อดมองหารถของรุจิภาสไม่ได้ หลังจากตื่นนอนนี่ก็นานแล้ว แต่กลับไม่พบว่าเขามาจอดรถรออย่างที่บอกไว้เมื่อวาน
ก็ใช่ว่าจะรอเขาหรอกนะ แบบนี้น่ะหรือไม่ได้รอ
ดรัลรัตน์คิดได้อย่างนั้นแล้ว ก็ออกอาการหัวเสียเล็กน้อย
“มีอะไรหรือรัล” เสียงลาวัลย์ถามด้วยอาการแปลกใจ
“อะไรหรือน้าวัลย์”
“ก็ทำไมป่านนี้ไม่ไปส่งตาสิปอีกล่ะ รออะไร” นางลาวัลย์ถามขยายความต่อ เมื่อเห็นว่าเธอยังคงโอ้เอ้ ตาก็เอาแต่มองออกไปยังนอกบ้าน
ดรัลรัตน์หันมองนาฬิกา แล้วก็เด้งตัวออกจากเก้าอี้ในทันที จัดการเจ้าสิปแล้ว ก็ลากกันขึ้นรถ พาไปส่งที่โรงเรียนหลังจากนั้น แล้วเลือกจะเข้าไปที่ไร่เสียเลย คิดว่ารุจิภาสจะต้องมาดักรอที่บ้านเป็นแน่ แล้วก็จริงดังคาดเมื่อคณิสราโทรมาบอกว่าเขามารอเธออยู่ที่บ้าน เธอจะเข้าไปตอนไหน จึงบอกทางคณิสราไปว่า ถ้าเขาอยากไปรอรับเจ้าสิป ก็ให้ไปรอเจ้าสิปที่โรงเรียนได้เลย ไม่ต้องมารอที่นี่ แล้ววางสายทันที ด้วยอารมณ์ที่รู้สึกได้ในตอนนั้นว่ามันไม่ใคร่ปกติเท่าไรนัก
เวลาเดินไปไวกว่าทุกวัน ดรัลรัตน์เห็นว่าใกล้เวลาที่ต้องไปรับเจ้าสิปแล้ว จึงขึ้นรถ ขับไปจนถึงโรงเรียน ก็พบว่ารุจิภาสรออยู่ที่นั่นแล้วจริง ๆ เธอเลือกที่จะพาเจ้าสิปออกมาที่รถก่อน รุจิภาสตามหลังมาด้วย ดีที่เลือกจอดรถไกล ๆ จึงไม่มีใครอยู่แถบนั้น แล้วย่อตัวลงคุยกับเด็กชายสิปปภาส
“สิปครับ” เรียกเจ้าอ้วนกลมแล้ว บอกต่อไปว่า “นี่ไง คุณพ่อของสิป ไหว้คุณพ่อหรือยังครับ”
หลังเธอกล่าวจบ แววตาของเด็กชายสิปปภาสตื่นเต้นระคนดีใจไปพร้อมกัน มองยังชายที่ได้รับการแนะนำว่าเป็นพ่อนิ่ง ๆ ยิ้มแป้นให้เขาเลยทีเดียว ถามย้ำ ปนอายเล็กน้อย “พ่อของสิปหรือครับ”
ดรัลรัตน์ยิ้มฝืน ๆ พยักหน้าตอบว่า ‘ใช่’ สิปปภาสก็ไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว คงดีใจมากที่ตัวเองได้มีพ่อกับเขาเสียที
“สวัสดีครับหรือยัง” เธอทวงมารยาทจากเด็กชาย
สิปปภาสยกมือไหว้สวยกว่าทุกที รุจิภาสที่มองดูอยู่รับไหว้ทางเด็กชายแล้ว ค่อยถามเธอ “มีห้างหรือร้านอาหารแถวนี้ไหมรัล จะได้พาลูกไปหาอะไรกินให้อิ่ม ค่อยกลับบ้าน”
“มีอยู่แถวตัวอำเภอ ไปเจอกันที่นู่นเลยก็ได้ จากตรงนี้ไปไม่ยาก ออกถนนใหญ่ ยูเทิร์นรถก็ถึง” บอกทางเขาแล้วหันมาชวนเจ้าสิป “ขึ้นรถเร็วลูก”
เด็กชายที่เพิ่งได้พบหน้าพ่อเป็นครั้งแรกอิดออดเล็กน้อย
“สิป...” เจ้าตัวเอ่ยออกมาคำเดียวก็นิ่งไป มองเธอทีมองไปทางรุจิภาสทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สิปขอไปกับพ่อได้ไหมครับ”
หัวใจของเธอมันเสียดขึ้นเล็กน้อย ตอนได้ยินเจ้าสิปเอ่ยปากขอ เพิ่งเจอหน้ากันแท้ ๆ เจ้าสิปของเธอก็ใจง่ายอยากไปกับทางนั้นทันทีเลย
เด็กหนอเด็ก
และเธอก็ไม่เห็นข้อดีของการห้ามปรามไม่ให้สองคนพ่อลูกที่เพิ่งได้รู้จักกัน ไปด้วยกัน ได้แต่ยินยอมตามน้ำไป
“ได้ครับ” เธอบอกทั้งคนพ่อและลูกในประโยคเดียวกันไปเลย “งั้นเจอกันที่นั่นเลยนะ”
เดินไปส่งเจ้าสิปขึ้นรถของรุจิภาส ก่อนกลับมาขึ้นป้าเขียวของตนเอง ขับนำออกไปก่อน โดยมีรุจิภาสตามหลังมาติด ๆ
ขณะที่รุจิภาสมองตามท้ายรถของดรัลรัตน์อยู่นั่นเอง เสียงจากเด็กชายก็ถามเขาดังขึ้นว่า “พ่อชื่ออะไรครับ”
ส่งสายตามองที่เลือดเนื้อเชื้อไขตนเองแวบหนึ่ง แล้วตอบไปว่า “พ่อชื่อโปรดครับ ชื่อจริงรุจิภาส ลูกล่ะ”
“สิปชื่อสิป แม่เรียกเจ้าสิป ชื่อจริงชื่อเด็กชายสิปปภาสครับ”
ได้ยินเสียงรายงานชื่อตัวของบุตรชาย รุจิภาสยิ้มรับทันที “ชื่อคล้องกันเลย ใครตั้งชื่อให้เนี่ย”
“แม่รัลครับ”
รุจิภาสยิ้มด้วยความพอใจ สลับกันคุยบ้าง ถามกันบ้าง ไม่นานก็ถึงจุดหมาย สองพ่อลูกหาที่จอดได้แล้ว ค่อยลงรถ ตามไปสมทบกับดรัลรัตน์ที่ยืนคอยตรงทางเข้าของห้างสรรพสินค้า
รุจิภาสรู้แล้วว่าจะเข้าหาคนรักได้ทางไหน เขาถึงได้คำตอบในตอนนั้น ด้วยการยึดเอาเด็กชายสิปปภาสเป็นหลัก ถามด้วยน้ำเสียงเอาใจ “สิปอยากกินอะไรลูก”
สิปปภาสไม่ใคร่ได้เข้ามาเดินเที่ยวในสถานที่เช่นนี้เท่าไรนัก เพราะเธอไม่ได้มีเวลาว่างมากพอ แล้วของในนี้ก็ราคาแพงเกินจริง อาหารที่วางขายในห้างร้านแบบนี้ เธอมีความเห็นว่าอร่อยสู้ร้านในตลาดไม่ได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีราคาสูงกว่ามาก จึงไม่นิยมพาเจ้าสิปเข้ามาเดินเล่น
เมื่อได้รับการตามใจ เด็กชายสิปปภาสก็ยกมือขึ้นชี้ว่าตนอยากกินอะไรทันที “สิปอยากกินอันนั้นครับ...”
ดรัลรัตน์เห็นแล้วว่าเป็นร้านอาหารขยะ (Junk Food) จากสัญชาติอื่น อดถอนใจไม่ได้ แต่คร้านจะค้าน คงครั้งเดียวนี่แหละที่คนเป็นพ่อจะพามากิน ได้แต่พยักหน้าตามใจ เอาเถอะ กินสักครั้งคงไม่เป็นอะไร
ได้คำตอบจากเด็กชายแล้ว ค่อยพากันเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่ว่าร้านนั้น กินเสร็จออกมาที่ด้านนอก รุจิภาสก็อ้าปากจะชวนให้ไปดูของเล่นกัน พลันสายตาไปสบเข้ากับสามคนที่นั่งละเลียดเครื่องดื่มตรงโต๊ะที่จัดอยู่ภายในร้านกาแฟมีชื่อในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นเข้าเสียก่อน
“พี่โปรดครับ”
ทางนั้นส่งเสียงเรียกมาก่อน รุจิภาสยกมือทักทาย พร้อมกับก้มลงบอกเธอ “ไปรู้จักกับน้อง ๆ ของผมก่อนรัล สิปไปสวัสดีครับน้องของพ่อก่อนนะลูก”
ดรัลรัตน์ไม่ได้อยากรู้จักเครือญาติของเขาเท่าไรนัก แต่ก็ไม่อยากทำตัวเสียมารยาท จึงตามหลังไปด้วย พอไปถึงก็ค่อยได้เห็นว่าเธอรู้จักหน้าค่าตาของชายสองในสามคนที่นั่งโต๊ะนั้น
“คนนี้...” รุจิภาสชะงัก ยิ้มกระดาก ถามกับณฐกรไปว่า “น้องของพ่อ เขาเรียกว่ายังไงนะใหญ่”
“อา” เสียงตอบกลับคำเดียวจากชายที่นั่งลึกไปด้านใน เรียกสายตาของดรัลรัตน์ให้มองไปที่เขา
“คนนี้อาใหญ่ น้องชายของพ่อเองครับ” รุจิภาสแนะนำชายคนนั้นเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ให้สิปปภาสรวมไปถึงเธอได้รู้จักทักทายกันจากนั้น
ดรัลรัตน์มองนิ่ง ไม่ทักทายอะไรมากมาย ส่วนเจ้าสิปพนมมือ ยกขึ้นไหว้ทันทีอย่างเด็กมีมารยาท เห็นแล้วนึกชัง ทีกับคุณครูที่โรงเรียนย้ำแล้วย้ำอีกกว่าจะไหว้ได้
“ส่วนคนนี้อาเชน แล้วคนที่หล่อน้อยสุดนั่น อาโน้ตครับ”
ดรัลรัตน์จำชายที่รุจิภาสแนะนำว่าชื่อเชนและโน้ตได้ สองคนนี้เป็นทนายความ เจ้าของสำนักงานทนายความที่เธอเข้าไปปรึกษาเมื่อวันก่อน
วันนั้นที่ไปได้เจอราเชน แต่ไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะราเชนติดคุยกับลูกความคนสำคัญคนหนึ่งอยู่ เธอจึงได้คุยกับทนายความอีกคนแทน ทนายความคนที่คุยด้วยคนนั้นพูดจาดี น่าฟัง จะว่าไปไม่ได้คุยกับราเชนวันนั้นก็ดีแล้ว เพราะเท่าที่ดูจากแววตา เขาไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าไรนัก ดูกลิ้งกลอก ไม่จริงใจ
“นี่ไงดรัลรัตน์” เสียงแนะนำของรุจิภาสทอแววอ่อนโยนลงมามากชนิดที่คนฟังจับความรู้สึกได้ ณฐกรมองชายผู้มีศักดิ์เป็นพี่นิ่ง ๆ ก่อนเลื่อนสายตาไปยังเด็กชายตรงหน้า
รุจิภาสเห็นแล้ว ค่อยบอกยิ้ม ๆ “ธุระที่พี่บอกไงใหญ่”
แววตาคู่คมของณฐกรมองสิปปภาสอึดใจเดียว แล้วเลยมามองที่เธอนิ่งอย่างต้องการสำรวจ ราเชนเองก็มองเช่นกัน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มที่เธอลงความเห็นว่าเป็นรอยยิ้มของพวกสุนัขจิ้งจอกดี ๆ นี่เอง
“สวัสดีครับคุณดรัลรัตน์ เหมือนเราจะเคยพบกันแล้วหรือเปล่า”
ดรัลรัตน์ทำเพียงยิ้มทักทายกลับไปตามมารยาทเท่านั้น เสียงของสิปปภาสก็ดังขัดว่า “สิปอยากไปดูของเล่นตรงนั้นครับ”
รุจิภาสมองสบตากับเธอ แสร้งทำท่าอ่อนอกอ่อนใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ถามเสียงกระตือรือร้นเอาใจเจ้าสิปไปว่า “ตรงไหนลูก”
“ตรงนั้นครับ สิปเห็นมีไดโนเสาร์ตรงนู้นครับ สิปอยากไปดู”
“ไปครับ เอากี่ตัวเลือกเลย หรือจะเอาหมดทั้งร้านเลยก็ได้ลูก” รุจิภาสบอกอย่างเอาใจ
เด็กชายสิปปภาสไม่เคยได้ของแบบที่ชี้แล้วได้เลยมาก่อน พอได้ยินก็ตาโต ลากรุจิภาสออกเดินนำหน้าเธอไปทันที ดรัลรัตน์มองตามด้วยสายตาหนักใจเล็กน้อย ไม่ได้ออกความเห็นขัดว่าอะไร สองพ่อลูกตกลงจะพากันไปไหน เธอก็แค่ตามหลังไปด้วยเท่านั้น
ขณะกำลังก้าวขาออกจากร้านกาแฟไป ก็แว่วเสียงพูดคุยของผู้ชายสามคนบนโต๊ะเข้าเสียก่อน “เด็กหน้าตาไม่เห็นเหมือนพี่โปรดเลยนะครับคุณใหญ่ ไม่รู้จับตรวจดีเอ็นเอหรือยัง”
อีกเสียงที่น่าจะเป็นคนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณใหญ่’ ตอบกลับมาว่า “มันเป็นเรื่องที่ต้องทำแต่แรก โปรดคงจะไม่พลาดกับอะไรแบบนี้”
“ได้ยินว่าจ่ายค่าเลี้ยงดูมาตลอดนะครับ ถ้าพี่โปรดพลาด เพราะหลงไปเชื่อใจ หรืออาจจะไว้ใจทางผู้หญิงมากไป จนไม่ตรวจดีเอ็นเอเลยเนี่ย กลัวจะเสียเงินฟรี ๆ น่ะสิครับ ผู้หญิงสมัยนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่ ใช่ไหมล่ะ” พูดคุยจบ เสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยเข้ามากระทบหูเธอ
ดรัลรัตน์หันกลับไปมองคนพวกนั้นด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะหมุนตัว เดินเข้าไปถาม “พวกคุณพูดจากันได้หยาบคายมากนะ รู้ตัวไหม”
“ผมแค่คุยกันเรื่องเด็ก ว่าหน้าตาเหมือนใคร เหมือนพี่โปรด หรืออาจจะเหมือนคนอื่น หยาบคายตรงไหนครับ” ทนายราเชนยิ้มกว้างใส่เธอ ก่อนว่า “หรือบางที ที่ทำท่าว่าโมโหนี่ อาจเพราะมีคนสงสัยในเรื่องที่คุณพยายามไม่ให้ใครสงสัยมาตลอดห้าปีนี้หรือเปล่าครับ”
เนื้อความจับผิดนั่นน่าโมโหมาก ดรัลรัตน์อ้าปากจะสวนคืน แต่เสียงรุจิภาสถามดังมาจากทางด้านหลังของเธอ “มีอะไรหรือ” เขาพาเจ้าสิปเดินกลับมายืนที่ด้านข้างของเธอ มองทางเธอที มองทางชายสามคนนั้นที
ดรัลรัตน์มองชายสามคนนิ่ง ๆ ระงับอารมณ์โมโหที่ตีตื้นขึ้นมาก็ละสายตาจากพวกเขาไปเสีย ยิ่งเห็นว่าเจ้าสิปอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตัดใจไม่โต้ตอบพวกเขากลับ ไม่อยากให้เด็กมาได้ยินเรื่องราวแบบนี้
เดินไปจับมือเจ้าสิป ถามเสียงอ่อนโยนว่า
“สิปกลับกันดีไหมลูก”
เด็กชายสิปปภาสมองเธอแล้วก็มองไปที่รุจิภาส “คุณพ่อบอกว่าจะพาไปซื้อของเล่นก่อนครับ ซื้อเสร็จแล้ว เราค่อยกลับได้ไหมครับ”
ดรัลรัตน์ฝืนยิ้ม พยักหน้าน้อย ๆ จับมืออีกข้างของเจ้าสิปแล้วชวนให้เดินออกไปจากตรงนี้ด้วยกัน “ไปเถอะลูก”
ณฐกรมองตามทั้งสามคนที่พากันเดินจากไปด้วยอาการครุ่นคิด สุดท้ายก็ละสายตามาที่ทนายความที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของเขา เอ่ยไหว้วานขึ้นว่า “ช่วยตามเรื่องเด็กคนนี้ให้ทีนะเชน”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” ราเชนตอบรับอย่างเต็มใจ
แล้วหัวข้อสนทนาก็ค่อยเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับสามคนพ่อ แม่ ลูกนั่น
พักใหญ่ ๆ กำลังจะกลับกันอยู่แล้ว เสียงโทรศัพท์ของณฐกรก็แผดดังขึ้น เป็นสิริรัศมิ์เช่นเคย แค่กดเชื่อมต่อสัญญาณ เสียงหงุดหงิดจากทางนั้นก็ดังมาตามสายว่า “พี่ใหญ่”
“อะไรอีก”
“พี่โปรดหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ เจ้าขาไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ นี่คุณน้ากชบอกว่าพี่โปรดไปหาของขวัญไว้เซอร์ไพรส์เจ้าขา แต่เจ้าขาไม่เชื่อหรอก ไม่รู้แอบไปเที่ยวกับนังคนนั้นอีกหรือเปล่า” สิริรัศมิ์บ่นยืดยาว หลังกลับจากบ้านของว่าที่แม่สามี ทีแรกก็เชื่อตามคำของนางกชกรบอกอยู่หรอก แต่พอกลับบ้านก็มาลองนึก ๆ ดูอีกที ว่ารุจิภาสไม่เคยทำดีกับตนเลย กำหนดการจะหมั้นหมายอะไรก็แว่วมาว่าบ่ายเบี่ยงตลอด แบบนี้หรือเขาจะมีของเซอร์ไพรส์ให้ สิริรัศมิ์ไม่ละความพยายามในการติดต่อหารุจิภาส แต่ก็ติดต่อไม่ได้เสียที สุดท้ายก็ไม่พ้นณฐกรอีกครั้ง
เรื่องแบบนี้ตนจะพึ่งพาใครได้ นอกจากณฐกร
เสียงเข้มบ่นกลับอย่างเอือม ๆ “อาการเรานี่ หนักมากนะเจ้าขา”
“พี่ใหญ่ต้องเข้าใจนะคะ ว่าผู้ชายแบบพี่โปรดเป็นที่ต้องการของตลาด และเจ้าขาก็มีสิทธิ์ที่จะตามจิก ตามจี้ด้วย เพราะพี่โปรดน่ะว่าที่สามีของเจ้าขานะคะ ไม่ตาม ไม่แสดงตัวว่าเจ้าขาคือเจ้าของ เดี๋ยวอีพวกหน้าไม่อายก็มาคาบเอาไปกินน่ะสิ เจ้าขายอมไม่ได้หรอก”
“พูดจาให้มันน่ารักหน่อย” ณฐกรกล่าวเตือน เขาไม่ชอบใจที่ญาติผู้น้องใช้คำพูดแบบนี้เลยสักนิด “แล้วทีหลังนะ ถ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะตามจิก ตามตื๊อใครก็ได้ กลัวหายก็ล่ามไว้ อย่าให้เที่ยวเดินกับสาวที่ไหนตามห้างอีก”
“ห้างไหนคะ พี่โปรดอยู่กับพี่ใหญ่หรือคะ” สิริรัศมิ์ถามลนลานมาตามสาย
ณฐกรได้แต่เลิกคิ้วน้อย ๆ บอกปัดไปเรื่องอื่น “มีอะไรจะฟ้องอีกไหม พี่จะวางสายแล้ว”
“ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ที่ไหนคะ”
“บ้าน”
หญิงสาวที่ปลายสายส่งเสียงขัดใจ ถามจี้ไม่หยุด “หลังไหนล่ะคะ บ้านพี่ใหญ่มีเป็นร้อยหลังได้มั้ง ไม่รวมบ้านเล็กบ้านน้อยที่ซื้อให้สาว ๆ ในสังกัดนั่นอีก”
เบื่อต่อปากต่อคำด้วยอีกแล้ว ณฐกรลดโทรศัพท์พึมพำว่า “แค่นี้นะ”
“อย่าวางสายนะคะพี่ใหญ่” สิริรัศมิ์โวยมาตามสาย ก่อนปรับเสียงให้อ่อนลง “พี่ใหญ่เป็นพี่ชายเจ้าขานะคะ จะไปเข้าข้างพี่โปรดที่เป็นคนละสายเลือดกับพวกเราทำไม เถอะค่ะพี่ใหญ่ บอกเจ้าขาหน่อย ว่าตอนนี้อยู่ไหน”
ณฐกรไม่พูดอะไร ตั้งท่าจะวางสายท่าเดียว
“ไม่บอกใช่ไหม ได้ค่ะ เจ้าขาตามหาเองก็ได้ คอยดูนะ ถ้าเจ้าขาเจอพี่โปรด...” หญิงสาวเจ้าของอารมณ์ร้อนเป็นนิจพูดไม่ทันจบดี ก็ถูกตัดสายทิ้งด้วยความรำคาญไปเสียก่อน
สิริรัศมิ์ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของเขา แต่ก็เหมือนน้อง ตั้งแต่เด็กจนโต มีอะไรก็วิ่งแจ้นมาหาเขาเสมอ หากว่ามารดาของเจ้าหล่อนไม่ใช่พี่สาวของมารดาเขา ณฐกรไม่มีทางให้เข้ามาวุ่นวาย เข้ามาตอแยเขาได้แบบนี้แน่