“นกยูงๆ นั่นสามีคุณน้องจอมนี่แล้วนั่นมากับผู้หญิงที่ไหน...”
“ไหนคะคุณพี่...ว้าย! ตายจริง คุณเมฆจริงๆ ด้วย มากับนักศึกษา หรือว่า...”
“เมียน้อยเหรอคะ!”
“คงไม่มั้งคะพี่แพรทอง คุณเมฆรักลูกรักเมียจะตายไป คงแค่...เอ่อ เพื่อนมั้งคะ” นกยูงตอบ หล่อนมองแพรทองทีแบะปากแต่สายยังจ้องอยู่ที่ร่างของสองหนุ่มสาวในร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งบนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
“เห็นเงียบๆ ฝาดเรียบไม่ว่าสิคะ ดีแตกจนได้ หึ...เห็นคุณน้องจอมคนงานภูมิอกภูมิใจในตัวสามีดีเด่นคนนี้นักหนา ไม่รู้จะรู้หรือเปล่าว่ากำลังได้ตำแหน่งใหญ่แห่งปี” พูดพลางหล่อนก็หัวเราะร่า
“ตำแหน่งอะไรคะพี่แพรทอง”
“ก็เมียหลวงไงคะน้องนกยูงขา” พูดจบสองเสียงก็หัวร่อกันราวมีความสุขกับสิ่งที่กำลังคาดเดาเสียเหลือเกิน
“พี่แพรทองจะทำอะไรคะนั่น...จะถ่ายรูปส่งไปให้ใครดูคะ หรือจะส่งไปให้นักข่าว” นกยูงหยุดหัวเราะเมื่อแพรทองหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดกล้องแล้วยกขึ้นกดชัตเตอร์รัวๆ
“ไม่ส่งให้นักข่าวหรอกค่ะ แต่จะส่งไปให้เมียหลวงนี่แหละ ดูสิจะว่ายังไงถ้าได้รู้ว่าผัวที่แสนดีไม่ได้ดีจริงอย่างที่สร้างภาพเอาไว้ หึ...”
“ข่าวใหญ่เลยนะคะเนี่ย...”
“ใช่สิ...คราวนี้ยังจะเชิดหน้าชูคอสมเพชคนอื่นที่ครอบครัวเขามีปัญหาได้อยู่อีกไหม นางมั่นใจเกินร้อยว่าเอาผัวอยู่ วันนี้แหละ...จะได้รู้ซึ้งเสียทีว่าผู้ชายยังไงมันก็คือผู้ชาย โกหกตอแหลให้เชื่อใจไปวันๆ พอลับหลังมันก็อดไม่ได้หรอกที่จะหาเศษหาเลยไว้แอบกิน” แพรทองจิกกัดไปพลางเปิดแอ๊ปพลิเคชั่นแชทแล้วค้นหารายชื่อผู้ติดต่อ
“เอาจริงเหรอคะพี่แพร...”
“จะเอาเล่นๆ ทำไมคะน้องนก โอย...นี่เราช่วยเป็นหูเป็นตาให้เขานะคะ จะคิดมากทำไม”
“พี่แพรทองคะ มันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะคะ ดูๆ ไปก่อนดีไหม”
“ช้าไปแล้วค่ะ พี่ส่งไลน์ไปให้คุณจอมล่ะ แล้วเราควรถ่ายเป็นวีดีโอส่งไปเพิ่มดีไหมคะ เอาเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยเลย” แพรทองไม่ได้สนใจสิ่งที่นกยูงออกปากเตือนสักนิด หล่อนระริกระรี้อยู่กับการได้เข้าไปมีส่วนรู้เห็นเรื่องสำคัญในครอบครัวของคนรู้จักที่หล่อนเองไม่ชอบหน้าอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
จอมเกล้า...หญิงสาวผู้ถือดีและยิ่งยโส เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน ซ้ำยังโชคดีได้สามีทั้งเก่งทั้งรวยแถมรักลูกเมีย ยกย่องเชิดชูกันจนเป็นที่กล่าวขานในสังคมถึงความรักที่สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ
แต่วันนี้รักที่ว่าแสนดีนั้นกำลังส่อเค้าด่างพร้อยเสียแล้ว ยืนยันให้รู้ว่าที่ผ่านมาจอมเกล้ามีความมั่นใจผิดๆ มาตลอด เพราะในที่สุดแล้วจอมเกล้าผู้ทะนงตัวและเคยมองหล่อนด้วยสายตาดูแคลนก็มีชะตากรรมน่าสังเวชใจไม่ได้ต่างกันเลย
“อ่านแล้วค่ะแต่ไม่ตอบ...สงสัยคงช็อคอยู่ หึ”
“พอเถอะค่ะพี่แพร...อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”
“นั่นค่ะนั่น! ออกมากันแล้ว ดูสิ...ซื้อเสื้อผ้าให้เด็กคนนั้นเต็มเลย” พูดพลางหล่อนก็ยกมือถือขึ้นถ่ายภาพเหล่านั้นเก็บเอาไว้แทบทุกอิริยาบถของสองหนุ่มสาวที่กำลังเดินออกจากร้านขายผ้าโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกจับตามอง และปัญหาความยุ่งยากกำลังคืบคลานเข้ามา
“ขอบคุณบอสมากนะคะที่ช่วยช่อไว้อีกแล้ว บอสใจดีจังเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง...อีกอย่างก็ใกล้ๆ ที่ทำงานเอง ว่าแต่คุณหิวหรือยังไปหาอะไรทานกันก่อนดีไหม แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ ยังพอมีเวลา”
“จะดีเหรอคะ เกรงใจบอสจัง”
“ไม่ต้องเกรงใจแล้วล่ะ เพราะว่าผมหิวแล้ว ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า” เมฆีกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเผลอมองสบตาสาวน้อยในขณะที่เดินคุยกันอยู่นั้นจนหล่อนหลบหน้าก้มมองพื้นด้วยความอาย น่าแปลก...ที่เขายังไม่ยอมละสายตา แก้มขาวเริ่มแดงปลั่งระเรื่อ ปากสีชมพูสดของหล่อนเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
“เอ่อ...ช่อว่าช่อขอตัวเดินกลับไปก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวมีคนมาเห็นแล้วเข้าใจผิดจะแย่เอานะคะ บอสเองก็มีคนรู้จักเยอะแยะ”
“คุณน่ะคิดมาก ไม่เป็นไรหรอก...แค่ไปหาอะไรกินรองท้องกันสักหน่อยแล้วก็กลับ” ชายหนุ่มรีบดึงสายตามองไปทางอื่นแต่ยังยืนยันความตั้งใจเดิม
“ก็ได้ค่ะ แต่บอสเรียกช่อเฉยๆ ก็ได้นะคะ ไม่ต้องแทนคำว่าคุณหรอก ฟังดูให้เกียติจนช่อไม่กล้ารับไว้หรอกค่ะ”
“คิดมากอีกแล้ว...แต่ก็ได้นะ ถ้างั้นช่อก็ต้องเรียกผมว่าพี่เมฆ ไม่ต้องมาเรียกบงเรียกบอสให้เป็นพิธีอะไรหรอก ช่อไม่ใช่ลูกน้องผมเสียหน่อย โอเคไหม”
“ก็...ก็ได้ค่ะ พี่เมฆ...” หล่อนซ่อนยิ้มเอียงอาย รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่สุด
ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา หล่อนตกอยู่ในกรอบที่พ่อแม่ขีดขั้นเอาไว้ให้ ไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่มีสิทธิ์ชอบ ไม่มีสิทธิ์เกลียด หล่อนไม่มีเพื่อน...ไม่เคยมีคนรัก ไม่แม้แต่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้าสักคน ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็คงไม่อยากคบค้าสมาคมกับหล่อนสักเท่าไหร่ การได้ออกมาฝึกงานครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวแรกในการออกสู่โลกภายนอก ซึ่งหล่อนคิดว่าทั้งพ่อและแม่คงเห็นว่าหล่อนโตพอที่จะเรียนรู้การทำงาน เพื่อจะได้สานต่อในสิ่งที่พวกเขาต้องการในภายภาคหน้านั่นเอง...
ไม่ใช่เพื่อตัวหล่อนหรอก แม้ว่าพวกเขามักจะอ้างว่าอย่างนั้นก็ตาม
“ครับ...ว่าไงจอม มีอะไรหรือเปล่า คิดถึงผมเหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยคุยทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง เมฆียิ้ม...พร้อมกล่าวกับปลายสาย แววตาของเขาเปลี่ยนไป มันทอประกายวาววับเปี่ยมสุข
สายตา...ที่สะกดให้หล่อนหลงใหลแม้จะไม่ได้มีให้หล่อนก็ตาม
“ผมอยู่ข้างนอก พอดี เอ่อ...น้องที่มาฝึกงานเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยทำให้กระโปรงเขาขาด ผมเลยรีบพามาซื้อ ที่ออฟฟิตตอนนี้ก็พักกลางวันกันหมดด้วย” เขาเล่ายาวละเอียด
หล่อนฟังอยู่เงียบๆ ในขณะที่ก้าวขาเดินไปพร้อมๆ กัน แต่เมฆีไม่ได้ให้ความสนใจหล่อนอีกแล้ว
“คุณมีอะไรหรือเปล่าจอม...ไม่สบายเหรอ เสียงสั่นๆ” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวนห่วงหวงเอ่ยถามอีกฝ่าย
“อ๋อ...นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เป็นภูมิแพ้นี่เอง ให้ผมกลับไปอยู่เป็นเพื่อนไหม หรือจะไปหาหมอ”
แค่เรื่องเล็กน้อย จำเป็นต้องใส่ใจกันขนาดนี้เลยเหรอ... ราดารู้สึกลมหายใจติดขัดประหลาด
“โอเคที่รัก งั้นคุณพักผ่อนเถอะผมก็กำลังจะกลับไปทำงานแล้วเหมือนกัน ผมจะรีบกลับนะ” เขากดวางสาย แต่รอยยิ้มยังคงอิ่มอยู่เต็มใบหน้า
“รีบไปกันเถอะช่อ...ได้เวลางานแล้วล่ะ” ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วพยักหน้าแย้มยิ้มมากกว่าเก่า ซึ่งราดาก็ได้แค่ยิ้มตอบกลับน้อยๆ แล้วพากันเดินออกจากห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น