ทีชะเง้อคอมองจากอาณาบริเวณของหน้าลานรับซื้อมัน จนคนเป็นนายเดินมาหยุดข้าง ๆ ก็รีบรายงานไปว่า “คุณโปรดแกไปทำอะไรที่บ้านคุณรัลก็ไม่รู้ครับ”
สายตาคู่คมมองกวาดไปทั่วบริเวณของตนเอง หมุนตัวกลับเข้าบ้าน ขณะเอ่ยขึ้น “นึกว่ายังนอนอยู่ในห้อง”
“โอย ออกไปแต่เช้าแล้วครับคุณใหญ่”
ทีรายงานแล้วก็ทำท่าดีดมือ ตาเป็นประกาย นึกขึ้นได้ “ที่คุณโปรดว่าเมื่อคืนนี้ ผมว่าจะต้องเป็นคนเดียวกันกับอาเจ้ข้างบ้านแน่ ๆ เลยนะครับเนี่ย งานนี้กระดูกแล้วครับ”
ได้ยินแบบนั้น ก็ช่วยตอกย้ำข้อสันนิษฐานเมื่อคืนได้ในทันที ณฐกรไม่นิยมออกความเห็นอะไร เขาเดินกลับเข้าไปด้านในบ้าน ทำธุระของตัวเองหลังจากนั้น
ดรัลรัตน์จอดรถตรงที่ว่างที่เดิมที่เคยจอดประจำ วันนี้มาก่อนเวลาเลิกเรียน เพราะเมื่อวานปล่อยให้เจ้าสิปต้องคอยเก้อ ช่วงสายของวัน เธอไม่ได้เข้าสวนอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก หันรถมุ่งหน้าเข้าไปที่ตัวจังหวัด เพื่อปรึกษากับทนายความเรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูเด็กชายสิปปภาส
ตอนเจ้าสิปคลอด เธอไม่ได้ไตร่ตรองเรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูเด็ก หรือพวกรายละเอียดอะไรหลาย ๆ อย่างให้รอบคอบตั้งแต่ทีแรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมาหนักใจอยู่แบบนี้ ได้คำแนะนำดี ๆ มากมาย แล้วถึงได้บอกทางนั้นไปว่าหากตกลงกับทางรุจิภาสไม่ได้จริง ๆ คงต้องรบกวนพวกเขา
ทางทนายที่เธอเข้าไปขอคำปรึกษาบอกทิ้งท้ายก่อนกลับว่าให้บอกเด็กไปตามตรงเรื่องของพ่อเด็ก อย่าปิดบัง อย่าปิดกั้นเด็ก เพราะไม่เป็นผลดีกับใครเลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะตัวเด็กเอง
ดรัลรัตน์ถอนหายใจเบา ๆ กับคำแนะนำของทนายความท่านนั้น อยากแย้งว่าเป็นเพราะตัวบิดาของเด็กชายเอง ที่ไม่ได้ต้องการเด็กชายสิปปภาสแต่แรก ก็ไม่น่าจะให้เด็กต้องรู้จักเสียเลย แต่เมื่อนึกบวกลบผลดีที่เด็กจะได้รับแล้ว ก็คงต้องทำตามนั้น คือการให้สองคนพ่อลูกได้รู้จักกันเอาไว้เสียแต่เนิ่น ๆ บางทีอะไร ๆ อาจจะง่ายกว่าที่คิดไว้แต่แรกก็เป็นได้
หนึ่งในทนายความตามมาสมทบกับอีกคนที่คุยให้ข้อมูลกับดรัลรัตน์ มองตามท้ายรถของหญิงสาวที่จากไปแล้ว พูดขึ้นว่า “เคสนี้น่าสนใจนะครับ”
“นั่นสิ”
“รับไหม ไม่รับ ให้ผมนะ”
“ถ้ากลับมาก็ต้องรับสิวะ ไม่รับได้ไง แล้วสำนวนฟ้องของคดีนั้น เรียบร้อยหรือยัง”
“ยังเลยครับ”
ชายร่างสันทัดหมุนนิ้วสั่งให้อีกฝ่ายกลับไปทำงานของตัวเอง ก่อนจะตามกันเข้าไปด้านใน
ดรัลรัตน์ลงจากรถแล้ว ถึงได้เห็นว่าเด็ก ๆ กำลังเล่นกันที่สนามอย่างสนุกสนาน คล้ายกับเลิกเรียนกันแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเข้ามาขนาบข้างเธอ ไม่ต้องมองก็รู้ได้จากหางตาว่าเป็นรุจิภาส เท่าที่จำได้รุจิภาสใช่คนเซ่อซ่าที่ไหนกัน ออกเจ้าเล่ห์หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ เขาคงจับทางเธอได้ ว่าไม่กลับไปที่บ้านอีกเป็นแน่ เลยมาดักรอที่โรงเรียนของเจ้าสิป
ดรัลรัตน์ถอนหายใจเบา ๆ พูดโดยไม่หันไปมองเขา “ถ้าอยากพบเจ้าสิป ก็ได้นะ ฉันไม่ขัดข้อง” พูดจบ เธอส่งยิ้มให้คุณแม่ท่านหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีขณะเดินสวนกัน แล้วกลับไปเจรจากับรุจิภาสต่อ “แต่เอาไว้เป็นวันอื่นได้ไหม ให้ฉันบอกเจ้าสิปก่อน เกิดปุบปับบอกกันวันนี้เลย กลัวแกจะตั้งรับไม่ทัน”
เธอบอกรุจิภาสด้วยท่าทีสงบลงกว่าเมื่อเช้านี้มาก หลังได้รับคำติติงจากมารดา น้าและทนายความที่ไปขอคำปรึกษามา ก็ทำให้ตกผลึกความคิดของตัวเองในที่สุด
สิปปภาสถามหาพ่อหลายครั้งแล้ว
เธอจะทำร้ายจิตใจของเจ้าสิปด้วยการปิดบังก็ไม่ถูก เธออ่อนข้อลงแล้ว หวังว่าเขาเองคงจะเข้าใจและเห็นพ้องไปกับเธอเช่นกัน
ดรัลรัตน์หยุดเดิน หันไปสบตา แล้วพูดกับเขาดี ๆ “คุณกลับไปก่อนนะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอเจ้าสิป ฉันจะบอกแกตอนนั้น”
สายตาของรุจิภาสเป็นประกายเมื่อเห็นเธอพูดจาดีด้วย ตอบรับว่า “ได้สิรัล ทำไมจะไม่ได้”
ได้ยินคำตอบรับจากเขาแล้ว ก็ส่งสายตาบอกให้เขากลับไป
รุจิภาสว่าง่ายจนเห็นแล้วค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย หันกลับมาอีกที ร่างกลมใหญ่ของเจ้าสิปวิ่งตรงมาหา จึงอ้าแขนกอดตอบเสียแน่น แล้วค่อยคลายออก “กลับบ้านกันเลยไหมลูก”
เด็กชายสิปปภาสพยักหน้าหงึก ๆ รับว่ากลับเลย จึงจับจูงกันเดินไปที่รถ ขึ้นรถแล้ว ก็เรียกเจ้าสิปเบา ๆ “สิปครับ”
“ครับ”
“ที่สิปเคยถามเรื่องพ่อ” เกริ่นเพียงแค่นั้น ตาของสิปปภาสก็วาววับขึ้น ใครบอกว่าเด็กไม่รู้ภาษากัน เจ้าสิปของเธอออกจะแสนรู้ทีเดียวเชียว ถามกลับแทบทันที
“สิปจะมีพ่อแล้วหรือครับ”
หัวเราะน้อย ๆ กับคำถามไร้เดียงสานั่น
“สิปก็ต้องมีพ่ออยู่แล้วสิลูก” บอกพร้อมกับถอนใจยาว ๆ “เอาไว้พรุ่งนี้ แม่จะพาพ่อมาหาสิป สิปจะได้รู้จักกับพ่อไง ดีใจไหมครับ”
เจ้าสิปเงียบไปเดี๋ยวเดียว ก็ต่อรองขึ้น ต่อรองอย่างที่ไม่เคยได้ยินการต่อรองแบบนี้มาก่อน “สิปอยากเจอพ่อวันนี้”
จบคำต่อรองของเด็กชาย ดรัลรัตน์วูบโหวงในอกทันที เธอกลัวว่าสิปปภาสจะไปไยดีกับทางบิดาของเขา จนลืมเธอไปเสียสิ้น แค่บอกว่าพรุ่งนี้จะได้เจอพ่อแล้ว เจ้าสิปก็อดรนทนรอแทบไม่ไหวเชียวหรือ นี่ไม่ใช่ว่าเจอกันแล้ว ก็จะตามไปอยู่กับรุจิภาสหรอกนะ หากว่าเขาชวนไปด้วยน่ะ
แล้วใจก็ไขว้เขว ไม่อยากให้สองพ่อลูกได้เจอกันเสียอย่างนั้น
“แค่พรุ่งนี้ก็รอไม่ได้หรือลูก”
ถามเสียงแผ่วปลายด้วยอาการใจหายเล็กน้อย
สิปปภาสมองเธอนิ่ง ความรัก ความผูกพันที่ถักทอเป็นเส้นเล็กเส้นน้อยเหนียวและแน่นทำให้เด็กชายรู้สึกว่าเธอกำลังไม่สบายใจ แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็ตามที แล้วตอบให้เธอชื่นใจว่า
“สิปรอได้ครับ”
ดรัลรัตน์ร้อนผ่าวไปทั้งกระบอกตา ยื่นมือออกไปขยี้ผมดำขลับด้วยความรักล้นหัวใจ ก่อนจะขับรถออกจากโรงเรียนอนุบาล ตรงกลับบ้านในเวลาต่อมา
รุจิภาสขับรถหรูของเขาตามหลังมาด้วย จอดห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ดรัลรัตน์เห็นแล้วก็นึกขัดใจเล็กน้อย ว่าเขาจะตามมาทำไม ก็ในเมื่อบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยเจอกับเจ้าสิป ก็น่าจะมาพรุ่งนี้ทีเดียวไปเลย
ส่งเจ้าสิปเข้าบ้านเรียบร้อย ค่อยเดินออกไปหาเขาที่ยืนคอยข้างรถ รุจิภาสยิ้ม รอจนเธอเดินเข้ามาใกล้แล้วถึงเอ่ยปากบอก “เรื่องถอนฟ้อง ผมจะลองเอากลับไปทบทวนอีกทีนะรัล”
เธอนิ่งไป แล้วตำหนิเขา “คุณไม่ควรส่งฟ้องตั้งแต่แรก”
รุจิภาสพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าจริงจังมากขึ้น “ผมจะเอาไปคุยกับทนายอีกที รัลไม่ต้องห่วงหรือกังวลไปนะ”
ได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ เลยมีท่าทีอ่อนลง รุจิภาสเห็นแล้วก็ลองเอ่ยชวนต่อจากนั้นอีก “พรุ่งนี้หลังจากที่รัลแนะนำผมกับลูกแล้ว เราไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้งดีไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่ใช้เอ่ยชวน แววตาที่เขาใช้มองเธอ ทำเอาดรัลรัตน์หายใจไม่ทั่วท้อง เธอก็คนคนหนึ่ง ถูกง้อ ถูกตื๊อ ทั้ง ๆ ที่ในใจลึก ๆ ยังคงรู้สึกรัก ยังคงโหยหาเขาอยู่ มีหรือจะไม่อ่อนลง เลือกตอบปัดไปว่า “เอาไว้พรุ่งนี้คุณถามเจ้าสิปอีกทีก็แล้วกัน”
“ขอบคุณนะรัล” รุจิภาสถือโอกาสจับมือเธอไปกุมไว้แน่น
ดรัลรัตน์ยื้อเบา ๆ ให้เขาปล่อย เขาทำเป็นต้านไม่ยอมตามประสาคนมากเล่ห์ แต่พอเธอตวัดตาดุใส่ นั่นเองเขาถึงได้ยอม
พอเห็นว่าเธอมีท่าทีอ่อนลง รุจิภาสก็รุกต่อทันที “รัลจะเมตตา ให้ผมกินข้าวด้วยสักมื้อ...จะได้ไหม”
“ก็ได้ค่ะ” เธอบอกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแทบไม่ต้องคิดเลยสักนิดเดียว ก่อนเสริมในตอนท้ายว่า “แล้ววันพรุ่งนี้เราก็ยกเลิกทั้งหมดที่คุยกันไว้...ดีไหม”
ได้ยินน้ำเสียงแบบที่เป็นดรัลรัตน์คนไม่แยแสใคร รุจิภาสก็หัวเราะน้อย ๆ ออกมา ร้องบอกอย่างอารมณ์ดี “ได้ ๆ เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า ตอนเช้าผมไปส่งลูกด้วยนะ แล้วเย็นเราค่อยออกไปกินข้าวด้วยกัน ผมอยากพาเจ้าสิปไปดูพวกของเล่นด้วย”
ดรัลรัตน์ไม่ได้รับปากอะไรเขาอีก เมื่อเจรจาธุระจบแล้ว เธอหันหลังกลับเข้าบ้านทันที เป็นรุจิภาสเสียอีกที่ยืนมองจนเธอหายลับจากสายตาไป และเขายังคงยืนมองอยู่แบบนั้นเป็นนาน ค่อยกลับขึ้นรถไปบ้าง
“หายไปไหนมาทั้งวันหรือครับคุณโปรด”
“ธุระ” รุจิภาสตอบคนถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดจากเมื่อวานราวคนละคน
“หน้าตาสดชื่นนี่ครับ สงสัยมีอะไรดี ๆ ใช่บ้านข้าง ๆ หลังนู้นไหมครับที่ทำให้อารมณ์คุณโปรดดีถึงขนาดนี้” ทีถามด้วยอาการอยากรู้อยากเห็นแบบปิดบังไม่มิดเลยสักนิดเดียว
แต่รุจิภาสก็ทำเพียงยิ้ม ไม่ตอบอะไร ถามกลับแทน “วันนี้ไม่ตั้งวงดื่มกันหรือ”
“แหม ถามแบบนี้ได้ยังไงครับ”
ทีตอบแล้วก็วิ่งเข้าครัวไป เตรียมจัดหาเหล้าและกับแกล้มออกมาสู่วงเหล้าในเวลาต่อมา
คืนนี้รุจิภาสไม่ดื่มหนักแบบเมื่อวานอีกแล้ว ณฐกรมองสำรวจอีกฝ่าย ค่อยละสายตาไปยังแสงไฟลิบ ๆ ที่อยู่ห่างออกไปยังด้านโน้นแทน คงมีเรื่องน่ายินดี หายไปแต่เช้า กลับเข้ามาตอนเย็นแบบนี้ก็แสดงว่าไปเจรจากันมาลงตัวแล้วเป็นแน่
ณฐกรละความสนใจ ส่งสัญญาณให้คนเติมเหล้าให้เขา จมกับความเงียบ กับความคิดของตัวเองหลังจากนั้น พร้อมกับที่แววตาเอาเรื่องของผู้หญิงคนนั้นลอยวนเข้ามาในหัวของเขา
“พี่โปรดหายไปไหนคะคุณน้า เจ้าขาติดต่อไม่ได้เลยสองวันแล้วเนี่ย” สิริรัศมิ์ตามไปถึงบ้านของรุจิภาส แล้วกอดอกถามกับนางกชกร ผู้เป็นมารดาของคู่หมาย
เจ้าของบ้านยิ้มก่อนจะเข้ามาบอกอย่างเอาใจว่า “พี่เขามีเซอร์ไพรส์ให้น้องน่ะสิคะ น้าอยากบอกจังเลย แต่ก็ใช่เรื่อง ไม่เอาดีกว่า ไม่บอก”
สิริรัศมิ์ลดอาการโกรธเกรี้ยวลง ถามด้วยเสียงอยากรู้
“เซอร์ไพรส์อะไรคะ”
“ไปเตรียมหาของขวัญสำหรับคู่หมั้นยังไงล่ะคะลูก นี่พี่โปรดเขาไปเที่ยวเสาะหาที่สร้างบ้านพักตากอากาศไว้รอฮันนีมูนเชียวนะคะ นั่นไง น้าหลุดปากบอกหนูจนได้”
สิริรัศมิ์ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยยิ้มออก ถามไปว่า
“จริงหรือคะคุณน้า”
“น้าใช่คนโกหกพกลมที่ไหนกัน” กชกรบอกเสียงอ่อนหวานเอาใจ “อยู่กินมื้อเย็นกับน้าก่อนนะคะ”
“ก็ได้ค่ะ” สิริรัศมิ์ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย อยู่กินข้าวกับกชกรจนค่ำแล้วถึงได้กลับบ้านของตนหลังจากนั้น เชื่อเรื่องของรุจิภาสอย่างสนิทใจ