บทที่ 1
ตึกสูงระฟ้าย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวงที่มีราคาเช่าแพงหูฉี่คือสถานที่ที่บริษัทชั้นนำทั่วเมืองไทยต่างก็จับจองเช่าเป็นออฟฟิศในการประกอบธุรกิจนำเงินสู่แผ่นดินสยาม นอกจากจะมีบริษัทชื่อดังมาเช่าแล้วยังมีองค์กรลับก่อตั้งโดยคนมีสีได้มาเช่าเป็นสถานที่ในการสั่งการคนในองค์กรด้วย การซ่อนเร้นปิดบังอำพรางองค์กรที่ไม่มีใครรู้ว่ามีตัวตนอยู่ในเมืองไทยคือการซ่อนตัวในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนหนุ่มสาวออฟฟิศอย่างเช่นอาคารพาณิชย์แห่งนี้ถือว่าเป็นการซ่อนตัวที่ดีที่สุด
ออฟฟิศหรูชั้นที่ 19 คือสำนักงานทนายความที่ไม่เคยว่าคดีให้กับลูกค้ามาก่อนเพราะนั่นเป็นแค่เพียงฉากบังหน้า แต่เบื้องหลังแล้วออฟฟิศแห่งนี้คือที่สั่งการของนายใหญ่ที่จะสั่งให้ปลิดชีวิตใครสักคนที่เป็นพิษภัยสวะสังคมอยู่ไปก็หนักแผ่นดิน ผู้เป็นนายใหญ่รวมทั้งคนชี้เป้าได้เข้ามารอในออฟฟิศเป็นเวลานานแล้วซึ่งตอนนี้ยังขาดแค่ผู้ที่เป็น ‘นักฆ่าระดับพระกาฬ’ เท่านั้น และทันทีที่นักฆ่าซึ่งได้สมญานามว่า ‘นักฆ่าเลือดเย็น’ เดินทางมาถึงงานปลิดชีวิตสวะสังคมก็จะเริ่มขึ้นทันที
บุรุษหนุ่มหล่อเข้มเรือนกายกำยำล่ำสันเกินมาตรฐานชายไทยในชุดสูทสากลสีดำสนิทส่งให้ผู้สวมใส่ดูหล่อเหลามากยิ่งขึ้น แว่นตาดำราคาแพงที่ใส่เพื่อปกปิดดวงตาเย็นชาเพื่อไม่ให้ผู้คนได้เห็นไม่ใช่อุปสรรคสำคัญบดบังความคมเข้มที่ทำให้สาวๆ ซึ่งกำลังยืนอยู่ในลิฟท์ได้พากันแอบกรี๊ดส่งสายตาให้อย่างเชิญชวนพร้อมกับพยายามขยับกายเข้าไปยืนใกล้ๆ เมื่อต้องมนต์กับความหล่อเข้มดุจเจ้าพ่อมาเฟีย
บุรุษหนุ่มผู้ต้องตาต้องใจสาวๆ ทั้งหลายได้ยืนนิ่งหน้าตั้งตรงไม่มีอาการหวั่นไหวหรือแย้มยิ้มให้กับสาวๆ ที่ต่างก็กรี๊ดกร๊าดหรือบางคนใจกล้าหน่อยก็ทำเป็นขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับเรือนกายกำยำแบบตั้งใจทำราวกับว่าพื้นที่ในลิฟท์ไม่มีที่ให้หยัดยืนอีกแล้ว และเมื่อลิฟท์วิ่งมาถึงชั้นที่ถูกเรียกไว้พร้อมกับเปิดออกกว้างปลดปล่อยให้บุรุษหล่อเข้มได้ก้าวออกจากห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ด้วยท่วงท่าผึ่งผายเล่นเอาสาวๆ ทั้งหลายเป่าลมออกจากปากด้วยความเสียดาย อยากให้ลิฟท์ค้างอยู่ที่ชั้นใดชั้นหนึ่งเพื่อที่บุรุษหนุ่มหล่อเข้มจะได้ไม่ต้องเดินหนีจากไปไหน
บุรุษหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นอ่านป้ายสำนักงานทนายความก่อนจะยิ้มหยันตรงมุมปาก ดวงตาคมภายใต้กรอบแว่นตาดำยังคงเย็นชาไร้ความรู้สึกขณะยกมือขึ้นผลักบานประตูออกกว้าง
พล.ร.ต.ธีรกรซึ่งนั่งนิ่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ได้ผายมือเชิญให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ได้ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับร.ท.กรินทร์คนชี้เป้ามือหนึ่งที่ไม่เคยคาดคะเนระยะทางผิดพลาด
“เชิญนั่งสิผู้พันสิงห์”
ผู้พันสิงห์ หรือ น.อ.สิงหนาท วรสรณ์ สไนเปอร์มือหนึ่งแห่งองค์ลับก้มศีรษะให้กับท่านนายพลผู้เป็นนายจากนั้นก็หันไปรับการตะเบ๊ะทำความเคารพจาก ร.ท.กรินทร์ คนชี้เป้าคู่ใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งมีเอกสารซองสีน้ำตาลวางอยู่ตรงหน้า
“งานใหม่หรือครับท่าน”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามราบเรียบไม่สะทกสะท้านกับงานที่ทำอยู่ นั่นเป็นเพราะยอมรับชะตาชีวิตที่ตนเองได้เลือกที่จะเป็นนักฆ่ามือหนึ่งแห่งองค์กรลับที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับหน่วยงานใดในเมืองไทย มือใหญ่หยิบภาพถ่ายของเหยื่อรายล่าสุดออกมาจากซองสีน้ำตาล ดวงตาคมกริบกวาดมองภาพถ่ายนับสิบๆ ใบของเป้าหมายรายใหม่โดยไม่รู้สึกอะไรก่อนจะวางลงบนซองเอกสารเหมือนเดิม
“ใช่ นักการเมืองชื่อดัง บริพัตร จิรภาส มีเบื้องหลังเป็นนักค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ในแถบเอเชีย”
พล.ร.ต.ธีรกรพยักพเยิดให้ลูกน้องได้อ่านข้อมูลที่ค้นหามาอย่างละเอียดยิบถึงความชั่วร้ายของคนที่อยู่ในภาพโดยไม่มีขาดตกบกพร่อง
เขาเป็นคนก่อตั้งองค์กรลับ ‘พยัคฆ์ทมิฬ’ ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดสวะสังคมที่ไม่มีหน่วยงานไหนสามารถเขี่ยคนชั่วเหล่านี้ออกไปจากเมืองไทยได้ เมื่อเจตนารมณ์วัตถุประสงค์ขององค์กรค่อนข้างชัดเจนเป็นเป้าหมายเดียวกันกับผู้ที่เคยเป็น ‘สไนเปอร์’ นักฆ่าที่เรียกว่า ‘หนึ่งนัด หนึ่งชีวิต’ นาวาเอกสิงหนาท วรสรณ์ อดีตสไนเปอร์มือหนึ่งจึงกระโจนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพยัคฆ์ทมิฬทันที
“เริ่มงานเมื่อไรครับท่าน”
ผู้หมวดกรินทร์เอ่ยถามตรงใจกับผู้พันสิงห์ที่ยังคงนิ่งเงียบขณะหยิบภาพถ่ายมาเปิดดูอีกครั้งตามที่นายได้หาข้อมูลมาให้
“อีก 2 วัน มันจะโผล่หัวออกมาจากเกราะคุ้มกันไปส่งลูกสาวลูกชายขึ้นเครื่องไปเรียนต่อที่เมืองนอก”
ผู้พันหนุ่มชะงักมือที่กำลังเปิดไล่เรียงดูเป้าหมายเมื่อเปิดดูมาถึงภาพสุดท้ายเป็นภาพครอบครัวอันประกอบไปด้วยเป้าหมายหลักคือบริพัตร จิรภาส ลูกชายและลูกสาวที่ดูท่ากำลังเข้าสู่วัยรุ่นดูน่ารักสดใสทั้งคู่ ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไปบนดวงหน้างามหวานริมฝีปากอิ่มเอิบซึ่งแย้มยิ้มกว้างอย่างคนที่กำลังมีความสุข เขาลอบถอนหายใจยาวก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามผู้ที่เป็นนาย
“หนึ่งนัดหรือสามนัด”
“สามนัด” พล.ร.ต.ธีรกรเอ่ยตอบเสียงราบเรียบไม่รู้สึกรู้สากับการออกคำสั่งให้ปลิดชีวิตผู้คน
ผู้พันสิงห์หันไปมองผู้หมวดกรินทร์ลูกน้องคู่ใจก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจกับคำสั่งที่ได้รับ ด้วยเป็นที่รู้กันดีในวงการ ถ้าหากมีคำสั่งให้ยิงถึงสามนัดนั่นย่อมหมายถึงชีวิตคนสามคนที่จะร่วงลงเพราะน้ำมือของเขา
“ทำไมต้องเก็บลูกสาวลูกชายด้วย”
กฎของการเป็นสไนเปอร์ไม่มีคำว่าเมตตานอกจากการทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงซึ่งเป็นกฎข้อแรกที่สไนเปอร์อย่างน.อ.สิงหนาทถือปฏิบัติเสมอมาตลอดระยะเวลาสิบปีในการทำหน้าที่
แต่เขาก็มีกฎรองนอกเหนือจากกฎแรกคือการไม่ฆ่าผู้หญิง ไม่ว่าอิสตรีผู้นั้นจะเป็นคนชั่วหนักแผ่นดินมากเพียงใดเขาก็จะไม่ลั่นไกใส่เธอเด็ดขาด
“ข่าวกรองแจ้งว่าลูกๆ ทั้งสองของมันรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำและกำลังเดินตามรอยเท้าพ่อ เพราะฉะนั้นต้องกำจัดทีเดียวให้สิ้นซาก”
ท่านนายพลสั่งเสียงเข้มไร้ความปรานีพลางลุกขึ้นไปหยิบไปป์มาจุดสูบพ่นควันพิษไปทั่วห้อง
“ผมของดงานนี้”
ผู้พันสิงห์เอ่ยปัดเก็บภาพถ่ายนับสิบๆ ใบกลับเข้าซองสีน้ำตาลเหมือนเดิมยกเว้นภาพถ่ายของหญิงสาวน่ารักอ่อนหวานที่เขาได้ดันสอดเก็บไว้ตรงข้อมือใต้เสื้อสูทและเมื่อรู้ว่าผู้หมวดกรินทร์เห็นการกระทำของตนเองจึงหันไปถลึงตาห้ามไม่ให้พูดผ่านสายตาคมดุ
พล.ร.ต.ธีรกรหันขวับตีสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไรกับคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของสไนเปอร์มือหนึ่ง ในองค์ลับพยัคฆ์ทมิฬมีน.อ.สิงหนาทผู้เดียวที่ไม่เคยทำงานพลาดและมักได้รับความไว้วางใจให้ทำงานใหญ่ๆ เสมอ
“ทำไมถึงไม่รับงานนี้ ผมจำได้ว่าผู้พันไม่เคยปฏิเสธหน้าที่ของตัวเอง”
“ผมจะไม่ปฏิเสธ ถ้าหากเป้าหมายไม่มีผู้หญิงรวมอยู่ด้วย”
“เหตุผล?”
“สไนเปอร์ทุกคนย่อมมีกฎเหล็กของตัวเอง ผมก็เช่นเดียวกันจะให้เก็บใครก็ได้ยกเว้นเด็กและผู้หญิง”
ผู้พันสิงห์ผลักซองเอกสารออกห่างพร้อมกับลุกขึ้นยืนหันหลังกลับก้าวเดินออกจากห้องเป็นการตัดบทให้ผู้ที่เป็นนายรู้ว่าตนเองไม่รับงานนี้ แต่เท้าใหญ่แข็งแกร่งในรองเท้าหนังแท้มันปลาบก้าวเดินไม่ถึงสองก้าวก็มีอันต้องชะงักงันเมื่อได้ยินคำพูดของท่านนายพลที่เอ่ยออกมาอย่างเลือดเย็น
“ถ้าหากผู้พันไม่รับงานนี้เห็นทีผมต้องให้ผู้กองดนิษฐ์เป็นผู้ทำหน้าที่แทน”