ณ เรือนเจ้าพระยาเผด็จ
คุณหญิงนายแม่ให้คนจัดเตรียมสำรับมากมายราวกับมีงานมงคลอันใดอย่างนั้น
“พ่อพระยาของแม่” หญิงร่างอวบวัยค่อยไปทางชราหากแต่ยังดูสาวกว่าอายุจริงอยู่มากเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายเบาๆ ร่างสูงสันทัดงดงามดั่งเทวดาบรรจงปั้นของพระยาหมื่นทิศ ลู่เอียงลงมาเพื่อลดความสูงเพื่อให้แม่ได้ลูบหัวได้ถนัดถนี่หน่อย
“แต่ก็มิใช่การดีเสียทั้งหมดดอกหนา ได้เลื่อนขั้นไวเกินหน้า ผู้ริษยาคงมิใช่น้อย” เจ้าพระยาเผด็จว่า
“ฉันละเบื่อนัก” คุณหญิงนายแม่ตบพัดกับฝ่ามือเปลี่ยนอารมณ์ไปโดยพลัน นึกถึงครั้นกระโน้นที่พระยาหมื่นทิศขึ้นเป็นขุนใหม่ๆ ในวัยเพียง20 ถูกพูดค่อนแคะยังพอทน นี่กระไรมาคิดหาแต่จะใส่ร้ายใส่ความจนลูกชายของเธอเกือบต้องอาญา ดีที่พระยาหมื่นทิศมีไหวพริบและความฉลาดเป็นเลิศ จึงทำให้รอดพ้นจากความเป็นความตายมาได้หลายครา แต่กระนั้นผู้เป็นแม่มีหรือจะหายเคืองใจ
“พ่อต้องระวังให้มากหนา” คุณหญิงแม่นายหันมาพูดเสียงอ่อนโยนกับลูก
“ขอรับ” ใบหน้าหล่อคมคายวาดยิ้มน้อยอ้อนผู้เป็นแม่ แลพวกนางข้าทาสที่จ้องพระยาหมื่นทิศไม่วางตาก็พลอยได้ส่วนบุญนี้ไปด้วย สะดุดขาตัวเองล้มบ้าง เกือบหัวใจวายตายบ้าง ได้มีเรื่องคุยโวกับพวกในครัวไปได้อีกหลายสิบปีก็คราวนี้ คืนนี้คงเก็บเอารอยยิ้มบาดคมหัวใจ ราวได้เห็นเทวดาเหาะลงมาจากสวรรค์นั่น ไปฝันเพ้อถึงพระยาอีกเป็นแน่
“แล้วเมียเจ้าไปไหนเสียล่ะ” คุณหญิงนายแม่ถามถึงเมียแต่งของพระยาที่ถูกนับเป็นสะใภ้เพียงคนเดียวของหล่อน ยังมิทันได้คำตอบ ร่างอรชรก็เยื้องย่างด้วยกิริยางดงามขึ้นมาบนเรือน พร้อมกับขบวนสำรับเครื่องคาวที่ถูกยกขึ้นมาตามหลัง
“บ่าวไพร่มีออกมาก ในครัวทั้งร้อนทั้งเหม็น เจ้าจะลำบากเข้าครัวเองทำไมกันฮึ” คุณหญิงนายแม่ทำทีว่าดุ แต่ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูต่อหญิงสาวตรงหน้า
คุณหญิงศรี เมียแต่งเมียพระราชทานของพระยาหมื่นทิศยิ้มน้อยโปรยความอ่อนหวานจนทั่วเรือน ก่อนจะมานั่งเคียงพระยาผู้เป็นสามี
“ไม่เหนื่อยดอกเจ้าค่ะคุณแม่ ดิฉันสนุกที่ได้เข้าครัว” เสียงหวานเอ่ยขึ้นในที่สุด คุณหญิงศรีวัยย่าง28หันสายตาขึ้นมาหาสามีร่างสูงกำยำเพื่อหมายว่าจะได้รับคำชื่นชมบ้าง แต่สายตาเขากลับมองข้ามหัวหล่อนออกไปทางกลุ่มข้าทาสที่นั่งเคียงกันอยู่ตรงหัวมุมชานโน้น
“มานี่สิย่งยี่ มึงไปทำกระไรอยู่ตรงนั้น” พระยาเรียกหญิงสาวที่นั่งโดดเด่นในหมู่ข้าทาสอยู่ตรงนั้น ย่งยี่ในชุดกี่เพ้าท่าทางอิดออด ก็หล่อนแค่มาช่วยยกสำหรับเท่านั้น มิได้ใคร่อยากร่วมวงรับประทานอาหาร ถึงแม้พระยาหมื่นจะให้หล่อนมาร่วมรับประทานด้วยทุกครั้ง แต่ย่งยี่มองว่าไม่มีที่สำหรับหล่อนตรงนั้น
“รึคือมารยาอ้อนกูให้ไปอุ้ม” พระยาว่ายิ้มหยอกเย้าเมียอีกคน ย่งยี่จึงรีบกุลีกุจอลุกเดินมาเพราะไม่อยากดึงความสนใจจากผู้คนไปมากกว่านี้แล้ว
คุณหญิงนายแม่ชักสีหน้าไม่พอใจจนออกนอกหน้า ส่วนเจ้าพระยาก็หาสนใจอันใดไม่ เรื่องของพวกเมียๆ แม่ๆ ท่านมิอยากยุ่งเกี่ยวให้วุ่นวายใจ
“มานั่งข้างกูนี่” พระยาหมื่นทิศบอกเมื่อย่งยี่กำลังจะนั่งลงอีกฝั่งตรงข้าม หญิงสาวจึงก้มหน้าหลบตาทุกคนแล้วเดินไปนั่งลงเคียงข้างพระยา
คุณหญิงศรีหลุบตาลงทำหน้าหงอยเหงา ถึงพระยาจะตักแกงให้เพื่อเป็นการปลอบโยน แต่คุณหญิงศรีกลับไม่รู้สึกดีขึ้นสักนิดเลย
คุณหญิงนายแม่ถอนใจฮึดฮัดไม่พอใจแทนสะใภ้ เช่นไรเห็นกรวดดีกว่าแก้ว
พระยารู้ดีว่าแม่ไม่ค่อยพอใจนักที่เขาพาเมียอื่นนอกจากคุณหญิงศรีมาร่วมทานอาหารด้วย แต่พระยาก็ยังพาย่งยี่มาฝากฝังเรื่อยมา นึกว่าคุณแม่จะชินแล้วเสียอีก
ย่งยี่ไม่ใช่คนสวย ไม่สวยได้ครึ่งคุณหญิงศรีด้วยซ้ำ ชาติตระกูลก็ไม่มีแถมยังเคยเป็นนางโคมเขียวมาก่อน ไม่มีใครเข้าใจเลยว่า คนอย่างย่งยี่เหตุใจจึงได้มาเป็นเมียท่านพระยา แถมเป็นคนโปรดของท่านได้
“พระยาไกรสิงห์ จำกันได้ไหม เพื่อนรักของพ่อ” เจ้าพระยาเผด็จพูดขึ้น
“ขอรับ”
“ข่าวว่าท่านสิ้นเมื่อวานนี้ พ่อกับแม่คงต้องไปจันทบูรณ์เสียหลายวัน เจ้าอยู่ดูแลที่นี่ คอยรับน้องด้วย”
“น้อง?”
“พระยาไกรสิงห์ฝากฝังลูกชายท่านไว้กับพ่อก่อนสิ้น ตอนนี้คงกำลังเดินทางมา อาจจะถึงวันนี้พรุ่งนี้” เจ้าพระยาเผด็จไขความให้กระจ่าง
“เดินทางมา? เหตุไฉนจึงเร่งเดินทางนัก ก็ในเมื่อพ่อเพิ่งเสีย”
“เรื่องในเขา เจ้ามีหน้าที่ดูแลน้องคราที่พ่อไม่อยู่เท่านั้นก็พอ”
“ชื่อเรียงเสียงไรหรือขอรับ”
“เหมือนแก้ว เขาชื่อเหมือนแก้ว”
ณ เรือนพระยาหมื่นทิศ
เป็นเรือนไม้สักทองหลังใหญ่โตโอ่อ่า วิจิตรงดงามแปลงตาไม่เหมือนเรือนหลังไหนในพระนคร เนื่องด้วยตัวเรือนถูกออกแบบโดยช่างมากฝีมือถึง4ประเทศ ทั้งไทย ตูรกี่ จีน และฝรั่งเศส เรือนไทยในเขตขอบรั่วของพระยานี้ จึงงดงามทั้งยังอุดมด้วยประโยชน์ใช้สอยสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำห้องท่าที่เอาเข้ามาไว้ในเรือนนี้ พระยาหมื่นทิศเป็นได้ถกเถียงกับเจ้าพระยาเผด็จผู้เป็นพ่อเป็นนานสองนาน ‘จักเอาเวทมาอยู่ในเรือน พ่อคิดได้เช่นไร’ จนสุดท้ายเจ้าพระยาก็ต้องยอมจำนนต่อความรั้นของบุตรชาย
‘ช่างเถอะพ่อ เช่นไรก็เรือนของเจ้า’ เจ้าพระยาเผด็จเดินจากไปด้วยยังมีอาการขุ่นเคือง
เรือนของพระยาหมื่นทิศนั้น ตั้งอยู่ในที่ดินผืนเดียวกับของผู้เป็นพ่อตามคำขอของผู้เป็นแม่ ที่ไม่อยากอยู่ไกลลูก แต่ด้วยความที่ที่ดินผืนนี้กว้างถึงหมื่นไร่ เรือนของพระยาและเจ้าพระยาจึงห่างไกลกันโขจนมองเห็นแค่หลังคาที่สูงเลยยอดไม้มาเท่านั้น
ภายในบริเวณเรือนของพระยาหมื่นทิศ ยังประกอบไปด้วยเรือนหลังเล็กหลังน้อยอีกหลายหลัง สำหรับบรรดาข้าทาสและเมียๆ ของท่าน
ที่เรือนใหญ่ตรงกลางเป็นเรือนส่วนตัวของท่านพระยา เรือนรองข้างๆ กันเป็นเรือนของคุณหญิงศรีที่พระยาให้อยู่แยกต่างหาก และถัดกันไปก็เป็นเรือนรวมของเมียคนอื่นๆ
ราชรถเทียมม้าหลังงามค่อยๆ ขับเข้ามาจอดอยู่หน้าเรือนหลังใหญ่พอดี
“คุณพระยากลับมาแล้ว” เสียงชื่นชมยินดีของหญิงงามนับร้อยที่คอยชะเง้อมอง รอชายอันเป็นที่รักกลับมาตลอดทั้งวัน พวกนางต่างแย้งกันเดินเร็วไปต้อนรับพระยาถึงหน้าเรือน และได้แต่คาดหวังว่าคืนนี้จะเป็นโชคของตน
การมีเมียมาก ก็นับเป็นการโอ้อวดบารมีอย่างหนึ่ง ยิ่งมีเมียมากเท่าใด นั่นยิงหมายถึงฐานะความร่ำรวยที่สามารถเลี้ยงดูบรรดาเมียๆ ได้
บรรดาเมียทั้งร้อยกว่าของพระยา ไม่ใช่ว่าจะได้มีวาสนากันทุกคน อยู่ที่จังหวะและการบริหารเสน่ห์ ครั้นเรื่องแก่งแย่งชิงดีพระยาเกลียดนัก หากให้มีเรื่องจะตะเพิดออกจากเรือนเสีย พวกนางแต่ละคนรีบไหวตามลม ถึงแม้ในใจจะริษยากันอยู่มากก็ตามที
เมื่อลงจากรถม้า คุณหญิงและบ่าวรับใช้จึงแยกตัวไปยังเรือนของตนในทันที
“ยินดีด้วยนะเจ้าคะ” บัวไร หญิงสาวทรงดื้อรั้นแก่นแก้วกว่าใครเอ่ยขึ้นด้วยเหนียมอายก่อนที่พระยาจะเดินผ่าน
“อือ ขอบน้ำใจมึง” พระยาหันมาบอกด้วยเสียงที่อ่อนโยนลงกว่าที่เคย บัวไรยิ้มดีใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มปรีดานี้พระยาก็พลันรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ในใจ คราวก่อนพระยาลงหวายกับมันหนักไปหน่อยจนบัวไรเกือบตาย แต่มันก็ถึกพอจะกล้ามีชีวิตต่อไปได้ แถมยังไม่คลายความรักจากพระยาลงไปได้เลยสักเพียงน้อย หากมันเลิกสันดานหยาบเที่ยวระรานคนอื่นลงได้ มันคงน่าชังกว่านี้นัก
พระยาไม่ใช่คนที่จะอ่อนให้กับเมียหรือกับใคร ถึงภายนอกจะดูสุภาพตามสมควร แต่ตัวจริงแท้พระยานั้นเหี้ยมโหดเอาการ ผู้ที่ได้เห็นพระยาสำแดงเดช ต่างประหวั่นพรั่นพรึงและกลัวเกรงไปตามๆ กัน
“กูจักให้โอกาสมึง” พรางมือหนาเอื้อมมาบีบหน้าเล็กของบัวไร
“ข้าไม่กล้าแล้ว” บัวไรว่าตัวสั่นเมื่อนึกถึงคราที่ถูกลงหวาย
“ครั้งหน้ากูจะไม่พูดแม้เพียงคำเดียว” พระยาว่าไม่ได้หมายขู่ แต่เพื่อเตือนด้วยความหวังดีสุดท้ายที่จะมีให้
“เจ้าค่ะ” บัวไรก้มหน้าสำนึกผิด “แต่ก็ถ้าอีผินมันไม่กุเรื่องว่าท้อง ฉันคงไม่เป็นบ้าเป็นหลังจนถึงขั้นเอาซุงไม้แทงช่องน้อยมันดอก มันคุยโวว่ามิได้กินยา แอบเอายาไปทิ้ง ฮึก ฮืออ” บัวไรไม่วายเถียง ครานั้นที่อีผินเกือบตายคาไม้ซุง พระยาไม่ฟังคำแก้ต่างอันใดจากบัวไร พระท่านจับหวายได้ก็เฆี่ยนเอาๆ จนบัวไรล้มหมอนนอนเสี่อไปหลายเดือน
“นี่คือมึงไม่สำนึกว่าจะทำใครตาย” พระยาว่า บัวไรรีบทรุดฮวบลงกอดแทบเท้า
“อีบัวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ คุณพระยาเจ้าขา ให้อภัยอีบัวด้วยเถิดนะเจ้าคะ”
“เออ” พระยาว่าและเดินขึ้นเรือนไปก่อนที่ปากบัวไรจะทำเขาหงุดหงิดใจไปมากกว่านี้
“พี่ย่งยี่นี่โชคดีจริง ได้ร่วมสำรับกับท่านตลอด” เสียงพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายขึ้นเมื่อพระยาเดินพ้นไปพร้อมย่งยี่แล้ว
“โชคดีไปเสียทุกอย่าง ทั้งเป็นคนเดียวที่ได้อยู่ร่วมเรือนกับท่าน ถึงจะอายุอานามปาเข้าไป35ปีแล้ว”
“นั้นสิ พี่ย่งยี่มีอะไรดีนักหนา”
“ก็นางโคมเขียวเก่านี่นะ คงรู้จักเอาอกเอาใจสารพัด”
“กูก็เอาใจจนแทบจะเสียนิ้วตีนพระยาท่านแล้ว เหตุใดไม่ได้รับความเอ็นดูจากท่านบ้าง”
“กูล่ะอยากรู้จริงเทียว ว่าพี่ย่งยี่ทำเช่นไรให้พระยาหลงใหลได้ปานนั้น”
“ปานนั้นปานไหนหรือ บางทีตอนพวกกูไปรับใช้ท่าน พี่ย่งยี่ไม่ได้ร่วมกิจกามด้วยเสียก็มี แค่ยืนดูอยู่เท่านั้น”
“ก็หลงกว่าเมียแต่งแล้วกัน ฮ่าๆๆ”
“เออ น่าคิด มองอย่างไรคุณหญิงก็งามกว่าเห็นๆ ทั้งชาติตระกูลทั้งกิริยา แต่ยังให้อยู่แยกเรือน”
“หรือพี่ย่งยี่จักเล่นของมนต์ดำ”
“พระยามีของแก้ วิชาศาสตร์นี้ท่านก็ร่ำเรียน ผู้ใดจะมาเล่นของใส่ได้”
“เออจริง แล้วเหตุใดจึงหลงพี่ย่งยี่กว่าคุณหญิงศรีได้ล่ะ”
“ก็ถึงบอกอย่างไร ผู้ดีหรือจะสู้นางโคมเขียวได้”
“ฮ่าๆๆๆ ว่าไปนั้น เดี๋ยวคุณหญิงท่านมาได้ยินเข้า มึงจักหลังลายเอา”
“คุณหญิงศรีเคยสั่งเฆี่ยนใครด้วยหรือ กูได้ยินแต่คุณหญิงพูดว่า ‘ไม่เป็นไรดอก’ ‘ช่างมันเถิดหนา’ ”
“เพียบพร้อมเช่นนี้ เป็นเมียคนอื่นเขาคงรักคงหลงตายแล้ว เสียดายที่ได้เป็นเมียพระยาท่าน”
“เสียดายหรือ เป็นบุญล่ะมากกว่า หรือมึงไม่คิดเช่นนั้น”
“ก็จริง กูนึกถึงคราได้ร่วมสวาทกับท่านทีไรเป็นน้ำเดินแทบทุกครั้งไป ร่างกายท่านทุกสัดส่วนราวกับมีไฟปรารถนา”
“กำยำสมชายชาตินักรบ”
“ยาวลึกจนสุดใจ”
“ทั้งอวบใหญ่แน่นหนักไปทุกมัดกล้าม”
“เจ้าประคุณเอ๊ย อีช้อยจะตายเสียให้ได้”
“คืนนี้ขอให้เป็นเรือนฝั่งซ้ายเถิด”
“เอ่ะ อีนี่ ต้องเรือนขวาสิ พระยาต้องเลือกเรือนขวา”
พวกนางงามนับร้อยต่างเริ่มถกเถียงกันจนแทบอยากลงตีตบตี ว่าคืนนี้พระยาจะเรียกใช้นางจากฝั่งเรือนไหน
“มึงตะเตรียมการดีแล้วหรือไม่ย่งยี่” พระยาหมื่นทิศถามขึ้นขณะที่กำลังนอนแช่น้ำอยู่ในถังไม้ใบใหญ่
“เจ้าคะ” ย่งยี่ที่ง่วนอยู่กับพวกเครื่องหอมตรงมุมโน้นตอบมาทั้งที่ไม่ได้หันกลับมามอง
พระยาถอนใจ การเปิดพรหมจรรย์ช่างเป็นเรื่องยุ่งยากรำคาญใจ บางคราก็ทำให้หมดอารมณ์
ย่งยี่เหมือนรู้ทัน นางคลี่พัดแบบชาวจีนขึ้นป้องปากพรางขำ
“พวกนางยังไม่เคยออกเรือน แต่คงซุกซนมาบ้างไม่มากก็น้อย” ย่งยี่ว่า นางมีหน้าที่ดูแลพวกนางรับใช้สวาทของพระยา นางคอยคัดกรองผู้หญิงให้เขาและค่อนข้างจะมีอิทธิพลทางความคิดกับพระยา คนไหนไม่ผ่านเกณฑ์ก็จะถูกคัดออกก่อนที่จะได้ถึงตัวทำพระยาท่านเสียอารมณ์ แน่นอนว่าทุกนางต้องถูกตรวจดูแล้วทุกซอกหลืบ
“งามหน้าพ่อแม่นัก” พระยาอดว่าเสียไม่ได้ ยังเป็นสาวเป็นนางกันอยู่แท้ๆ แต่ก็ดี ขี้คร้านมาถนอมให้มากความ
“เรียกเลยไหมเจ้าคะ”
“อืม มึงเรียกบรรดานางเมียเรือนตะวันตกมาด้วยก็แล้วกัน กูจักปลอบขวัญอีบัวไรมันเสียหน่อย” พระยาว่าแล้วมุดน้ำเย็นฉ่ำเล่นราวกับเด็กๆ
“เจ้าค่ะท่าน”
ย่งยี่ที่ทำหน้าที่ดังแม่เล้าออกไปสั่งการแล้วเข้ามาจัดแจงเครื่องหอมแลน้ำเมาในห้องให้พร้อมสรรพต่อ
พระยาหมื่นทิศนั้น แข็งแรงดั่งอาชาคะนองศึก เหล่าบรรดาเมียๆ จึงอิ่มหนำ ผลัดกันปรนเปรออย่างถ้วนทั่ว นอนกองหมดสภาพ วันไหนคึกจัดหน่อย พระยาท่านก็จักเรียกพวกนางมาทั้งหมด เสพกามเมถุนมิได้หยุดหย่อนติดต่อกันถึง7ราตรีคืนยังเคยมี
แต่พระยาหมื่นทิศท่านกลับไม่มีบุตรธิดาไว้เชยชมเลยสักคน นั่นเพราะก่อนบรรเลงเริงสวาท ท่านจะให้ทุกนางดื่มยาสมุนไพรยับยั้งกำเนิดที่ได้จากเมืองจีนอันไกลโพ้นเสียก่อน เหตุผลข้อนี้เพราะเหตุใดก็ไม่อาจรู้แน่ แต่เดาไม่อยากหรอกเพราะท่านคงถือยศถืออย่าง อยากให้ลูกเกิดแก่แค่กับหญิงที่คู่ควรเท่านั้น น่าเสียดายที่ท่านหญิงศรีไร้วี่แววจะมีครรภ์แม้ผ่านมาแรมปี
ณ ชายป่ารอยต่อเมือง
คณะพ่อค้าเร่จอดพักให้น้ำแก่วัวควายและถือโอกาสตั้งค่ายนอนกันที่นี่เสียเลยในคืนนี้
“เราจะแยกตรงนี้ล่ะ” ชายร่างกำยำในชุดปิดบังใบหน้ามิดชิดบอกกับหัวหน้าพ่อค้าเบาๆ
“อีกไม่ไกลก็ถึงเมืองแล้ว ไม่ไปต่อกับข้าอีกหน่อยหรือ แล้วเมียเอ็งจะไหวหรือนั่น แทบจะล้มพับลงเสียให้ได้แล้ว”
ชายวันกลางคนร่างท้วมพยักหน้าหันไปที่ร่างเล็กที่แอบอยู่ข้างหลังชายร่างสูงกำยำตลอดเวลา
“งั้นฉันขอซื้อม้าท่านสักตัวได้หรือไม่” นายแสนว่า
“ซื้อม้าหรือ!? นั่นมันแพงโข”
“ฉันพอมีเบี้ยติดตัวมาอยู่บ้าง ท่านว่าราคามาเถิด”
เมื่อได้ม้าอาชาสีนิลตัวที่ดีที่สุด แสนก็อุ้มนายน้อยเหมือนแก้วในชุดสาวชาวป่าขึ้นบนหลังม้า จากนั้นก็ทะยานควบหายเข้าไปในป่าอย่างเร็วพลันโดยไม่คิดจะกล่าวล่ำลาให้ยืดเยื้อ หัวหน้าพ่อค้ามองตามหลังพวกเขาไป พรางเดาไปต่างๆ นานาถึงเรื่องราวของคนลึกลับสองคนนี้
“แม่สาวนั่น ลูกเจ้านายล่ะสิ พวกหนุ่มสาวนี่ คราได้รักดั่งควายถึก ใครห้ามมิรู้ฟัง”
ขณะที่หัวหน้าพ่อค้ายืนบ่นดังพ่อคนหนึ่งอยู่ จู่ๆก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ดูน่ากลัวควบม้าเข้ามาหา
"มีอะไรหรือพ่อ"พ่อค้าทำใจดีสู้
"เรากำลังหาคน พวกมึงเห็นชาย2คนเดินทางผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่"
"ชาย2คนหรือ ม ไม่เห็น"
"หากมึงกล้าปิดบัง…"ชายบนหลังม้ากล่าวพรางชี้ปลายดาบมาที่เขา
"ไม่กล้าๆ พ่อจะค้นดูก็ได้ เราไม่เคยเห็นชาย2คนเดินทางผ่านเส้นทางนี้ตลอดที่เดินทางเลย"
"มึงแน่ใจนะ"
"แน่ขอรับ ที่ผ่านมามีเพียงผัวเมียคู่หนึ่งขอติดตามมากับคณะด้วยเท่านั้น"
"ผัวเมีย?"
"ขอรับ เพิ่งแยกไปเมื่อครู่นี้ ไปทางนั้น"พ่อค้าชี้มือบอกทิศ กลุ่มชายบนหลังม้ามองไปอย่างช่างใจ
"ชายหญิงรึ"
"ขอรับ"
กลุ่มชายแปลกหน้ามองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจค้นหาตามเส้นทางเดิม
"จับเป็นไม่ได้ก็จับตาย แล้วเอาตราเจ้าเมืองมา"ชายหัวหน้ากลุ่มว่าสั่งแล้วพากันควบอาชาเร่งไปยังเมืองข้างหน้าต่อไป