“พี่ไปก่อนนะ”
“ค่า! งั้นพี่นัทขี่รถดีๆ น้า” จิตใต้สำนึกบอกได้ทันทีว่าคนรักของฉันกำลังโกหก แต่ปากกลับไม่กล้าต่อว่าออกไป ยังคงพูดจาเหมือนปกติ ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าพี่นัทน่ะ ไม่มีทางเรียกแทนตัวเองว่าพี่ใส่พี่เกมส์แน่ๆ
หลังจากพี่นัทขี่รถออกไป ฉันก็รีบพาตัวเองกลับขึ้นห้องพัก จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วก็นั่งหมกมุ่นอยู่ที่หน้าโน้ตบุ๊กเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับอาถรรพ์ที่เมย์พูดวันนี้ เพื่อเคลียร์เรื่องราวให้กระจ่าง
‘อ้าวไม่เคยได้ยินเหรอ คู่รักที่คบกันมานาน พอเข้าสู่ปีที่เจ็ดก็มักต้องมีอันเป็นไปจนต้องเลิกกัน’
เพราะฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าแฟนที่คบอยู่อาจจะกำลังนอกใจ แต่อีกแง่หนึ่งฉันเองก็รู้นิสัยใจคอพี่นัทมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยไม่กล้าปักใจเชื่อว่าผู้ชายซื่อๆ นิสัยน่ารักอย่างเขาจะทำตัวเจ้าชู้เหมือนผู้ชายคนอื่นจนกล้านอกใจจริงๆ
บางทีความสัมพันธ์ของเราตอนนี้อาจจะอยู่ในช่วงมรสุมอาถรรพ์เจ็ดปีอะไรนั่นก็ได้ พอคิดมาถึงตรงนี้ หน้าจอโน้ตบุ๊กก็ปรากฏข้อมูลของเรื่อง อาถรรพ์คู่รักเจ็ดปีขึ้นมาพอดี
หัวข้อ :: อาถรรพ์คู่รัก 7 ปีเลิก
เขาว่ากันว่าชีวิตของผู้คนมักมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทุกๆ 7 ปีหลายคนอาจได้เริ่มคบหากับคนรู้ใจ เมื่อเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนวัยพอดี และเมื่อคบกันไปได้เป็นเวลา 7 ปี ก็จะถึงช่วงเปลี่ยนวัยอีกครั้ง
ชีวิตก็อาจเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เช่น อาจได้เข้าสังคมใหม่ๆ ไปรู้จักคนใหม่ๆ ทำให้ต้องห่างเหินกับคู่รัก จนอาจลงท้ายด้วยการแยกทาง นี่อาจเป็นเพียงความเชื่อที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน ถ้าคุณคิดว่าความสัมพันธ์ของคุณกับคนรักในตอนนี้เริ่มระหองระแหง ลองเช็กท่าทีของแฟนดูนะคะว่าเขาเริ่มเปลี่ยนไปหรือเปล่า เพราะบางทีคุณอาจจะเป็นอีกคนที่กำลังตกอยู่ในอาถรรพ์คู่รัก 7 ปีก็เป็นได้
ชีวิตคนเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทุกเจ็ดปีอย่างนั้นเหรอ…
ฉันเม้มปากแน่น คิ้วขมวดเป็นปม คิดวิเคราะห์ข้อความที่เพิ่งอ่านผ่านตา ถ้าหากว่าชีวิตคนเรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทุกเจ็ดปีอย่างที่ข้อมูลในเว็บว่า ไม่แน่พี่นัทผู้ใสซื่อของฉันก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ไม่ได้การแล้ว ฉันว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ!
สามสิบห้านาทีต่อมา…
เวลา 18.55 น.
ฉันพาตัวเองมาที่หอพักของพี่นัททันที สิ่งที่ฉันคิดจะทำเมื่อเข้าไปในห้องได้สำเร็จก็คือ การหาหลักฐานจับผิดว่าตอนนี้พี่นัทกำลังนอกใจฉันอยู่จริงๆ แม้ว่าสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำจะเป็นการเสียมารยาทไปหน่อย แต่อย่างน้อยถ้าฉันพอมีหลักฐานบ้าง อาจจะพอทันแก้สถานการณ์การถูกนอกใจให้ดีขึ้นก็ได้
“ฮัลโหลเจ๊ คืนนี้ฉันอาจจะกลับไปห้องดึกหน่อยนะ…” สิ่งแรกที่ฉันไม่ควรลืมก็คือ การโทรบอกรูมเมทอย่างเจ๊ตาล เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง
[กานต์ออกไปไหน ทำไมต้องกลับดึกด้วย?]
“ฉันออกมาทำธุระอ่าเจ๊ ดึกๆ เจอกันนะ” ฉันรัวคำพูดแบบรีบๆ เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายถามมาก และตัดสายทันที เมื่อเท้าก้าวมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักที่เป็นเป้าหมาย ก่อนไขกุญแจเข้าห้องเหมือนปกติ
ภายในห้องพักของพี่นัทตอนนี้เงียบ มีเพียงหน้าจอคอมใกล้เตียงนอนเท่านั้นที่เปิดค้างฉากภาพตัวละครในเกมกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์อย่างดุเดือด
ฉันกลอกตามองฝ่าความมืดภายในห้องเพื่อเช็กสถานการณ์ เมื่อรู้สึกว่าทางสะดวก ฉันจึงเดินย่องตรงเข้าไปที่โต๊ะคอมของเขาทันที แสงสว่างในตอนนี้มีแค่แสงสีจากภาพหน้าจอคอมเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่สว่างพอจะให้ฉันเริ่มค้นสำรวจจากส่วนอื่นในห้องนอกจากโต๊ะคอมนี้เลย
บนโต๊ะนอกจากมีหน้าจอ แผ่นคีย์บอร์ดกับเม้าส์แล้ว ยังมีข้าวของมากมายวางระเกะระกะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน แผ่นดีซีเกม เอกสารงาน ทุกอย่างวางสุมกันไว้ จนฉันไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อน
แต่เพราะเดาเวลาที่พี่นัทจะกลับมาที่ห้องไม่ได้ สุดท้ายฉันก็เลยไม่มีทางเลือก จำต้องรีบรื้อข้าวของบนโต๊ะคอมพิวเตอร์เพื่อหาสิ่งที่ต้องการ จนกระทั่งมือไปหยุดอยู่ที่กรอบภาพถ่ายซึ่งเป็นรูปคู่ของเราตั้งแต่สมัยมัธยมต้น รูปถ่ายนั่นทำฉันหลุดยิ้มทันทีเมื่อเห็นหน้าตัวเองสมัยก่อน
ทั้งอ้วน ทั้งดำ ไม่มีตรงไหนน่าดูเลยสักนิด ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนอย่างพี่นัทจะยอมคบกับผู้หญิงหน้าตาดูไม่ได้แบบฉันด้วย
“ผู้หญิงอะไรหน้าตาโคตรพิลึก”
เสียงทุ้มกระซิบดังข้างหู ทำให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกวางรูปถ่ายในมือลงกับโต๊ะอย่างคนมีความผิด รีบหันขวับมองเจ้าของเสียงดังกล่าวด้วยความตกใจ
แม้ว่าที่ตรงนั้นจะมีแสงสว่างไม่มากนัก แต่ฉันก็สามารถมองเห็นพี่เกมส์ได้ชัดเจน เขายืนเปลือยในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว กำลังยืนเช็ดผมเปียกหมาดของตัวเองมองมาทางฉัน แต่แล้วเขาก็ทำตาโตเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และรีบใช้มือดันหัวฉันออกจากบริเวณนั้นทันที ปากก็บ่นไปด้วย
“อะไรวะ ผ่านไปสิบนาที EXP ขึ้นไม่ถึงพัน” เขาดูไม่สนใจและไม่แสดงสีหน้าแปลกใจแม้แต่นิดที่เห็นฉันเข้ามาในห้องพี่นัท รื้อข้าวของโดยพลการแบบนี้
“สงสัยต้องเปลี่ยนที่ปั้มเลเวลกันใหม่ซะแล้วล่ะม้างง~” เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจ สิ่งที่ฉันคิดจะทำในตอนนี้ก็คือ การทำตัวล่องหน เสมือนว่าไม่เคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อนและพาตัวเองเดินออกไปจากห้องนี้ซะ
ทว่าเมื่อเท้าเริ่มขยับ คำถามที่ฉันไม่อยากได้ยินมากที่สุดก็ตามมา
“มาหาอะไรที่ห้องไอ้นัทเหรอ?” ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ สมองรีบประมวลความคิดและตอบกลับเขาไปข้างๆ คูๆ
“คนเป็นแฟนกัน แวะมาหากันไม่ได้หรือไงคะ?”
“ไอ้นัทไม่ได้บอกเหรอว่ามันออกไปทำธุระ” เมื่อถูกย้อนกลับมาแบบนั้น ร่างกายทุกส่วนก็หยุดนิ่ง นัยน์ตาจับจ้องไปยังพี่เกมส์ที่พูดเหมือนรู้อะไร
ยิ่งมองพี่เกมส์ ฉันก็ยิ่งเหมือนถูกตอกย้ำชัดเจนเข้าไปอีก ว่าสิ่งที่พี่นัทพูดเมื่อตอนเย็นมันคือคำโกหก
‘ไอ้เกมส์ให้พี่ไปหาที่ร้านเกมน่ะ… พี่ไปก่อนนะ’
พี่เกมส์วุ่นวายอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไรต่อ ก่อนผละตัวเดินผ่านฉันตรงไปเปิดไฟ ทำให้ทั้งห้องสว่างจนสามารถมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดขึ้น
“ถาม ไมไม่ตอบ” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดกึ่งเร่งเร้า จนต้องกลอกตามองเจ้าของคำพูดด้วยท่าทีอึกอัก แล้วถามกลับไปเหมือนเฉไฉ
“พี่นัทไปทำธุระเหรอคะ?”
พี่เกมส์แย้มยิ้มเมื่อได้ยินคำถาม
“อ่าฮะ มีไรจะฝากไว้ป่ะ?”
“ไม่มี ขอบคุณสำหรับความหวังดีค่ะ” ฉันรีบจบบทสนทนาของเราลง หันหลังเดินตรงไปที่ประตูห้องเพื่อออกไปจากที่แห่งนี้ แต่เหมือนพี่เกมส์จะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
เขาเดินตามหลังฉันมาที่ประตูห้อง แล้วพูดขึ้นราวกับรู้อะไร ไม่สิ! เรียกว่ากวนประสาทมากกว่า
“ไม่คิดจะให้พี่บอกไอ้นัทจริงๆ เหรอคะว่าน้องกานต์มาหาที่ห้อง”
“ไม่ต้องค่ะ” ฉันยังคงยืนยันคำพูดเดิม
“แล้วเรื่องที่น้องกานต์มารื้อของเหมือนหาอะไรบางอย่างล่ะคะ ต้องบอกไอ้นัทด้วยไหม?”
ฉันเหลียวหลังขวับ ทำตาโตใส่คนตัวใหญ่อย่างไม่เชื่อหู พี่เกมส์ยักไหล่ยิ้มๆ เหมือนไม่ได้จริงจังกับคำพูดของตัวเองที่กล่าวออกมา พลางเอนตัวพิงผนังคล้ายรอฟังคำตอบ
ด้วยคำถามที่เหมือนจับผิดอย่างรู้ทันของเขานั่นแหละ มันก็เลยทำให้ฉันไม่กล้าตอบอะไรกลับไป จนอีกฝ่ายพูดออกมาเอง
“ว่าไง สรุปยังไง?”
“พี่เกมส์อย่าใส่ร้ายหนูได้ไหมคะ!” เมื่อหมดหนทางที่จะหาข้อแก้ตัว ทางเลือกสุดท้ายคือการวีนแตกตัดบท รีบเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดพาตัวเองออกจากห้องทันที
ตึงงง!
ยังไม่ทันที่ประตูจะเปิดออกดี แรงกระแทกของฝ่ามือก็ทำให้บานประตูปิดลงอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของพี่เกมส์พุ่งเข้ามากุมมือฉันตรงลูกบิดประตูแน่น ฉันไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ เพราะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักกายที่เบียดชิดอยู่ด้านหลัง
ระยะห่างของเราใกล้กันมาก มากเสียจนได้กลิ่นหอมของสบู่เหลวและยาสระผมที่ติดอยู่ตามเนื้อตัว
“พี่จะบอกอะไรน้องกานต์อย่างหนึ่งเอาไหมคะ?”
คำถามที่เหมือนจะรู้ความต้องการของฉันทะลุปรุโปร่งของพี่เกมส์ ทำฉันยืนตัวแข็งทื่อ กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาชอบแกล้งฉัน แต่นี่คือครั้งแรกที่เขาแกล้งแรงถึงขั้นเข้าประชิดตัวใกล้ขนาดนี้…
“สิ่งที่กานต์หาอยู่มันไม่ได้อยู่ในห้องนี้หรอกรู้ไหม??”
นี่เขารู้เหรอว่าฉันกำลังหาอะไร?
“ถ้ากานต์อยากได้สิ่งที่กำลังหา บอกเลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่พี่” พี่เกมส์ขยับกายเบียดชิดฉันมากขึ้น ผิวกายเปลือยเปล่าบางส่วนของเขาโฉบเฉียวผิวฉันไปเล็กน้อย
ฝ่ามือแกร่งซึ่งทาบอยู่ที่บานประตูค่อยๆ เลื่อนจับช่วงไหล่ฉันอย่างช้าๆ ก่อนตามมาด้วยคำพูดเชิงกระซิบข้างหูว่า
“ถ้าน้องกานต์อยากรู้พี่ก็จะบอก แต่พี่มีข้อแลกเปลี่ยนน้าา สนใจป่ะ?”
จะบอกว่าไม่อยากรู้เลยมันก็ไม่ใช่ ในเมื่อพี่เกมส์เองก็เป็นหลักฐานจับโกหกชั้นดีที่พี่นัทสร้างเอาไว้ และถ้าหากว่าสิ่งที่พี่เกมส์รู้อาจจะพอช่วยฉันได้บ้างล่ะก็...
“แลกกับอะไรคะ?” ฉันก็คงต้องลองเสี่ยงดู
พี่เกมส์หัวเราะดังหึในลำคอ เขาเงียบไปครู่สั้นๆ โดยยังยืนกักขังฉันเอาไว้ที่บานประตูอย่างนั้น แต่แล้วก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ
“ตอนนี้พี่โป๊อยู่...น้องกานต์คิดว่าพี่จะให้ทำอะไรล่ะ?”