“ขอแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวด้วยครับ...นับว่าเป็นคู่รักแห่งปีที่ทุกท่านรอคอยกันเลยทีเดียว” พิธีกรบนเวทีกล่าวชื่นชมยินดีพร้อมๆ กับเสียงโห่ร้องด้วยความปิติในค่ำคืนแห่งความสุข
คืน...แห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่ตามที่ได้วาดหวังเอาไว้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บรรยากาศครึกครื้นหรรษาทั้งดลตรีที่คอยขับกล่อมบรรเลง ทั้งคำอวยพรเซ็งแซ่ไม่ได้ขาดจากแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาร่วมงาน
“คุณเหนื่อยหรือเปล่า...ผมจะพาไปพัก” เจ้าบ่าวหนุ่มหล่อดีกรีนักเรียนนอก ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทขนส่งระหว่างประเทศโอบกอดเจ้าสาวในชุดสีเชมเปญฟูฟ่องด้วยความรักใคร่ พลางกระซิบถามหล่อนด้วยความเป็นห่วง
“นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เกรงใจแขกในงาน ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น”
“ผมไม่สนหรอกว่าใครเป็นใคร แต่ถ้าเมียผมเป็นอะไรไปในวันแต่งงานผมไม่ยอมแน่ๆ”
“เมฆคะ...คุณก็พูดเกินไป” หล่อนยิ้มเขิน เจ้าบ่าวยังกอดประคองไม่ได้ห่างในขณะที่ทักทายพูดคุยกับบรรดาเพื่อนฝูงไปพลาง บางคนก็ส่งเครื่องดื่มให้ ทว่าเขาปฏิเสธไปทุกราย จึงถูก แซวอยู่ไม่ขาดปากว่าไม่ทันไรก็กลัวเมียเสียแล้ว
“มีเมียก็ต้องเกรงใจเมียสิวะ ไม่งั้นจะมีไว้ทำไม...จริงไหม” เขาตอบกลับกลั้วหัวเราะ หันมายิ้มตาหยีใส่ภรรยาซึ่งก้มหน้างุดซ่อนความอายในยามที่ถูกพาดพิงถึง อันที่จริงแล้วหล่อนไม่เคยบังคับขู่เข็ญหรือแสดงกิริยาก้าวร้าวไดๆ กับเขาเลย
“มีเมียแสนดีอย่างคุณจอม ถ้าเป็นข้า ข้าก็ยอมถูกนินทาวะ ใครจะว่ากลัวก็ช่าง เกรงใจก็ไม่เป็นไร ข้ายอมทุกอย่าง”
“ฮ่าๆ ๆ” เสียงหัวเราะร่วนของเพื่อนสนิทฝ่ายเจ้าบ่าวยิ่งทำให้หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอายม้วน หล่อนก้มหน้าไม่ยอมสบตาผู้ใด แต่ก็รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเพราะมีสามีอยู่ข้างๆ เสมอ
“เฮ้ย! พวกมึงพอแล้ว ปล่อยเจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาไปดูแลแขกเหรื่อคนอื่นบ้าง นี่อะไร...ล้อมหน้าล้อมหลังอย่างกับจะตั้งวงเวียนเทียนอย่างนั้นแหละ” เพื่อนคนหนึ่งกล่าวขึ้น ทุกคนสรวนเสเฮฮากันตามประสาคนคุ้นเคยที่นานๆ จะได้มีโอกาสมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้ง
คู่บ่าวสาวยังคงอยู่คุยกับกลุ่มเพื่อนครู่ใหญ่ ก่อนจะปลีกตัวออกมาทักทายแขกในงานคนอื่นๆ ทุกคนที่มาแสดงความยินดีในพิธีมงคลสมรสครั้งนี้ต่างก็เห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งจอมเกล้าและเมฆีนั้นเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ทั้งรูปร่างหน้าตา พื้นฐานครอบครัว ฐานะ ความรู้ และหน้าที่การงาน...
เหมือนกับว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันอย่างแท้จริง
จอมเกล้าเป็นรุ่นน้องของเมฆีสองปีในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน จากความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องที่เห็นหน้ากันทุกวัน จนได้เริ่มพูดคุยทำความรู้จัก กลายเป็นความสนิทสนมและพัฒนาเป็นความรักที่สุดงอมหอมหวานในที่สุด กระนั้นพวกเขาก็รอ...จนกระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง ถึงเวลาอันเหมาะสม ได้เรียนจบ ได้มีงานทำ มีความพร้อมในการร่วมกันสร้างครอบครัวถึงมีวันนี้ได้
มันไม่ใช่ความรักที่ฉาบฉวยชั่วคราว แต่มันคือความผูกพันที่ร่วมกันสานก่อ ดูแล...ห่วงใยกันไม่เคยละเลย ลึกซึ้งละมุนอ่อนหวาน จนแทบไม่รู้ว่าหากขาดใครคนใดคนหนึ่งไป อีกคน...จะมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร
เมฆีเป็นลูกคนเดียวของประธานบริษัทขนส่งระหว่างประเทศ เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและเสเพลอย่างไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ เพราะทั้งบิดาและมารดาทุ่มเทให้ทุกอย่าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขารักดี รักเรียน รักครอบครัว และเป็นสุภาพบุรุษรูปงามผู้เพียบพร้อมที่สาวๆ ต่างพากันใฝ่ฝัน เมฆีไม่เคยนอกลู่นอกทาง เขาจึงเป็นความภาคภูมิใจของผู้ให้กำเนิดอย่างที่สุด
แม้กระทั่งการเลือกคู่ครอง...ก็ยังไม่ทำให้คนในครอบครัวผิดหวังเลย เพราะจอมเกล้าก็เสมอเหมือนกับเขาไปเสียทุกอย่าง หล่อนเป็นลูกสาวนายพลแห่งกองทัพไทยที่ถูกเลี้ยงดูขัดเกลามาอย่างดี ทั้งหน้าตาสะสวยเคยเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย หล่อนเรียบร้อยและเก่งงานบ้านงานเรือนทุกอย่าง ในด้านการเรียนก็ได้เกียตินิยมอันดับหนึ่ง เมื่อจบออกมาหล่อนทำงานเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินระดับต้นๆ ของประเทศ
หากให้แยกทั้งคู่ออกจากกันแล้ว...ก็ไม่รู้เลยว่าจะหาใครอื่นที่เหมาะสมกว่ากันยิ่งนี้ได้อีกหรือไม่
งานแต่งดำเนินไปด้วยความชื่นมื่นสุขแสน จนกระทั่งได้เวลาส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามพิธีการตามประเพณี พ่อแม่และผู้ใหญ่คนสำคัญทั้งสองฝ่ายต่างให้คำอวยพรอันเป็นมิ่งมงคลแก่ชีวิตคู่ บทบาทใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ต่อจากนี้ไปพวกเขาจะมีกันและกัน มีสัมพันธ์ที่แนบแน่นยิ่งกว่าที่ผ่านๆ มา
“ผมดีใจที่สุดที่เรามีวันนี้ได้ ผมรักคุณมากนะจอม” เมฆีกระซิบกระซาบเอ่ยคำหวานจากหัวใจแก่หญิงสาวที่เขาบูชารักให้แด่เธอ บนที่นอนสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งมีกลีบดอกไม้โปรยหอมกรุ่นไว้ทั่ว แต่ความงามของบุบผาชาตินั้นยังเทียบจอมเกล้าไม่ได้สักเสี้ยวเดียว
ทุกคนออกไปจากห้องหอแล้ว...เหลือแต่เพียงเขาและหล่อนซึ่งจะได้ใช้เวลาอยู่กันตามลำพังในค่ำคืนแรกของงานวิวาห์ มือเล็กของเจ้าสาวกำแน่น หล่อนยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ตรงปลายเตียงนอน หลบซ่อนรอยยิ้มเขินอายและความรู้สึกกดดันบางอย่าง
“คุณไม่สบายหรือเปล่า...เหนื่อยมากใช่ไหม” เขาถาม ในขณะที่ถอดเสื้อสูทของตัวเองไปพลาง คงเหลือไว้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวด้านใน สายตาของเขามองเจ้าสาวที่นั่งนิ่งไม่กระพริบด้วยความห่วงใย
“ว่าไง...ถามไม่ตอบ”
“ก็...นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นคุณอาบน้ำก่อนนะ ผมจะรอ...”
“คะ...” หล่อนกระพริบตาเป็นคำถาม สีหน้าตื่นๆ เล็กน้อยกับคำว่ารอ...
เขาจะรออะไร แล้วรอทำไมกัน...
“ผมหมายถึง...ให้คุณอาบน้ำให้สบายตัวก่อน เสร็จแล้วผมค่อยอาบทีหลังก็ได้ คิดอะไรอยู่หืม” เมฆีกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนจะรู้ทันความคิดของหล่อน มันยิ่งทำให้หญิงสาวหน้าแดงซ่านขวยเขินเข้าไปใหญ่
“นี่จอม...” ชายหนุ่มหอมแก้มขาวเบาๆ แล้วประคองร่างเล็กเข้ามากอดเอาไว้
“อย่าค่ะ...”
“เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ทำไมต้องกลัวผมด้วย”
“ฉัน...”
“ผมรักคุณมากนะ คิดว่าผมจะทำร้ายคนที่รักที่สุดในชีวิตได้เหรอ คืนนี้เป็นคืนแต่งงานของเรา เป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุด ผมจะไม่สร้างความทรงจำแย่ๆ ให้กับคุณหรอก ไปอาบน้ำเถอะ เหนื่อยกันมาหลายวันแล้วคืนนี้คุณจะได้หลับเต็มอิ่มสักที” ริมฝีปากหนาจูบซ้ำตรงพวงแก้มนวลระเรื่อ หล่อนเผยรอยยิ้มน้อยๆ รู้สึกอุ่นใจเหลือประมาณ
“ขอบคุณนะคะเมฆ ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่รักคุณ”
“...” เจ้าบ่าวพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ เขารู้ว่าหล่อนกำลังกังวนเรื่องอะไรอยู่ สำหรับผู้หญิงที่บริสุทธิ์ทั้งกายและใจอย่างจอมเกล้า หล่อนเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เขาถนอมหล่อนมานานปีไม่เคยล่วงเกินให้หมองช้ำ รอ...จนกระทั่งถึงเวลาอันสมควรจึงได้แต่งงานกัน แล้วมีหรือที่เขาจะอยากหักหารน้ำใจข่มเหงในตอนที่หล่อนยังไม่พร้อม
เขารู้ว่าหล่อนแค่ประหม่าและกลัวในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับชีวิตคู่หรอก เขารักหล่อนเกินกว่าจะคิดเอาเปรียบแสวงหาความสุขแต่ฝ่ายเดียว ถึงอย่างไรเสียเมื่อแต่งงานลงรากปักฐานกันแล้ว หล่อนก็ต้องเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แบบอยู่ดี
ชายหนุ่มช่วยเจ้าสาวของเขาจัดการกับชุดราตรีสีเชมเปญ ให้หล่อนอาบน้ำชำระร่างกายแล้วจึงอาบทีหลังหล่อน ซึ่งกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยดึกมากแล้ว ทั้งหลับไปด้วยความอ่อนเพลียในอ้อมแขนของกันและกัน มีความสุขเต็มเปี่ยมแม้จะไม่ได้มีการแนบชิดกันไปมากกว่านั้น