ดรัลรัตน์ลดโทรศัพท์ในมือลง ไม่มีการตอบกลับใด ๆ เมื่อเธอทวงค่าเลี้ยงดูของเด็กชายสิปปภาสไปอีกครั้ง
ทวงหลายรอบแล้ว แต่ทางนั้นกลับทำเงียบ
บางทีก็นึกกระดากกับการทวง แต่แล้วจะให้ทำเฉย ๆ ไม่ติดตาม ไม่ทวงถามเลย แบบนั้นจะได้อย่างไรกัน
สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ มองลอดกระจกหน้ารถออกไป เห็นร่างอ้วนกลมที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นดั่งมวลแห่งความสุขของชีวิตของเธอ เดินตามทางปูน ออกมายังลานเข้าแถวแล้ว ค่อยเปิดประตูรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ลงไปรับ
เด็กชายสิปปภาสอายุเพียงสี่ขวบ แต่เพราะกินจุ กินเยอะ ร่างกายจึงใหญ่โตกว่าเพื่อนร่วมชั้น จะว่าไป สิปปภาสสูงใหญ่เกือบเท่ากับเด็กอนุบาลสามแล้วด้วย ทั้งที่อยู่แค่อนุบาลหนึ่งเท่านั้นเอง
บางทีอาจได้โครงสร้างร่างกายที่สูงใหญ่มาจากบิดาของเขาก็เป็นได้
นึกถึงทีไร ก็ให้ปวดแปลบในหัวใจทุกที กัดผนังปากด้านในเบา ๆ สั่งตัวเองให้เลิกนึกถึงคนมักมาก คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นเสียที จะต้องไปนึกถึงเขาทำไมนัก จบกันแล้ว ก็ให้จบกันไปสิ
แล้วถึงได้ยิ้มกว้างให้กลุ่มเด็กตัวเล็กตัวน้อย ทั้งหญิงและชายที่พากันวิ่งกรูออกจากแถว บางคนไปหาผู้ปกครอง บางคนวิ่งไปเล่นที่สนาม ที่ซึ่งมีเครื่องเล่นเยอะก็จริง แต่ค่อนข้างจะผุพังไปมาก
ร่างกลมในชุดนักเรียนตัวโคร่งที่เธอซื้อเผื่อให้ใส่ยาว ๆ จนจบอนุบาลวิ่งตรงมาทางนี้แล้ว พอถึง ก็โผเข้ากอดขาเธอแน่น ดีที่เกร็งตัวเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียหลักเซเป็นแน่
กอดตอบกันอึดใจหนึ่ง เด็กชายสิปปภาสก็ค่อยผละออก เพื่อจะบอกกับเธอว่า “แม่ครับ สิปหิว กลับบ้านกัน”
“สิปจะกลับ สิปได้สวัสดีครับคุณครูจูนหรือยัง”
“สวัสดีแล้วครับ”
“งั้นไปห้องธุรการกับแม่ก่อน”
พอได้ยินว่า ‘ห้องธุรการ’ เด็กชายก็ร้อง พร้อมขืนตัวไว้ทันที “สิปไม่ไป สิปไม่ได้ต่อยใคร”
ดรัลรัตน์หรี่ตามองตอบ ร้อนตัวแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วหรือ สิปปภาสนี่ไม่ใช่แค่ตัวใหญ่อย่างเดียว ใจก็ใหญ่อีกด้วย ครั้งก่อนไปมีเรื่องกับเด็กโตกว่า เพียงเพราะเพื่อนตัวเองถูกรังแก แล้วครั้งนี้ทำท่าร้อนตัวนี่ น่าจะไปมีเรื่องมาอีก เดี๋ยวค่อยตะล่อมถามตอนขึ้นรถ ว่าไปก่อเรื่องกับใครมา กระตุกมือแล้วบอก
“แม่จะไปจ่ายค่าเรียนให้สิป ไปเร็วลูก”
ได้ยินแบบนั้น เด็กชายสิปปภาสถึงได้ยอมผ่อนแรงยื้อ เดินตามกันไปยังห้องธุรการหลังจากนั้น
สายตาคมติดเฉยเมยคู่หนึ่งมองนิ่งยังหญิงสาวที่คว้ามือเด็กชายร่างสูงใหญ่กว่าใครเพื่อน เดินตรงไปยังป้ายบอกทางว่า ‘ห้องธุรการ’ หูฟังวิกฤตการเงินไปพลาง ค่อยละสายตาจากทางนั้นมา บอกคู่สนทนาด้วยเสียงเรียบเรื่อยเนือย ๆ เล็กน้อย “ไม่ไหว ฝืนเปิดทำไมครับ”
“พี่สงสารเด็ก ๆ นี่คะคุณใหญ่”
“ไม่มีโรงเรียนคุณลออ โรงเรียนของรัฐก็มีเยอะแยะไปครับ”
“พี่รู้ค่ะ” ก็เพราะโรงเรียนของทางรัฐผุดขึ้นราวดอกเห็ดแบบนี้อย่างไรเล่า ถึงทำให้โรงเรียนอนุบาลของตนที่ก่อตั้งมานานร่วมครึ่งศตวรรษทำท่าจะไปไม่รอด แต่เจ้าของโรงเรียนอนุบาลกล้าพูดออกไปอย่างที่ใจอยากพูดอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกำลังสร้างความอดสูใจให้ชายวัยเพียงสามสิบปีฟัง ถึงความจำเป็นที่อีกฝ่ายควรต้องเข้ามาโอบอุ้มตนให้พ้นจากวิกฤตนี้
“พี่ปิดไม่ลงหรอกค่ะ ไหนจะเด็ก ไหนจะครูเก่าที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ก่อตั้งอีก บางคนจะเกษียณปีนี้ปีหน้าแล้วด้วย พี่ปิดไป แกจะไปสมัครงานที่ไหนล่ะคะคุณใหญ่”
“เอ็นดูเขา ระวังเอ็นคุณลออจะขาดก่อน” เสียงขรึมบอกกลับด้วยโทนอารมณ์เดิม แม้เนื้อหาของคำพูดจะเด็ดขาด แต่ก็ฟังดูไม่ได้โหดร้ายมากมายเท่าไรนัก
“ปิดเถอะครับ เจ็บตอนนี้ยังไม่มากเท่ากับทิ้งเวลาไว้ให้มันนาน จนดอกเบี้ยธนาคารบานตะไทใช้ยันหลานก็ใช้ไม่หมด ถึงตอนนั้นคุณลออจะเจ็บเจียนตายเลยนะ เชื่อใหญ่เถอะ ยอมรับความจริงว่าที่นี่ทำกำไรให้เราไม่ได้อีกแล้วครับ”
สาวใหญ่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ นามว่าลออ เจ้าของโรงเรียนอนุบาลเอกชนได้แต่บอกเสียงอ่อนกลับไป “พี่ถึงได้เซ้งให้คุณใหญ่นี่ไง พี่รู้ว่าคุณใหญ่ใจบุญ ชื่อเสียงของคุณใหญ่ต้องกอบกู้โรงเรียนของคุณทวดได้แน่ ๆ เลยล่ะค่ะ”
“เอาชื่อคุณทวดมาอ้างทุกทีเลย เวลาจะหลอกใช้ผม”
เสียงท้วงเนิบเอื่อยของคนพูดกล่าวเย้ากลับมา สาวใหญ่ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ทั้งคู่ยังคงสนทนากันอีกเป็นนาน ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนั้นแล้ว จบการเจรจากันว่าอย่างไร โรงเรียนได้เปลี่ยนชื่อผู้บริหารหรือไม่
“น้องชายครูลออ”
“ใช่ที่ชื่อคุณใหญ่ไหมคะครูสาว”
“ใช่ค่ะ ได้ข่าวว่ายังเด็กอยู่เลย แล้วก็รวยมากด้วย ที่สำคัญกว่ารวยคือหล่อมาก ขนาดว่ายืนมองไกล ๆ ขนาดนี้ ความหล่อยังกระแทกเข้ามาในตาเลยนะคะ”
แต่ทว่าคู่สนทนาไม่ได้สนใจความหล่อของอีกฝ่าย ถามกลับอย่างมีความหวัง “ถึงว่า พอมาถึงครูลออแกแทบจะอุ้มเข้าห้องไปเลย คงจะกล่อมให้ซื้อโรงเรียนของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”
ครูอีกคนในกลุ่มสนทนารีบส่งเสียงให้หยุดคุยกันก่อน แล้วทักทายยังคนที่ผลักประตูกระจกเข้ามาใหม่ “อ้าวแม่น้องสิป ติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“มาจ่ายค่าเทอมของน้องสิปค่ะ”
“จ่ายหมดเลยไหมคะ”
ปกติแล้ว เธอจะเป็นคนค่อนไปทางเขี้ยว เหนียวหนี้อยู่ไม่น้อย แต่หากเป็นเรื่องของสิปปภาส เธอสามารถควักเงินออกมาจ่ายให้ได้ทั้งหมด จึงพยักหน้าตอบไปว่า ‘ใช่’ แล้วดึงมือเด็กชายให้ยืนนิ่ง ไม่ยุกยิก ล้วงเอาธนบัตรออกมาชำระค่าเล่าเรียนด้วยความเสียดายอยู่ไม่น้อย
เงินทองกว่าจะหามาได้ ไม่ใช่ง่ายดายนัก แต่ดรัลรัตน์ก็สู้หามาจนได้ ลำพังตัวเธอเอง กินใช้จ่ายไม่เยอะแยะอะไร แต่สิปปภาสยังมีสารพัดค่าใช้จ่าย เด็กชายยังต้องมีชีวิตอีกยาวไกล เธอถึงได้จิกให้ทางบิดาของเขาส่งเงินมาดูแลบุตรชายตัวเอง อย่าได้ละเว้นหน้าที่ของพ่อโดยเด็ดขาด
และที่ขอ ก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย ทุกบาททุกสตางค์เธอบวกออกมาเป็นตัวเลขให้เขารู้หมดทุกอย่าง แต่คนไร้ความรับผิดชอบก็ทำหน้าหนา ไม่ยอมส่งเงินให้ตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก ต้องทวงอยู่เรื่อย มาครั้งนี้พวกนั้นกลับทำเงียบไป ไม่ใช่ว่าจะไม่รับผิดชอบสิปปภาสกันแล้วหรือ
รับใบเสร็จมา ค่อยพาสิปปภาสหันหลังกลับ ครูคนหนึ่งในห้องเอ่ยขึ้น “สิปบอกคุณแม่หรือยังครับ”
ดรัลรัตน์ใจหายวาบ หันไปถามทางคุณครูท่านนั้น “บอกเรื่องอะไรหรือคะ”
“โรงเรียนเราจะจัดทำบุญตักบาตร นิมนต์พระมาฉันเพล แล้วก็จัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ ด้วยน่ะค่ะคุณแม่ น้องสิปได้แสดงด้วยนะคะ”
ค่อยโล่งใจ นึกว่าพ่อตัวใหญ่ของเธอไปก่อเรื่องเอาไว้อีก
“อ้อ อย่างนั้นหรือคะ แสดงเป็นอะไรครับ อย่างสิปนี่...” ดรัลรัตน์ทำท่าคิดหน่อยหนึ่ง ก่อนเดา “แม่ว่าต้องเป็นหมีแน่ ๆ เลย”
“เป็นท่อนไม้หรอกค่ะคุณแม่”
เสียงหัวเราะดังลั่นห้องธุรการ แล้วถึงได้ยืนคุยกันอีกครู่ ค่อยไหว้ลาคุณครูเป็นตัวอย่างให้เด็กชายสิปปภาสดู ก่อนจะถูกพ่อตัวดีดึงออกจากห้องที่คุณครูอยู่กันเต็มไปหมด ตรงไปยังสนามของโรงเรียน
“สิปขอเล่นกับเพื่อนก่อนครับ”
“ได้ครับ” ดรัลรัตน์ปล่อยให้เจ้าสิปเล่นจนพอใจแล้ว ถึงได้ชักชวนกันกลับ ขึ้นรถได้ พาแวะตลาดสดใกล้บ้าน หาซื้อข้าวของที่ขาด ที่จำเป็น กลับขึ้นรถอีกที สตาร์ตอยู่เป็นนานจนใจคอเริ่มไม่ดี ก็ค่อยพบว่าน้ำมันหมดเท่านั้นเอง ไม่ได้พังแบบคราวก่อน
ดีที่ปั๊มน้ำมันอยู่ติดกับตลาด วุ่นวายอยู่กับการเติมน้ำมันพักใหญ่ เรียบร้อยดีแล้ว ค่อยกลับขึ้นนั่งบนรถอีกครั้ง อดบ่นเรื่องไมล์บนหน้าปัดไม่ได้ ว่าทำไมถึงไม่ยอมทำงาน
จนเกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว เด็กชายสิปปภาสถึงได้พูดขึ้น พร้อมกับพยายามยัดก้นกรวยไอศกรีมรสวานิลลาที่เหลือกว่าครึ่งเข้าปาก “สิปนึกว่าจะต้องช่วยแม่เข็นรถกลับบ้าน”
ดรัลรัตน์ค้อนใส่ร่างกลมก้อนใหญ่ ๆ ที่เบาะด้านข้าง เธอเคยให้พ่อตัวดีนี่เข็นรถช่วยที่ไหนกัน รอบก่อนที่เสีย ก็แค่ให้ลงไปยืนรอที่นอกรถเฉย ๆ แล้วแกล้งพูดว่าถ้าซ่อมไม่ได้ ต้องช่วยกันเข็นรถกลับบ้าน ก็แค่นั้น ทำมาพูด เดี๋ยวเถอะ
หักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าบ้าน จอดนิ่งดีแล้ว ถึงหันมาตอบ “แม่เอาไปซ่อมมาแล้ว ลุงช่างบอกว่าคราวนี้อีกนานถึงจะพัง”
“เราซื้อรถใหม่ไม่ได้หรือครับ”
“เอาไว้ก่อนเถอะลูก ป้าเขียวยังขับได้อยู่เลย ซื้อใหม่ทำไมให้เปลืองเงิน” บอกเสียงอาลัยอาวรณ์ไม่น้อย ก่อนจะลูบมือไล้ไปกับพวงมาลัยรถยนต์คู่บุญ
“มีอะไรให้ช่วยยกบ้างพี่รัล” เสียงใส ๆ ถามดังมาจากนอกรถ เลยบุ้ยปากไปทางด้านหลัง
“ยกลงหมดเลยแก้ม”
คณิสรา ญาติผู้น้องของเธอ ที่อาศัยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สิปปภาสเพิ่งคลอดไม่นาน เดินไปเปิดฝากระบะท้ายรถออก ก่อนจะหิ้วถุงของจนเต็มสองมือ หอบเข้าบ้านเดี่ยวหลังเล็ก ที่อัดแน่นด้วยคนอาศัย อบอุ่นจนบางทีก็ออกจะร้อนจนเกินไปเช่นกัน ด้านนอกห้อมล้อมด้วยพืชผักสวนครัวที่ช่วย ๆ กันปลูก ทยอยขึ้นเต็มไปหมด สบายตา แล้วก็สะดวกใจที่จะเด็ดมาทำอาหารรับประทานกันในแต่ละมื้อแต่ละวัน
“ใครรีบตัดกล้วยมา” ถามเชิงบ่น เมื่อเห็นกล้วยเครือใหญ่วางที่ข้างบ้าน
“ป้ารองแกว่าอยากกินกล้วยต้ม แม่ก็เลยไปเอาลงมาทั้งเครือเลยจ้ะ” คณิสราบอกพร้อมกับวางของลง ค่อยแว่วเสียงถามดังจากประตูหลังบ้าน เป็นน้าของเธอ แม่ของคณิสรานั่นเอง
“จะกินข้าวกันเลยไหมรัล จะได้ต้มผัก”
“ต้มเลยก็ได้น้าวัลย์”
จนคล้อยหลังทางนั้นแล้ว คณิสราก็หน้ามุ่ย บ่นเมื่อแว่วเสียงเพลงดังลอยเข้ามากระทบหู “ ‘ทางนู้น’ เขาจัดงานกันอีกแล้วพี่รัล”
“อือ” ดรัลรัตน์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะมองหามารดา “ป้ารองไปไหนแล้ว”
“พรวนดินอยู่หลังบ้านนู่น” คณิสราตอบ
แต่เธออดบ่นต่ออีกไม่ได้ “จนมืดจนค่ำป่านนี้แล้วเนี่ยนะ แก้มไปพาแกมาล้างมือหน่อยไป เดี๋ยวพรวนไปพรวนมา ได้ขุดหลุมใหญ่เหมือนคราวก่อนนั่นหรอก ไม่เราก็แกนั่นแหละ ที่จะเดินตกหลุม”
“จ้ะ” คณิสรารับคำแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกไปนอกบ้านทันที
ดรัลรัตน์พาเด็กชายสิปปภาสเข้าไปอาบน้ำ แล้วก็ค่อยให้แต่งตัวด้วยตัวเอง ถึงออกมาช่วยน้าสาวจัดแจงทำอาหารเย็นให้กับสมาชิกในบ้าน
บ้านเล็กหลังนี้อยู่กันห้าชีวิต มีแค่สตรีและเด็กเท่านั้น แม่ของเธอ เธอและเจ้าสิป น้าสาวที่ชื่อลาวัลย์เป็นน้องแท้ ๆ ของแม่ แล้วก็คณิสราลูกสาวคนเดียวของลาวัลย์
อาหารง่าย ๆ จำพวกน้ำพริก ผักต้ม และเมนูวนเวียนจากไข่ถูกวางลงที่โต๊ะ นอกจากจะใช้เวลาทำไม่นาน ยังอุดมด้วยสารอาหารครบถ้วนและราคาไม่แพงอีกด้วย
นั่งกินข้าวจนอิ่มดีแล้ว ว่าจะเข้าห้องเพื่ออาบน้ำพักผ่อนหลังจากนั้น แต่เพราะเสียงเพลง เสียงร้องเฮโลดังเป็นจังหวะข้ามมาถึงบ้านของเธอนี่ ดรัลรัตน์เลยพามารดาเข้าห้อง หันไปบอกน้องสาวของมารดาว่า “เดี๋ยวรัลมา น้าวัลย์ดูสิปให้รัลหน่อยนะ”
บอกจบ ออกจากบ้าน คว้ากล้วยเครือใหญ่ที่วางอยู่ข้างบ้านใส่กระบะท้ายได้ ปีนขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยรถ ขับออกจากบ้านไปในทันที