สายตาของบุรุษผู้นั้นจ้องมองมาที่โต๊ะของเหอเพ่ยเจินคล้ายกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนเมื่อได้ยินเสียงบุรุษที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันดังขึ้น จึงได้ดึงสายตาของเขากลับมา
"ดูเหมือนว่าฮูหยินเอกของเจ้า จะเนื้อหอมอยู่ไม่น้อย ถึงขนาดที่องค์ชายห้า ยังไม่สามารถตัดใจจากนางได้ มาดว่าความรักของนางที่มีให้กับเจ้าคงจะถูกสั่นคลอนเสียแล้วกระมัง"
"เจ้าก็พูดไปพวกเขาอาจจะมาพบกันโดยบังเอิญก็ได้ ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าบุตรสาวของท่านอัครเสนาบดีเหอห้าวอี้หลงรักท่านแม่ทัพเซี่ยของเราอย่างหัวปักหัวปำ ถึงขนาดยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อได้ตกแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของเขา แล้วนางจะปันใจไปให้กับบุรุษอื่นโดยง่ายได้เช่นไร"
"จริงอย่างที่เจ้าว่า ขนาดแม่ทัพเซี่ยของเรา กลั่นแกล้งนางสารพัด นางยังยอมรับได้ และอีกอย่างก็ใช่ว่าองค์ชายห้าจะพึ่งเข้าหานางเสียเมื่อไหร่ หากนางจะมีใจให้บุรุษผู้นั้นก็คงจะมีไปนานแล้ว"
คำกล่าวมากมายของสหายสนิทของเซี่ยซู่เหยียนถูกเอ่ยออกมาอย่างสนุกปาก ใบหน้าของคนฟังจึงยิ่งเขียวคล้ำขึ้นเรื่อยๆ
"มีถึงเนื้อถึงตัวเช็ดแขนให้กันด้วย ดูแล้วพวกเขาคงจะสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อย"
เซี่ยซู่เหยียนหันไปตามคำกล่าวของสหายสนิทอีกครั้งก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่นางกล้าให้บุรุษอื่นแตะเนื้อต้องตัวในที่โล่งแจ้งเช่นนั้นได้อย่างไร สตรีแพศยา ทำสิ่งใดก็ไม่คิดถึงหน้าเขาบ้างเลย
"ไหนว่าเจ้ามิได้พึงใจในตัวนางมิใช่หรือ เหตุใดใบหน้าถึงได้เขียวคล้ำเช่นนั้นเล่า เจ้าควรจะรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ ที่ในครั้งนี้อาจจะสามารถสลัดนางไปจากชีวิตเจ้าได้เสียที" เมื่อสหายของเขาหันไปเห็นใบหน้าที่ไม่พอใจของเซี่ยซู่เหยียนก็อดที่จะกล่าวเย้าสหายของตนเองด้วยความสนุกปากเสียไม่ได้
"ถึงข้าจะเกลียดชังนางมากเพียงใด แต่การที่นางทำตัวสนิทสนมกับบุรุษอื่นโดยไม่ไว้หน้าข้าเช่นนี้ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก มันยิ่งทำให้ข้ารู้สึกไม่ชอบนางมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าทวี"
"เจ้าจะไปใส่ใจอันใดพวกเขาหาได้ทำสิ่งใดเสียหาย ก็แค่มาทานอาหารร่วมกัน หากพวกเขามีเจตนาที่ไม่ดี คงจะเข้าไปยังห้องส่วนตัว เพื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็นแล้วกระมัง อีกอย่างนางก็ช่างงดงามยิ่งนัก เจ้าไม่ลองพิจารณานางใหม่อีกทีหรือ"
"ใช่ๆ ในงานเลี้ยงวังหลวง ข้านึกว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกมาล่อลวงผู้คนให้เกิดความหลงใหลเสียอีก นางงดงามยิ่งกว่านางเซียนบนสวรรค์ให้ความรู้สึกยากที่จะละสายตาไปจากนางได้จริงๆ "
"เจ้าเคยพบเจอเทพเซียนหรืออย่างไร ถึงได้กล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้"
บนโต๊ะอาหารยังคงมีเสียงเย้าแหย่กันไปมาถึงเรื่องหลังบ้านของเซี่ยซู่เหยียน จนในที่สุดพวกเขาก็ได้เงียบเสียงลงเมื่อได้ยินคำกล่าวต่อมาของเขา "ต่อให้นางงดงามกว่านี้อีกร้อยอีกพันเท่า ก็ไม่สามารถดึงความสนใจจากข้าได้หรอก สำหรับข้าความรู้สึกที่มีให้กับนางคือความเกลียดชังเพียงเท่านั้น"
เจิ้งเทียนฉีอาสาไปส่งนางด้วยตนเอง แต่ก็ถูกเหอเพ่ยเจินปฏิเสธเรื่องความเหมาะสมเสียก่อน เมื่อนางได้จากมาแล้วสายตาของเขาก็ดูเข้มมากขึ้น คล้ายกับกำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่ แต่ก็สุดแท้ว่าผู้ใดจะอ่านความคิดบนใบหน้าของเขาออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เหอเพ่ยเจินเดินทางกลับมาถึงเรือนปลายยามเว่ย นางยังจำประโยคที่เจิ้งเทียนฉีเอ่ยถามตนตอนที่รับสำรับร่วมกันได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
"ความสัมพันธ์ของเจ้ากับแม่ทัพผู้นั้นดีอยู่หรือไม่"
เมื่อคิดถึงคำถามประโยคนี้ นางจึงได้หันไปถามหลิวอี้และหลิวอิง เพื่อต้องการหาความจริง
"พวกเจ้าลองเล่าถึงความสัมพันธ์ของข้าและองค์ชายห้ามาให้ละเอียดว่ามันคืออันใดกัน"
สาวใช้ทั้งสองจึงได้เล่ามันออกมาอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เจ้านายควรจะทราบ เมื่อฟังจนจบแล้ว เหอเพ่ยเจินจึงได้กล่าวออกมาอย่างวิเคราะห์ "แสดงว่าองค์ชายห้าผู้นั้นเพียงต้องการเข้าหาข้า เพื่อหวังในอำนาจของท่านพ่อใช่หรือไม่"
"ฮูหยินเคยบอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ"
"แสดงว่าการแสดงออกของเขาเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้นหรือ" เหอเพ่ยเจินกล่าวกับตนเองก่อนที่จะกล่าวประโยคต่อมา "บุรุษในยุคใดก็น่ากลัวไม่ต่างกัน พวกเขาทำทุกอย่างได้ เพื่อหวังผลประโยชน์ของตนเองเพียงเท่านั้น"
เมื่อหลิวอี้และหลิวอิงเห็นเหอเพ่ยเจินพึมพำออกมาอย่างผิดหวังเช่นนั้น ก็อดที่จะกล่าวแย้งออกไปอย่างไม่เห็นด้วย "อย่าลืมว่ายังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งที่มิเห็นแก่ผลประโยชน์ อย่างท่านแม่ทัพอยู่อีกคนนะเจ้าคะ"
"จริงของเจ้า เขาจงเกลียดจงชังข้าเช่นไร ก็ยังจงเกลียดจงชังข้าอยู่เช่นนั้นมิเปลี่ยนแปลง แม้แต่อำนาจของท่านพ่อ ก็ยังล่อลวงบุรุษผู้นั้นให้มาหลงใหลในตัวข้าไม่ได้" นั่นแหละคือข้อดีของเขา ที่นางนับถือเป็นอย่างมาก แต่ติดตรงที่สตรีที่เขาเกลียดชังนั้นคือนางเนี่ยสิ
เหอเพ่ยเจินได้แต่รู้สึกหัวเราะกับชะตากรรมของตนเอง สตรีผู้อื่นย้อนยุคมา เพื่อที่จะกลายเป็นที่รักถึงแม้นว่าในตอนแรก พวกเขาจะมีความจงเกลียดจงชังไม่ลงรอยกัน แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี แต่หันกลับมาดูที่นางเล่า นางยังไม่เห็นถึงเหตุผลใดที่เขาและนางจะเปลี่ยนมารักกันได้เลย
ในคืนนั้นหญิงสาวได้ฝันถึงสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม เมื่อพิจารณาให้ดี ก็พบว่าเป็นหญิงสาวเจ้าของร่างที่นางได้มาอาศัยอยู่ สตรีผู้นั้นทอดมองมาที่นางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความน่าสงสาร
"ชาตินี้วาสนาของข้าช่างอาภัพนัก เพียงแค่ต้องการอยู่กับบุรุษที่ตนเองรัก ก็ต้องมาตายตกไปก่อนที่จะทำสำเร็จ"
อยู่ดีๆ วิญญาณของเจ้าของร่างก็กล่าวออกมากับนาง ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
"เอ่อ...ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาอยู่ในร่างของท่าน หากเป็นไปได้ก็อยากจะคืนร่างนี้ให้กับท่านกลับไปเช่นกัน หากท่านรู้วิธีว่าต้องทำเช่นไร ข้าก็พร้อมที่จะทำตามนั้น"
ฮือ! ฮือ! ฮือ!
อยู่ดีๆ สตรีผู้นั้นก็ร่ำไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น จนหญิงสาวไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร
"มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว วาสนาของข้าในภพชาตินี้ได้จบลงแล้ว ต่อจากนี้คงต้องอาศัยเจ้า เพื่อให้ทำในสิ่งที่ข้าต้องการ จะได้จากไปอย่างสงบ"
"แล้วแม่นางต้องการสิ่งใดหรือ หากสามารถทำได้ข้าก็จะทำจนสุดความสามารถเพื่อเป็นการตอบแทนที่ได้มาอาศัยร่างนี้ของแม่นาง"
"เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าต่อแต่นี้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น จะต้องทำให้ท่านแม่ทัพมาหลงรักในตัวเจ้าให้ได้ นั่นคือความหวังเดียวที่ข้าต้องการให้สมปรารถนา เพื่อที่จะได้จากไปอย่างสงบ"
"ห๊า…!!! ทำให้บุรุษผู้นั้นมาหลงรักให้ได้อย่างนั้นหรือ" เมลดาเผลอตะโกนออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่จะทำสีหน้าสลด และหันไปกล่าวกับวิญญาณเจ้าของร่าง อย่างรู้สึกผิด "แม่นางข้าคงทำให้บุรุษผู้นั้นมารักข้าไม่ได้หรอก ท่านก็รู้เขาน่ากลัวจะตาย แค่เพียงอยู่ใกล้ด้วยไม่นาน ข้ายังรู้สึกหวาดกลัวแล้ว ยิ่งจะต้องทำให้เขามาหลงรักข้าๆ ไม่รู้เลยว่าต้องทำเช่นไรบ้าง ข้ามองไม่เห็นหนทางจริงๆ "
"แค่ให้เขารู้สึกดีเพียงเล็กน้อย ไม่จงเกลียดจงชัง ร่างกายนี้ของข้าก็ไม่ได้หรือ"
เหอเพ่ยเจินเจ้าของร่างเอ่ย ออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงราวกับนั่นคือความหวังสุดท้ายของนางแล้ว
เมลดาเห็นอย่างนั้นก็ไม่สามารถใจแข็งตอบปฏิเสธออกไปได้ แค่ทำให้ไม่เกลียดไม่ถึงขนาดให้รัก ด้วยความสามารถนี้คงจะพอทำได้กระมัง หญิงสาวได้แต่กล่าวให้กำลังใจตนเอง
"ได้ ข้ารับปากท่าน ว่าจะทำให้เขาไม่จงเกลียดจงชังร่างนี้ของท่าน แต่ก็ไม่ขอรับปากว่าจะทำให้เขาสามารถมาหลงรักร่างกายนี้ได้อย่างที่ท่านต้องการได้หรือไม่"
"ขอบใจแม่นางมากเพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว สัญญานะว่าจะทำให้ได้"
พร้อมกับที่ร่างนั้นได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นหมอกควัน จนเหอเพ่ยเจินสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็พบกับความมืด จึงได้รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน
"เฮ้อ...ฝันไปสินะ แต่ทุกอย่างดูเหมือนจริงมากเลย"
แต่เมื่อพยายามข่มตาให้หลับลง ก็ไม่สามารถทำได้ หญิงสาวยังคงเห็นแต่ภาพใบหน้าของวิญญาณเจ้าของร่างที่เต็มไปด้วย ความดีใจ ก่อนที่จะสลายหายไปเป็นหมอกควัน
เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าด้วยใบหน้าที่ดูซูบซีดเนื่องจากไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ และคิดทบทวนเหตุการณ์เหล่านั้นให้ดี จึงได้คิดว่า นี่อาจจะเป็นวิญญาณของเจ้าของร่าง เพื่อมาบอกถึงความต้องการสุดท้ายของนางก่อนที่จะจากไปก็เป็นได้
"เหตุใดแค่เพียงความหวังสุดท้ายก็ต้องเกี่ยวข้องกับบุรุษผู้นั้นด้วยเล่า เจ้าตายไปเพราะความอยุติธรรมที่บุรุษผู้นั้นหยิบยื่นให้ แต่แทนที่จะโกรธเคือง กลับยังหลงรักเขาหัวปักหัวปำ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารเสียเหลือเกิน"
"ฮูหยินท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ"
"ไม่มีอะไร" เหอเพ่ยเจินรีบกล่าวปฏิเสธออกมา เมื่อเห็นว่าตนเองได้เผลอกล่าวสิ่งใดออกไป
หลิวอี้และหลิวอิงมองหน้ากัน ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเมื่อสักครู่นี้นางกล่าวบางประโยคออกมาเสียยืดยาวแต่พวกนางไม่ทันได้ตั้งใจฟังจึงไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่อยากเอ่ยถึง พวกนางจึงได้แต่เงียบปากลง
ในเช้าวันนั้นในขณะที่นางกำลังดูแลทำกิจกรรมยามเช้าของตนเองอยู่ ก็ได้มีบ่าวรับใช้จากเรือนใหญ่มาแจ้งข่าวบางอย่างให้กับนางได้ทราบ
"ท่านแม่ทัพได้สั่งให้ท่านไปพบที่เรือนตอนนี้ขอรับ"
"แล้วท่านแม่ทัพได้บอกกับเจ้าหรือไม่ ว่าเรื่องอันใดเหตุใดถึงต้องให้ข้าไปพบแต่เช้าตรู่ถึงเพียงนี้" เหอเพ่ยเจินอดสงสัยไม่ได้ที่บุรุษผู้นั้นต้องการพบหน้านาง ร้อยวันพันปีเขาจงเกลียดจงชังนางมากไม่ใช่หรือ หรือว่าคราวนี้จะหาเรื่องอันใดกับนางอีก หญิงสาวไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้เลย เพราะหากจะให้คิดว่า เขาเรียกนางไปพบ เพราะต้องการพบหน้า ก็คงเป็นไปไม่ได้
"ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ฮูหยินก็ไปถามความกับท่านแม่ทัพเอาเถิด"
เหอเพ่ยเจินจึงได้พยักหน้ารับ เพื่อให้บ่าวผู้นั้นจากไป นางจึงได้หันมาแต่งตัวเพื่อที่จะไปพบเขาตามคำสั่ง
"ช่างเถิดคิดไปก็ปวดหัว หากเขาต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใด แค่ไปพบเขาก็คงรู้เอง"