“ปล่อยเดี๋ยวนี้ อย่าเอาพ่อของรัณไป”
รัณชิดาตวาดลั่นกอดศพบิดาไว้แน่นปัดมือของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูออกไม่ยอมให้เคลื่อนย้ายศพของบิดาไปที่โรงพยาบาล ความหวังที่มีอยู่ริบหรี่ตะโกนร้องให้ผู้คนช่วยตามหมอตามรถพยาบาลให้เพื่อต้องการยื้อชีวิตต่อลมหายใจของบิดาให้อยู่กับตัวเธอและคิวากรมีอันสูญสิ้นไปเมื่อความเป็นจริงสะท้อนเข้ามากระทบหัวใจดวงน้อยให้รับรู้ว่า บัดนี้บิดาที่เคารพรักถูกมนุษย์เลือดเย็นปลิดลมหายใจพรากท่านไปจากเธอแล้ว
“พี่รัณ ฮือๆ พ่อทิ้งเราไปแล้วใช่ไหมครับ ทำไมพ่อไม่ยิ้มไม่ลุกขึ้นมาส่งเราไปอเมริกา คุณพ่อตื่นเถอะครับ เครื่องจะออกแล้ว คุณพ่อตื่นมาส่งคินกับพี่รัณก่อน”
คิวากรเขย่าตัวบิดาสลับกับหันไปถามพี่สาว ร่ำไห้คร่ำครวญโดยไม่อายใคร ถ้อยคำที่เอ่ยถามออกมานั้นราวกับคนสิ้นสติทำใจไม่ได้ว่าร่างที่นอนนิ่งเลือดแดงฉานไหลรินนองพื้นเปื้อนตัวพี่สาวและตัวเขาคือบิดาที่เคารพรักเสมอมา
“คุณพ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้วคิน คนชั่วช้าใจมารมันพรากพ่อไปจากเราแล้ว”
วัวสันหลังหวะอย่างผู้พันสิงหนาทถึงกับสะดุ้งเฮือกใบหน้าคมเข้มถอดสีกับถ้อยคำสาปแช่งกลายๆ ที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกและไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า พอรัณชิดาเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตและลุกโชนด้วยดวงไฟแห่งความโกรธแค้น ดวงตาคู่นั้นได้ทอดมองแน่นิ่งตกอยู่ที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว
“คุณครับ ให้เจ้าหน้าที่พาศพพ่อคุณไปที่โรงพยาบาลนะครับ”
เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูคนหนึ่งได้เข้ามาแตะเบาๆ ตรงไหล่เล็กที่สั่นไหวจากแรงสะอื้น พยายามเอ่ยปลอบญาติผู้เสียชีวิตปล่อยให้เจ้าหน้าที่พาคนตายไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำการชันสูตรศพอีกครั้ง
รัณชิดาปัดมือเจ้าหน้าที่หนุ่มออกเงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งทั้งที่ใบหน้างามนองไปด้วยหยาดน้ำตาอุ่น เธอตวาดลั่นเสียงห้วนจัดจนไทยมุงพากันสะดุ้งโหยงมองหญิงสาวด้วยความสงสาร
“ไม่! ไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันกับน้องจะพาพ่อกลับบ้าน” รัณชิดาประคองร่างบิดาให้ลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปบอกน้องชายราวกับคนเสียสติ
“คิน พาพ่อกลับบ้าน ลุงสันช่วยรัณประคองคุณพ่อด้วย”
“ครับพี่รัณ”
คิวากรรับคำทั้งน้ำตา เกิดอาการช็อกไม่ต่างกัน พอเห็นพี่สาวประคองบิดาให้ลุกขึ้นนั่งก็รีบเข้าไปช่วยทำตามคำสั่งของพี่สาวทันที
เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูห้าหกคนมองหน้ากันพลางส่ายหน้าด้วยความเห็นอกเห็นใจหนุ่มสาวที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน พวกเขารู้ว่าสาวน้อยแสนงามกำลังช็อกไม่ยอมรับว่าบิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว และเพื่อเป็นการเคลียร์ให้ท่าอากาศยานอยู่ในความสงบโดยเร็วจึงได้พยักหน้าส่งสัญญาณให้แก่กันจากนั้นไม่กี่นาทีรัณชิดาและคิวากรก็ถูกเจ้าหน้าที่ล็อกตัวไว้แน่น
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ อย่าพาพ่อฉันไป”
“ปล่อยกู มาจับกูได้ทำไม กูจะพาพ่อกลับบ้าน”
ทั้งรัณชิดาทั้งคิวากรต่างก็ดิ้นรนตะโกนลั่นให้หลุดพ้นจากมือของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่พากันมาจับล็อกตัวพวกเธอไว้ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เหลือก็พากันยกร่างไร้วิญญาณของบิดาพวกเธอขึ้นไปบนรถโรงพยาบาล
“ปล่อย! อย่าพาพ่อไป”
รัณชิดาดิ้นรนหนักถีบเท้าเต็มแรง มือเล็กพยายามไขว่คว้าจะเข้าไปหาพ่อให้ได้ และด้วยแรงรักที่มีต่อบิดาอย่างมหาศาลกอปรกับพละกำลังที่รวบรวมกัดฟันฮึดสู้ทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มที่จับตัวหญิงสาวไว้แค่เพียงคนเดียวไม่สามารถต่อสู้กับพลังแห่งความกตัญญูที่รัณชิดามีต่อบุพการีได้ เมื่อสามารถดิ้นรนหลุดพ้นจากมือของเจ้าหน้าที่ได้หญิงสาวถลาเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณของบิดาไว้ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่พาขึ้นบนรถโรงพยาบาล
ภาพของหญิงสาวที่ร่ำไห้น้ำตานองดวงตาบวมช้ำกอดศพบิดาไว้แน่นสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก โดยเฉพาะผู้พันสิงหนาทที่กัดฟันกรอดกำมือแน่นดวงตาแดงก่ำโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะตัวเขาเอง
ตลอดระยะเวลาสิบปีกว่าของการเป็นนักฆ่ามือหนึ่งผู้ที่ลั่นไกแบบที่เรียกว่า ‘หนึ่งนัด หนึ่งชีวิต’ ได้ทำงานโดยไม่เคยรู้สึกสงสารผู้ที่เป็นเป้าหมาย ทำงานเพราะหน้าที่ปราศจากหัวใจเสมอมา แต่ถึงเวลานี้หัวใจเป็นผู้สั่งและเอาชนะสรรพสิ่งทั้งปวงเมื่อเห็นรัณชิดาถูกเจ้าหน้าที่ตวาดลั่นและผลักเต็มแรง
“คุณ...ถอยออกไป เราจะเอาศพพ่อคุณไปที่โรงพยาบาลให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหลืออดหรือเบื่อหน่ายกับการร่ำไห้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของหญิงสาว เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งจึงได้แสดงกิริยาหยาบคายผลักร่างเล็กบอบบางออกเต็มแรงโดยไม่เห็นอกเห็นใจหรือสนใจว่ารัณชิดาจะล้มลงไปกระแทกกับพื้นแข็ง ดีที่มีมือใหญ่เรือนกายกำยำได้ก้าวเข้ามาเป็นเกราะกำบังโอบประคองกอดไม่ให้ร่างบางล้มไปกองอยู่กับพื้น
“กรุณาสุภาพกับคุณผู้หญิงด้วย”
ผู้พันสิงหนาทประคองร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงลอดไรฟันดวงตาคมสงบนิ่งไม่ไหวติงดุจทะเลไร้คลื่นในคืนเดือนมืดได้จ้องเขม็งไปยังเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว
“คุณเป็นญาติของเธอหรือครับ”
เจ้าหน้าที่หนุ่มถามเสียงอ่อนลงด้วยเกรงกลัวต่อสายตาคมกริบที่จ้องเขม็ง กิริยาท่าทางที่สงบนิ่งทว่าแผ่อำนาจความแข็งแกร่งน่าเกรงขามที่เผยให้เห็นรอบตัวของบุรุษหนุ่มเรือนกายใหญ่โตในชุดสูทสากลทำเอาเจ้าหน้าที่หนุ่มรู้สึกกลัวจนผงะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
“ใช่ ผมเป็นญาติเธอ”
ผู้พันหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเย็นพลางหยิบบัตรของตัวเองให้เจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูทุกคนได้เห็น ทั้งที่รู้ว่าการกระทำของตนเองนั้นผิดกฎขององค์กรอย่างมหันต์และเสี่ยงต่อการถูกจับได้แต่เขาก็ยอมเพียงเพื่อให้หญิงสาวในอ้อมแขนได้คลายอาการโศกเศร้าลงบ้าง
“ผมต้องการให้รัณชิดากับน้องรวมทั้งตัวผมได้ขึ้นไปกับรถโรงพยาบาลด้วย”
ยศตำแหน่งที่โชว์บนบัตรข้าราชการซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าของบัตรเป็นถึงนาวาเอกผู้พันแห่งราชนาวีไทยทำเอาเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ยำเกรงยอมก้าวถอยห่างให้ผู้พันหนุ่มผู้องอาจรวมทั้งญาติของคนตายได้ก้าวขึ้นไปบนรถโรงพยาบาล
รัณชิดาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษหนุ่มหล่อเหลาคมเข้มที่ก้าวเข้ามาช่วยเธอไว้อย่างนึกขอบคุณ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำบวมช้ำทอดมองบุรุษหนุ่มที่ตนเองไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามแต่กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยได้อย่างประหลาดทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวพึมพำเบาๆ ในลำคอก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถโดยมีมือใหญ่คอยประคับประคองโอบกอดให้เธอได้ขึ้นไปบนรถได้อย่างสะดวก
“คุณเป็นเพื่อนคุณพ่อหรือครับ”
คิวากรเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาจ้องมองบุรุษแปลกหน้าเขม็งพร้อมกับเอ่ยทักเมื่อรถได้เคลื่อนตัวออกจากท่าอากาศยานมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลตำรวจ
“เอ่อ...ใช่ครับ”
ผู้พันสิงห์อ้ำอึ้งอยู่นานหลายอึดใจกว่าจะหลุดเสียงตอบมาได้ ในส่วนลึกนึกละอายใจตนเองยิ่งนักที่โกหกเด็กหนุ่ม เขาจะเป็นเพื่อนของเสี่ยบริพัตรได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นนักฆ่าที่มาปลิดชีวิตของบุพการีเด็กหนุ่มก่อนที่จะเปลี่ยนใจในเสี้ยววินาทีสุดท้ายเพราะได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของรัณชิดาซึ่งกำลังนั่งแนบชิดกับเรือนกายกำยำและซบศีรษะลงกับบ่ากว้างแข็งแกร่งของเขา
“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน”
คิวากรยกมือไหว้บุรุษหนุ่มหล่อเข้มอย่างสนิทใจ คิดว่าอีกฝ่ายคือคนดีที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอย่างใจจริงมิใช่มาเพียงเพื่อต้องการล้างบาปจากการกระทำของตัวเอง