ตามหมอหลวงมาดูอาการอีกหน่อยดีหรือไม่เพคะ” จ้าวหนิงเจียงเป็นคนแรกที่ตรงเข้ามาหานาง ใบหน้าหวานยิ้มให้นางอย่างดีใจ
อันที่จริงนางตื่นตั้งแต่ที่จ้าวหนิงเจียงนางเอกในนิยายนั้นเข้ามาเยี่ยมนางแล้ว นางกำหมัดอยู่หลายคราที่นางกำนัลกล่าวว่าร้ายนาง แต่ที่นางยังคงนิ่งอยู่เพราะส่วนหนึ่งมันคือเรื่องจริงเลยปล่อยเลยตามเลย แทนที่นางจะได้นอนพักผ่อนอย่างสงบกลับมีเสียงทุ้มดังขึ้นมา แถมน้ำเสียงที่กล่าวถึงนางช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน
“ข้าไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องลำบากเรียกหมอหลวงมาดูอาการข้าหรอก”
“ตื่นมาก็พูดจาไม่เข้าหูเลยหรือ”
เสียงเย็นชาปนเยาะเย้ยซึ่งเป็นตัวต้นเหตุของสิ่งรบกวนการนอนของนางกล่าวขึ้น นางเปรยตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นคือพระเอกในนิยายหรอกหรือ ถึงแม้เขาจะดูหล่อเข้มตามฉบับตัวเอกในนิยาย แต่หากเทียบกับตัวร้ายของนางแล้ว กู่ฉางเฟิงยังดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่า
“ข้าพูดตามความจริง พวกเจ้าส่งเสียงดังรบกวนในยามที่ข้าพักฟื้นได้อย่างไร”
คำพูดของนางเรียกสีหน้าเจื่อนจากสตรีตัวเล็กข้าง ๆ เขา จ้าวหนิงเจียงก้มหน้าลงเล็กน้อยดวงตามีน้ำใสคลออยู่ “ขะ ขออภัยเพคะเสด็จพี่ ขะ ข้าเพียงแต่กลัวว่าท่านจะเป็นกังวลหากตื่นมาไม่เจอผู้ใด” ตัวของนางสั่นเทาอย่างน่าสงสารยามขอโทษนาง
จ้าวลู่ชิงมองนางด้วยสายตาอึ้ง ๆ อะไร๊! พูดแค่นี้ถึงกับน้ำตาไหลเลยหรือมันเป็นคำพูดที่เจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอ!
หยางตงซือที่เห็นจ้าวหนิงเจียงเป็นเช่นนั้นก็เกิดความไม่พอใจขึ้น ก่อนหันมาต่อว่านางเสียงดัง
“สตรีใจแคบเจ้าพูดเช่นนี้กับคนที่เป็นห่วงเจ้าได้อย่างไร”
จ้าวลู่ชิงกลอกตามองบน ดูอย่างไรคนผู้นี้ก็หลงนางเอกจนโงหัวไม่ขึ้น นั่นสินะ เพราะเขาเป็นพระนางคู่กันในบทนิยายนี่เนาะ “หากเป็นห่วงข้าพวกเจ้าควรลดเสียงให้เบาลงกว่านี้ จนข้าไม่ได้ยินอะไรเลยเสียดีกว่าไหม”
นางเปรยตาไปมองยังผิงลี่ที่อยู่ข้างหลัง เมื่อผิงลี่เห็นสายตาของนางที่มองมาก็รีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตา แต่แล้วแขนของคนผู้หนึ่งกลับยื่นมาบดบังทิศทางสายตาที่นางกำลังมองไป เป็นจ้าวหนิงเจียงตรงเข้ามาบังตัวผิงลี่เอาไว้ราวกับต้องการปกป้องนางกำนัลผู้นั้นจากนาง
“ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“สะ เสด็จพี่ลู่ชิงท่านอย่าลงโทษนางเหมือนคนพวกนั้นเลยนะเพคะ”
“เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่”
“ยะ อย่าจับนางขังคุกแล้วทรมานเลยนะเพคะ ข้าขอร้อง”
จ้าวหนิงเจียงรีบคุกเข่าลงน้ำตานองหน้า หยางตงซือรีบตรงเข้ามาดึงตัวหนิงเจียงให้ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวโทษนาง “เจ้าจะทำเกินไปหรือไม่!”
นางมองคนทั้งคู่นิ่ง พิจารณาจากคำพูดและการกระทำของหนิงเจียงผู้นี้แล้วดูอย่างไรก็มีแต่คำพูดเดียวว่าสตอมากค่ะ!! เจ้าคงต้องการให้ข้าดูชั่วร้ายต่อหน้าบุรุษที่เจ้าหมายปองสินะ อย่าหวังค่ะ! จ้าวลู่ชิงเบะปากมองบนอีกครั้งก่อนเปลี่ยนโหมดหันไปยิ้มสวย ๆ ให้กับคนทั้งคู่
“ใจเย็นก่อนเจียงเออร์เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะใจร้ายขนาดนั้นใช่หรือไม่ แต่หากข้าต้องการจะทำเช่นนั้นจริงมันต้องมีมูลเหตุเพียงพอให้ข้าทำเยี่ยงนั้น เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
ใบหน้ายิ้มอย่างบริสุทธิ์ของคนตรงหน้าทำให้จ้าวหนิงเจียงประหลาดใจ นางตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ขะ ข้า...”
นางส่งยิ้มก่อนจะพยักหน้าลงด้วยความพอใจ น้ำเสียงหวานใสตอบกลับหนิงเจียงอย่างเห็นอกเห็นใจ “เพราะข้ามิใช่คนใจแคบ ข้าจะปล่อยผ่านสิ่งที่เป็นการดูหมิ่นข้าไปสักครั้ง และเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าควรสั่งสอนคนของตนเช่นไรมันถึงจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง”
“พะ เพคะ” จ้าวหนิงเจียงมีความรู้สึกหวาดหวั่นกับคนตรงหน้า ท่าทีที่นิ่งสงบและรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนไร้ซึ่งความร้ายกาจและหยิ่งยโสนั่นมันราวกับไม่ใช่จ้าวลู่ชิงที่นางเคยรู้จัก
“เจียงเออร์เจ้าจะยอมให้นางกดขี่เจ้าเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่!”
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้หยางตงซือคับข้องใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คำตอบอะไร เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับใบหน้างดงามของจ้าวลู่ชิงหันมองมายังเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“หากสงสัยสิ่งใดพวกเจ้าทั้งคู่จงไปคุยกันเองเถิด ยามนี้ข้าต้องการพักผ่อน พวกเจ้าเห็นข้าฟื้นขึ้นแล้วคงวางใจได้แล้วใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าเชิญไปทานสำรับว่างด้วยกันตามสบายเถิด บาย!”
นางกล่าวยาวเหยียดพร้อมกับตัดบทด้วยคำพูดที่แปลกประหลาดพร้อมกับโบกมือไปมากลางอากาศ “ไปสิ ข้าไม่ไปส่งนะเพราะข้าขี้เกียจเดิน” นางกล่าวไล่อีกครั้งเมื่อเห็นคนทั้งคู่ยังคงยืนงงอยู่
“ปะ ไปเถิดเพคะองค์หญิงรอง” ผิงลี่ที่ได้สติรีบรั้งให้องค์หญิงของนางออกไปพร้อมกับที่หยางตงซือเดินตามนางออกไปเช่นกัน แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองสตรีภายในห้องอีกครั้งที่ยังคงหันมายิ้มให้กับพวกเขาอย่างเป็นมิตรสร้างความประหลาดใจต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก
เมื่อทั้งห้องอยู่ในความสงบ นางจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับหุบยิ้มลงแทบจะทันที
“เห้ออออ เสียพลังชีวิตมาก ไอ้เราก็นึกดีใจที่มีคนเป็นห่วง มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าปลอม ร้องไห้เก่งมากค้า!!”
นางกล่าวอย่างหัวเสียทั้ง ๆ ที่นางออกจะชอบตัวละครนางเอกของนิยายเรื่องนี้ ทั้งจิตใจดีและดูบอบบางน่าทะนุถนอม หากไม่ติดว่านางดูเหมือนจะแสร้งทำนางคงหลงรักนิสัยที่แสนดีของหนิงเจียงไปแล้วจริง ๆ และนางร้ายอย่างจ้าวลู่ชิงคงรู้เป็นอย่างดีแน่ถึงไม่เคยปฏิบัติต่อนางดีเลยสักครั้ง
นางไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว หวังว่าหลังจากนี้นางจะไม่ต้องมาพบเจอแม่นางเอกบ่อย ๆ หรอกนะ ระหว่างนั้นนางเอื้อมไปหยิบกระดิ่งอันหนึ่งข้างเตียงขึ้นมาก่อนจะสั่นมันสองสามครั้ง ไม่นานนักนางกำนัลมากกว่าหกคนรีบเดินเข้ามาข้างใน แต่กลับไม่ใช่คนที่เคยดูแลนางเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
“นางกำนัลคนก่อนไปไหนแล้วหรือจิงมี่เล่า”
“อะ เอ่อทูลองค์หญิง พวกนางถูกท่านต้าชุนนำตัวไปคุมขังเหตุทำให้องค์หญิงตกอยู่ในอันตรายพร้อมกับทาสผู้นั้นกำลังรอลงสู่ลานประหารเพคะ”
“ห๊ะ!” นางเผลอร้องตะโกนด้วยความตกใจ คอที่แสนจะบอบบางคล้ายจะฉีกขาด โว้ย แค่ตกใจก็ไม่ได้! “แค่ก แค่ก”
“อะ องค์หญิงเพคะ!!” พวกนางรีบตรงเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แต่เวลานี้ข้าไม่สามารถรับความเป็นห่วงจากทุกคนได้ ขอโทษนะ ฮื้ออ!
“พวกเจ้ารีบพาข้าไปยังลานประหารเดี๋ยวนี้! ตอนนี้! แบบด่วนจี๋เลยด้วย!”
นางกล่าวเสียงแหบแห้งสู้กับลำคอที่เหมือนจะแหกเสียให้ได้ ดี! ข้าสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับ เจริญพร!