ตอนที่สี่ นางฟ้าคืนรัง

2528 คำ
เคนออกมาจากห้องท่านประธานโอมาจิแล้วก็ตรงมาที่ลิฟท์ด้วยความเร่งรีบ เขาต้องเดินทางต่อตามคำบัญชาของผู้มีพระคุณ เคนไม่เหนื่อยแต่เขาก็เหลือเชื่อในความคิดไวทำไวของโอมาจิมาก แต่ก็อย่างว่าหากเขาเจอลูกเมียที่หายไปสิบกว่าปี เขาคงรีบทำอะไรเพื่อให้ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง “อ้าวเคน นายมาที่ญี่ปุ่นทำไมไม่บอกฉัน” วาตานาเบะโผล่เข้ามาในลิฟท์ที่เคนโดยสารได้ทันก่อนที่ลิฟท์จะปิดอย่างเฉียดฉิว เคนพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นการทักทาย วาตานาเบะเป็นเพื่อนเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกับเขา หนุ่มคนนี้คือลูกแท้ๆ ของโอมาจิแต่ถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกเลี้ยง เคนไม่ค่อยเข้าใจประวัติของคนครอบครัวโอมาจิเท่าไหร่ว่าทำไมถึงได้ซับซ้อนยุ่งเหยิงนัก ยิ่งตอนนี้มีคนในครอบครัวเพิ่มมาอีกสามคน ไม่รู้ว่าวาตานาบะ กับลูกที่โอมาจิเลี้ยงออกนอกหน้าอีกสองคนจะว่าอย่างไร “ฉันมาเยี่ยมท่านประธาน” “ช่วงนี้ทำงานหนักหรือเปล่า ดูเหมือนว่านายเครียดๆ หรือคิดมากจังเลยนะ” “เปล่า แล้วนายล่ะ เป็นไงบ้าง” เขาถามหนุ่มที่ควบคุมธุรกิจด้านมืดของโอมาจิ วาตานาเบะไม่ออกมารับราชการตำรวจเต็มตัวเพราะต้องดูงานด้านมืดนี่เอง “ก็เรื่อยๆ ตอนนี้นายยังขี่รถแท็กซี่เก่าๆ ไปจับมาเฟียฮ่องกงเหมือนเดิมหรือเปล่า” วาตานาเบะล้อเพื่อน เพราะเขาได้ยินข่าวจากเพื่อนที่เป็นตำรวจของเคนเล่าถึงวิธีการออกล่าหาผู้ร้ายของเคนให้ฟัง เคนจะชอบขับแท็กซี่เก่าๆ ไปตามจับพวกขี้ยาแถวข้างถนนแล้วบังคับให้พวกมันซัดทอดด้วยวิธีของเขาจนสาวไปถึงหัวเรือใหญ่ได้อย่างอัศจรรย์ “แน่นอน” เคนหัวเราะเก้อๆ “ นายนี่น้า เคนของแท้ต้องอยู่บนรถแท็กซี่เก่าๆ ใช่ไหม” ทั้งสองยักไหล่ แล้วก็หัวเราะเกือบจะพร้อมกัน “อ้อ วันนี้ที่บ้านจัดงานวันเกิดของมิโยโกะนะ นายจะไปไหม” เคนนิ่วหน้า เขาไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จักกับมิโยโกะเป็นการส่วนตัวแต่รู้แค่ว่าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของโอมาจิ เขารู้จักแค่โทโมโอะที่เป็นพี่ชายของมิโยโกะที่เคยพบเจอกันบางครั้งเพราะวาตานาเบะเป็นตัวเชื่อมให้เท่านั้น แต่ถึงเขารู้จักมิโยโกะ เขาก็ไม่มีทางได้ไปงานวันเกิดของเธออยู่ดี เพราะว่าโอมาจิได้จองตั๋วเครื่องบินไปเมืองไทยให้เขาเรียบร้อยแล้ว เขาต้องออกเดินทางในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง “ฉันไปไม่ได้หรอก ฉันต้องกลับแล้ว ฝากอวยพรให้เธอด้วยก็แล้วกันนะ บอกด้วยว่าอย่าทำตัวให้เสียเด็กนัก” เคนบอกยิ้มๆ เพราะเขาเคยได้ยินคำเลื่องลือเกี่ยวกับสาวน้อยคนนี้ว่าเป็นคุณหนูที่เอาแต่ใจเป็นที่สุด คนที่บ่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็วาตานาเบะกับโทโมโอะผู้รั้งตำแหน่งเป็นพี่ชายของแม่สาวนามว่ามิโยโกะนี่แหล่ะ “โอ้ นายยังปากร้ายเหมือนเดิมเลยนะ” วาตานาเบะหัวเราะดังๆ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกจากกันเมื่อลิฟท์เปิดออก สองหนุ่มร่างสูงจึงเดินแยกจากไป ทางใคร ทางมัน 0100 น สนามบินสุวรรรภูมิ เคนเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า เขาเพิ่งบินจากญี่ปุ่นมาตอนหกโมงเย็น พอมาถึงเมืองไทยก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ดึกดื่นอยู่ เขารู้สึกตัวว่าง่วงนอนและอยากไปหากาแฟรสชาติดีๆ ดื่ม เจ้าของร่างสูงจึงแบกกระเป๋าเดินทางใบเก่งที่ไปกับเขาทุกที่เดินออกมาตรงส่วนที่เป็นร้านอาหารพร้อมกับเพื่อนร่วมเดินทางอีกหลายคนที่ร่วมชะตากรรมบินกลับไทยในเวลาเดียวกัน เดินมาได้ไม่เท่าไหร่เคนก็หยุดกึกเพราะสายตาของเคนสะดุดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ความสวยของเธอเปล่งประกายจนใครก็ต่างเหลียวมอง แต่ร่างบางนั้นกลับเดินไปไม่สนใจใคร เหมือนจะมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง ไม่เพียงแต่ความสวยเท่านั้นที่เคนเห็นในตัวเธอ แต่เขารู้สึกว่าใบหน้านี้เป็นที่คุ้นเคย เท่านั้นขาของเคนก็ก้าวเข้าไปหาเธอโดยไม่ลังเล “โยโกะ” เคนเรียกเสียงไม่เบานัก ร่างบางที่เดินมาตัวเปล่าหยุดนิ่งและหันมาทางต้นเสียง เคนเดินยิ้มเข้าไปหาหญิงสาวอย่างไม่ขัดเขินอะไรแม้แต่น้อย “โยโกะ จริงๆ ด้วย” “อะ เอ่อ จ๊ะ” พราวตะวันเอ่ยรับเสียงเบาๆ เธอไม่รู้ว่าหนุ่มหน้าตี๋ที่เดินเข้ามาทักเธอคนนี้เป็นใคร แต่เขารู้จักเธอ ยิ่งเธอเป็นคนขี้ลืมจำเพื่อนจำฝูงได้ไม่หมดเธอก็ทำเหมือนว่าจำได้ไปหน้าตาเฉย “สบายดีไหม” “อื้ม สบายดี เธอล่ะ” โยโกะตอบยิ้มๆ แต่หน้าเธอก็ยังไม่หายงง เธอกำลังพยายามนึกอยู่ว่าเขาเป็นใคร แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเพราะเธอเหมือนว่าไม่คุ้นหน้าเขาเลย ใบหน้าของเธอจึงดูงุนงงจนคนตรงหน้าจับสังเกตุได้ “เธอจำเราได้หรือเปล่า เราเคน ที่เราเรียนโรงเรียนนานาชาติมาด้วยกันไง” “อ้อ เคน เคนอิจิ ที่เรียนด้วยกันมาแล้วย้ายไปญี่ปุ่นตอนเรียนเกรดสิบเอ็ดใช่ไหม โอ้โห นี่ใช่เคนจริงเหรอเนี่ย”พราวตะวันนึกถึงเพื่อนชื่อเคนที่พอได้พูดคุยกันสมัยเรียนออก เคนอิจิคือหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัยผู้จ้ำม่ำ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปหลายปี เขาจะกลายเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างสูงสมาร์ทราวกับนายแบบได้ขนาดนี้ เป็นเคนเองที่ต้องเออออกลับไป โชคดีที่พราวตะวันเคยมีเพื่อนชื่อเคน ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะแอบอ้างว่ารู้จักกันได้เหมือนจริงขนาดไหน “โยโกะ มีอะไรหรือเปล่า” เสียงเข้มๆ ของวชิรวิชย์เอ่ยขึ้นมาเป็นภาษาไทยแทรกกลางวง พราวตะวันก็หันไปทักทายผู้มารับ “มิกิพี่คิดถึงจังเลย” พราวตะวันโผเข้ากอดน้องสาวที่มารับเธออีกคน “มิกิก็คิดถึงเหมือนกันค่ะ พี่โยโกะพึ่งมา แต่มาอีกครั้งมิกิก็อดคิดถึงไม่ได้” มิกิบอกน้ำตาคลอตาเพราะมีความอึดอัดอยู่ในใจหลายเรื่อง พราวตะวันแทบจะโอ๋น้องสาวจอมขี้แยของเธออยู่แล้วถ้าไม่โดนห้ามไว้เสียก่อน “มิกิ อะไรจะขนาดนั้น” วชิรวิชย์บอก พราวแสงศศิจึงหน้างอและหันไปทางอื่น ปล่อยให้พี่สาวได้คุยกับเพื่อนที่นั่งบ่นถึงพี่สาวเธอตลอดทางที่ขับรถมาด้วยกัน พราวตะวันบอกวชิรวิชย์เป็นภาษาอังกฤษว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอคือเคนเพื่อนสมัยเรียนเพราะเคนพูดภาษาไทยไม่ได้ “เคนอิจิเหรอ เจ้าหมูนั่นไม่ใช่หน้าตาอย่างนี้นี่เราจำได้” นายแพทย์หนุ่มบอกเป็นภาษาไทย “เหรอ” พราวตะวันเองก็แปลกใจว่าทำไมเคนอิจิถึงจำหน้าวชิรวิชย์ไม่ได้ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพื่อนเธอและก็เป็นเพื่อนกับเคนอิจิ “หมอนี่เล่นมุขเพื่อมาจีบโยโกะหรือเปล่า แบบเป็นเพื่อนกันสมัยอนุบาลประมาณนี้” “แต่เขารู้จักเรานะ เขาเรียกชื่อเราถูกด้วย วิชย์จำหน้าเคนอิจิได้เหรอ เขาไม่ใช่คนนี้หรอกเหรอ เราจำไม่ได้” พราวตะวันพูดกับเพื่อนเป็นภาษาไทยแล้วหันไปยิ้มกับเคนอิจิที่ยืนมองพวกเธอคุยกันยิ้มๆ “นายคือเคนอิจิเหรอ แล้วนายจำฉันได้ไหม” วชิรวิชย์ถามเป็นภาษาอังกฤษ เคนส่ายหน้า “ผมจำไม่ได้ จำได้แค่โยโกะที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนนานาชาติบางกอกพัฒนาด้วยกัน” “บางกอกพัฒนาอยู่ที่กรุงเทพๆ แต่เราเรียนเซนต์แอตลาสที่สระบุรี” วชิรวิชย์บอกเสียงแข็ง เคนทำหน้าเหรอๆ ได้อย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่เคยทำมา ดีที่เขารู้จักเพื่อนคนไทยที่ไปเรียนตำรวจด้วยกันเขาจึงรู้จักโรงเรียนบางกอกพัฒนา ไม่อย่างนั้น เขาคงแสดงละครได้ห่วยมาก “อ้าวเหรอครับ งั้นผมก็ทักคนผิดสิ แต่ผมมีเพื่อนที่ชื่อโยโกะหน้าเหมือนคุณมากเลย คุณก็ชื่อโยโกะหรือครับ” เขาถามพราวตะวันที่ยังงงๆ อยู่ “ยินดีที่รู้จักครับ แต่ว่าเราต้องไปแล้ว ขอให้โชคดีครับ” วชิรวิชย์บอกแล้วเข็นกระเป๋าช่วยพราวตะวัน เคนจำต้องโบกมือลา พอทั้งสามคนเดินผ่านไปแล้ว เขาก็ถอนลมหายใจแผ่วๆ “เฮ้อ ดีนะที่ปลอมตัวและก็ต้องโกหกบ่อยตอนทำงาน เกือบไปไม่รอดแล้ว ไอ้หมอนี่จับผิดเก่งชะมัด” เคนบ่นอุบอิบ ก่อนจะมองทั้งสามไปจนลับสายตา เขาไม่ไปไหนไกลจากสามคนนี้ได้หรอก เพราะนั่นน่ะ เป้าหมายของเขา “ว่าไงมิกิ เงียบเชียว ทำเหมือนไม่ได้มาด้วยกันเลย ไม่ดีใจหรือที่พี่กลับมา” เมื่อขึ้นรถมาคุยกันกับเพื่อนมากมาย แต่รู้สึกได้ว่ามีอีกคนเงียบไป พราวตะวันจึงถามน้องสาวที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่มาเจอกัน “เอ่อ มิกิ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร มัวแต่งงพี่ผู้ชายคนเมื่อกี้อยู่ค่ะ” พราวแสงศศิบอก พร้อมกับเสหันหน้าไปมองทางอื่น เธอจะบอกได้อย่างไร ว่าเธอพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นว่าคนที่มากับเธอนั้นสนใจพี่สาวเธอจนออกนอกหน้า วชิรวิชย์ คือคนที่เธอมองเขาเสมอ แต่เขาไม่เคยมองเธอเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง เพราะว่าในสายตาของเขามีแค่พี่สาวเธอเท่านั้น “กลุ้มเรื่องแม่หรือเปล่า พี่บอกว่าให้ใจเย็นๆ ไว้ก่อน อย่างไรก็ได้รักษาแน่” พราวตะวันบอกน้อง นี่แหล่ะคือเหตุผลที่เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว อนาคตของน้องสาวเธอยังอีกไกล พราวแสงศศิไม่ควรทุกข์ใจเรื่องนี้จนเสียการเรียน “วิชย์ เราจะส่งแม่เราเข้ารักษาที่โรงพยาบาลวิชย์พรุ่งนี้เลยนะ วิชย์ต้องช่วยรักษาแม่เราด้วยนะ” เธอหันไปฝากฝังกับเพื่อน “ได้เลย ว่าแต่โยโกะลำบากเรื่องเงินหรือเปล่า เราออกให้ก่อนก็ได้นะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลยนะ อย่ากังวลทั้งสองคนนั้นแหล่ะ มีเราอยู่ทั้งคน” วชิรวิชย์บอกอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากนะวิชย์ที่ไม่เคยทิ้งพวกเรา” พราวตะวันยิ้มให้เพื่อนแทนคำขอบคุณ และหมอหนุ่มก็ยิ้มรับ ทั้งสองแสดงออกต่อกันโดยไม่ทันมองคนที่เสหันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อปิดบังแววตาเศร้าๆ ของตัวเองเลย ไม่มีใครไล่ หากแต่พราวแสงศศิก็กันตัวเองออกจากการสนทนาด้วยการไม่พูดอะไร ได้แต่ฟังทั้งสองคุยกัน ต่อมาพราวตะวันก็ไม่ได้สังเกตน้องสาว เธอสนใจเพื่อนมากกว่าเพราะว่าตอนนี้เธอต้องการคุยเรื่องที่จะส่งมารดาเข้ารักษา โดยให้อาจารย์ที่สนิทกับวชิรวิชย์เป็นเจ้าของไข้ เธอรู้อยู่แล้วว่าวชิรวิชย์จะต้องให้เงินเธอยืมเพื่อการรักษาแม่ เงินที่เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นก้อนใหญ่มากเกินกำลังของเธอ เธอจึงตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการรับเงินมาจากทางอื่น เพราะแค่การที่วชิรวิชย์มาคลุกคลีกับบ้านเธอนั้นทำให้มารดาของเขาไม่พอใจมากพออยู่แล้ว หากว่าท่านรู้ว่าหมอหนุ่มให้เงินพวกเธอแล้ว ท่านคงดูถูกและไม่อยากสมาคมกับพวกเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ พราวตะวันยอมได้รับการดูถูกจากคนที่เธอรับเงินมามากกว่าที่จะให้มารดาของวชิรวิชย์ดูถูกครอบครัวเธอ โดยเฉพาะน้องสาวของเธอ จะต้องไม่มีใครหยามศักดิ์ศรีหรือหมิ่นเกียรติของพราวแสงศศิ น้องสาวของเธอต้องเป็นหมอที่ดี และสร้างอนาคตอันงดงามให้ตนเองได้โดยมีเธอและมารดาเป็นแรงหนุนหลัง จะต้องไม่มีใครว่าน้องสาวของเธอและครอบครัวเธอว่าเป็นปลิงหิวเงินคอยดูดเลือดผู้ชาย ในสายตาคนอื่นน้องสาวของเธอต้องดีพร้อมเท่านั้น พราวตะวันแหงนมองไปที่กระจกส่องหลัง มองผ่านไปเพื่อจะมองน้องสาวที่นั่งอยู่ด้านหลัง น้องสาวผู้เป็นคนเดียวที่พราวตะวันจะทำทุกอย่างให้ แม้ว่าเธอจะต้องพบเจอกับอะไรบ้างก็ตาม แต่เธอจะไม่ยอมให้น้องสาวโดนดูถูกเด็ดขาด ไม่มีวัน เมื่อทุกคนในรถเงียบลง พราวตะวันก็นั่งมองตรงไปข้างหน้าท้องถนนแห่งเมืองกรุงที่มีรถเต็มแน่นขนัด รถติดจนน่าอึดอัดแต่ความหวังที่จะได้พบมารดาและให้กำลังใจท่านนั้นยังเต็มเปี่ยม จากที่คุยกันกับไมเคิลเจ้านายใหม่เมื่อบ่ายนี้ เธอได้รับอนุญาติให้ลางานในกรณีพิเศษนอกเหนือจากวันลาพักร้อน จนเธอได้กลับมาเมืองไทยในทันทีพร้อมกับเงินหนึ่งล้านบาทในกระเป๋าและเงื่อนไขอันแสนประหลาดที่เธอและเขาตั้งขึ้นแก่กัน เธอมาพาแม่เข้ารักษา และกลับไปแล้ว จะต้องไปหาเขา อยู่กับเขา โดยไม่มีการแต่งงาน ไม่มีความรัก ไม่มีเด็ก และไม่มีใครรับรู้เด็ดขาด แค่คิดถึงหัวใจของพราวตะวันก็หนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เธอนึกถึงตอนที่เธอและเขาอยู่ใกล้กันไม่ออกเลย เธออาจจะหลอมละลายจนเป็นลมตายไปก็ได้ เพราะแค่ยืนจ้องหน้าเขาเธอก็เกือบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว หากเขาเข้ามาใกล้หรือจับต้องเธอ เธอจะเป็นอย่างไรนะ พราวตะวันอยากจะหัวเราะตัวเอง ทั้งที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอเองก็ยังกล้ารับปากเขาอย่างบ้าบิ่น แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอจะเป็นอย่างไรเธอก็ไม่สนใจ ขอแค่วันนี้เธอได้ทำเพื่อแม่และน้องก็พอแล้ว ส่วนตัวของเธอเอง ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทนไปให้ได้ก็คงจบ การตกเป็นของไมเคิลอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ หากวันที่เขาทิ้งเธอเธอก็จะอยู่ด้วยตัวเอง การที่จะต้องไปอยู่ด้วยกันเพื่อตอบแทนเงินของเขา มันก็ไม่ต่างจากการที่เขาและเธอเดินผ่านกันแล้วพบหน้ากัน แล้วไม่นานก็จะเดินผ่านกันไป ก็เท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม