“ที่จริงแล้วเรื่องปรึกษาครานี้กับท่านแม่ทัพ หากเจ้าไปนั่งฟังด้วยจะเป็นการดียิ่งนัก” เขาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเมื่อสตรีตรงหน้าเอาแต่เดินและไม่แม้แต่จะกล่าวบทสนทนาใดกับเขา
“เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างไม่สนใจนัก อะ อยากให้นางไปนั่งด้วยก็จะไป ไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดจากนางกัน
“เป็นเรื่องของสำนักมาร” คำกล่าวนี้ทำให้นางหยุดชะงักฝีเท้าลง คนด้านหลังที่ตามมาต้องตกใจที่นางหยุดกะทันหันทำให้เขาเกือบจะสะดุดล้ม
“สำนักมารรึเจ้าคะ! ท่านหมายถึงท่านจะนำทัพไปกำราบสำนักมารที่จวนหยวนใช่หรือไม่!” นางกล่าวอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงตัวร้ายสุดกร้าวใจของนาง นางลืมไปได้อย่างไรว่าที่นางจะตายก็เพราะไปทำศึกร่วมรบกับพ่อพระเอกนี่! แต่เดี๋ยวก่อนนางควรจะดีใจหรือเสียใจดี จางหลินเหวินมองอารมณ์ที่เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจของนางอย่างนึกขัน เขาคิดว่านางกลัวที่จะออกรบจึงคิดจะอ้อนเขาด้วยท่าทีเช่นนี้
“มิต้องกลัวไป ข้าจะไม่ให้เจ้าเข้าร่วมทัพหลักหรอก”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ!!” นางเผลอร้องตะโกนสุดเสียง เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอแสดงทีท่าน่าสงสัยออกไปจึงพยายามเค้นคิดคำแก้ตัว
“ทุกทีหม่อมฉันก็ช่วยท่านพ่อออกรบ เพื่อบ้านเมืองแล้วเป็นการดียิ่งที่จะมีพลังของหม่อมฉัน หากหม่อมฉันไปทัพหน้าด้วยแล้วความสำเร็จย่อมมีมากกว่าเดิมใช่หรือไม่” ใช่กับผีสิ แค่เห็นเลือดนางก็กลัวจนจะเป็นลมแล้ว!
“อืม”
“ไปหาท่านพ่อกันเถิดเจ้าค่ะ” ท่าทีของจางหลินเหวินเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก นางจึงรีบตัดบทก่อนจะเดินนำไปยังเรือนรับรองทันที เขานึกอะไรของเขากันที่จริงแล้วน่าจะเป็นเขาเสียมากกว่าที่ร้องขอให้นางออกทัพหน้าไปด้วยจนต้องตัวตายเช่นนั้นน่ะ!
ภายในนั้นเรือนรับรอง ฉูหยางฉือและฉูเป่ยชาง พร้อมข้างกันนั้นก็เป็นพระเอกของเรื่องที่กำลังนั่งหน้าเครียด บนโต๊ะมีแผนที่ขนาดใหญ่กางอยู่ แต่ทั้งสามคนกลับไม่ได้มองมันแม้แต่น้อย สายตาเขาทอดมองมายังสตรีร่างบางที่นั่งยิ้มเป็นมิตรอยู่ตรงหัวโต๊ะ
“ข้าไม่ให้เจ้าไป” เอ้า! ได้อย่างไรกันไม่ใช่ว่าในนิยายนางก็ได้ไปออกรบงั้นรึ
“ข้าก็ไม่เห็นด้วย” แล้วนี่พ่อพระเอกแกจะผสมโรงไปกับพวกเขาทำไมกันยะ!
“ท่านพ่อ”
“เฟยเอ๋อร์ มันอันตรายยิ่ง”
“ข้าดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ ท่านก็รู้ว่าข้าเก่งกาจเพียงใดวรยุทธ์ข้าไม่เป็นสองรองใครหรอกนะเจ้าคะ”
“แต่กับคนจากสำนักมารนั้นมันต่างกันออกไป วิชาของมันยังคงเป็นอันตรายต่อเรา”
“ไม่เจ้าค่ะ พวกท่านไม่เชื่อในตัวข้ากันหรือเจ้าคะ อย่างไรข้าก็จะไป หากท่านไม่ยอมข้าจะแอบหนีออกไปจริงๆ ด้วย” ไม่รู้ว่าฉูฉิงเฟยในนิยายใช้วิธีไหนแต่คงไม่พ้นวิธีร้ายกาจและน่ากลัวเป็นแน่ แต่นางจะใช้วิธีดื้อๆเช่นนี้เนี่ยแหละ! หากนางไม่ไปแล้วนางจะไปพาตัวเขามาได้อย่างไร แทบจะไม่ต้องกลัวเลยด้วยซ้ำเพราะเดี๋ยวพ่อตัวร้ายของนางก็สิ้นฤทธิ์อยู่แล้ว
“เห้อดื้อเหมือนใครกันนะ ข้าย่อมรู้ว่าตัวของเจ้านั้นเก่งกาจเพียงใด ข้าเพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น”
“ข้าจะปล่อยให้พวกท่านออกไปรบแล้วข้านั่งมีความสุขอยู่แต่ภายในเรือนได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้” นางกล่าวเสียงอ่อนพลางมองใบหน้าพวกเขาสลับกัน เอาวะคะเพื่อผู้แล้วต่อให้บุกน้ำฝ่าดง.. (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) เดี๊ยนก็จะไปคร้าา!
คำกล่าวนี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดจำต้องยอมในความดื้อรั้นของนาง สายตาของจางหลินเหวินยังคงไม่ละไปจากดวงหน้าสวยที่ระบายรอยยิ้ม นางคงเป็นห่วงในตัวของเขาเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางคงไม่เอ่ยปากขอร้องท่านพ่อนางถึงเพียงนี้ ที่แท้นางก็ยังสนใจในตัวเขาอยู่นั่นเอง จางอ๋องกล่าวในใจใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มเล็กน้อย ใจเขาเกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่หารู้ไม่ว่าก็เพื่อไปหาหลัวของนางในอนาคตเท่านั้นเอง
ฉูฉิงเฟยดันหันไปสบตาเข้ากับดวงตาคมคู่นั้นที่แววตาเป็นประกายยามมองมาที่นาง
“ข้ามิคิดว่าเจ้าจะใส่ใจถึงเพียงนี้เฟยเอ๋อร์” จางหลินเหวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน ในขณะที่ฉูฉิงเฟยได้แต่คิดว่าเขากำลังเข้าใจสิ่งใดผิดอยู่งั้นหรือ
นั่นก็เป็นเรื่องย้อนทั้งหมดที่เกิดขึ้น และนางไม่คิดเลยว่าไอ้ทำศึกรบอะไรนี่จะมาเร็วถึงเพียงนี้! ชั่วเพียงกะพริบตาเดียวยังไม่ทันที่นางจะได้ทำใจให้มาเจอการนองเลือด บัดนี้นางยืนอยู่บนสนามรบที่ไม่ไกลจากเมืองมากนัก หลังจากที่ทางทหารวังหลวงมีรับสั่งลงมาว่าบัดนี้สำนักมารได้บุกเข้ามาแล้ว กลางดึกคืนนั้นพวกมันชิงลงมือก่อนที่พวกเขาจะได้ตั้งตัว
นางรู้ว่าตอนนี้ท่านพี่ลู่อยู่ที่ใด เขาเป็นพวกแผนสูง และไม่สนวิธีการ นั่นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอตัวร้ายของนางอยู่ในสนามรบ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น และฉูฉิงเฟยคนเก่าก็เป็นคนเจอพวกเขาอยู่ที่นี่ นางเข้ามาทางป่ารกด้านใน จนเจอกับลำธารสายหนึ่งที่เป็นลำธารเดียวกันกับที่ตัดผ่านเข้าไปในเมือง นางเชื่อว่าจะเจอพ่อตัวร้ายของนางที่นี่แน่ และจะเป็นที่ที่ตัวร้ายของนางจะโดนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บถึงภายในไม่อาจจะใช้วรยุทธ์ได้
“คุณหนูขอรับ ท่านคิดว่าจะมีศัตรูของเราอยู่ในนี้จริงรึขอรับ” เหล่าทหารที่ติดตามมาได้แต่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าเหตุใดคุณหนูของพวกเขาจึงมานั่งแอบหลังพุ่มไม้เช่นนี้
“ชู่ เงียบก่อน แล้วพวกเจ้าจะตามข้ามาทำไมเนี่ย” นางกล่าวเสียงกระซิบเมื่อนางพยายามปลีกตัวออกมาแล้ว แต่พวกเขากลับตามติดนางไม่ปล่อยแม้แต่ก้าวเดียว ให้ตายสิเว้ย!
นางรีบบอกให้พวกเขาลดเสียงลงเมื่อนางเห็นเงากลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาเห็นดังนั้นจึงชักดาบออกมาพร้อมรบ นางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลามพวกเขาลดอาวุธลง พร้อมกับที่เงากลุ่มนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น แสงจากจันทร์ส่องพาดผ่านกระทบเงามืดปรากฏเสี้ยวหน้าหนึ่งที่สะกดสายตาของนางให้จ้องมองด้วยความหลงใหล ดวงตาที่แสนเย็นชาแต่แฝงไปด้วยอำนาจแค่เพียงจ้องมองก็ทำให้หวาดกลัว ร่างกายสูงใหญ่ใส่เสื้อผ้าของสำนักมารสีดำสลับแดง เผยแผงกล้ามอกเล็กน้อยให้พอกระชุ่มกระชวย
นะ นั่นท่านพี่ลู่ของนางใช่หรือไม่ กรี๊ดๆๆๆๆ ชุดสำนักมารทำไมเซ็กซี่เยี่ยงนี้ อยากโดดเข้าไปเกาะไหล่กว้างๆ นั่นจังเลย
“คุณหนูขอรับนั่นคนจากสำนักมารเป็นแน่ขอรับ เหตุใดพวกมันจึงใช้เส้นทางนี้กัน” เสียงหนึ่งในทหารฉุดความอวยหลัวของนางให้หยุดลง
“ขะ ข้าก็ไม่รู้”
“เหตุใดคุณหนูจึงรู้ว่าพวกเขาจะมาทางนี้กันขอรับ ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก” ทหารนายนั้นยังคงพูดอยู่ด้วยความชื่นชมอย่างอดไม่ได้ แม้แต่ทางราชสำนักเองก็ไม่อาจจะคาดเดาได้และไม่ได้ส่งกำลังมาป้องกันเส้นทางนี้แม้แต่น้อย
“พะ พวกเจ้าเงียบเสียงลงก่อนเถิด”
นางรีบตัดบทเพื่อที่เขาจะไม่ได้ถามให้มากความ แต่แค่เพียงเสี้ยววิที่นางหันมา เมื่อมองกลับไปยังทิศทางเดิมอีกครั้งกลับไม่พบตัวของท่านพี่ลู่แล้ว เห้ย หายไปไหนอะ! แต่แล้ววินาทีนั้นนางกลับสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากด้านหลังของนาง
“พวกเจ้าแอบดูอยู่สนุกหรือไม่” เสียงทุ้มแต่เยือกเย็นจนจับขั้วหัวใจดังขึ้นมาทางด้านหลังพวกเขา สัญชาตญาณของพวกเขาร่ำร้องว่าหากไม่หนีไปตอนนี้พวกเขาต้องตายเป็นแน่
“ปกป้องคุณหนู!”
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นก่อนที่พวกเขาจะชักดาบออกมาจ่อตรงหน้ากลุ่มคนเมื่อกี้ที่หายมาอยู่ด้านหลังของพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉูฉิงเฟยตวัดสายตาไปมองยังร่างสูงที่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ เขารู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ตรงนี้ โคตรเก่งเลยท่านพี่! ดวงตากลมโตสำรวจใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับประติมากรรมแกะสลัก ไม่ว่าจะมองอย่างไรนี่มันสัดส่วนใบหน้าทองคำชัดๆ!
สายตาคมกริบกวาดมองพวกหนอนของราชวงศ์ด้วยแววตาเย้ยหยัน แต่แล้วสายตากลับไปสะดุดที่ดวงตากลมโตของผู้ที่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ แววตาของนางไม่ได้ฉายแววสั่นกลัวดั่งเจ้าพวกลูกหมานี้ แววตาของนางกลับเป็นประกายราวกับดีใจที่ได้พบเขานั่นทำให้เขาประหลาดใจ ร่างสูงกระตุกยิ้มเย็นเหมือนเขาจะเจอเหยื่อที่น่าสนุกเสียแล้ว
“พวกหมาของราชวงศ์ หึ นับว่าพวกเจ้ายังมีสมองคิดอยู่บ้างที่สามารถเจอตัวข้าได้ ข้าขอชื่นชม”
น้ำเสียงทรงอำนาจกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน พวกเขาตัวสั่นมิใช่เพราะความโกรธที่โดนดูถูก แต่เพราะพวกเขากลัวจนแม้แต่มือที่ถือดาบอยู่นั้นก็สั่นไหว ไอปราณสังหารแผ่ออกมากดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก บุรุษตรงหน้าผู้นี้เป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมีบรรยากาศรอบกายที่กดดันถึงเพียงนี้ แม้แต่พวกของมันเองก็เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา พวกเขาจ้องมองแผ่นหลังกว้างของท่านจ้าวสำนัก ท่านจ้าวสำนักกำลังสนุกอยู่งั้นรึ!
“พวกเจ้ายังยืนหยัดอยู่ได้แม้เจอหน้าข้างั้นรึ เป็นพวกลูกหมาที่มีจิตใจภักดีต่อเจ้านายเสียจริง ข้าจะให้เกียรติแก่พวกเจ้าด้วยการตายด้วยน้ำมือของข้าผู้นี้ดีหรือไม่”
ร่างสูงกล่าวใบหน้าเริ่มระบายยิ้มเยือกเย็น จ้องมองไปยังสตรีด้านหลังที่มองเขาอย่างไม่กะพริบ เขาอยากรู้นักว่านางผู้นั้นจะทำเช่นไร
ร่างบางคิดหนทางที่จะไปตั้งหลัก แต่นางไม่มีวรยุทธ์! ถึงมีก็ใช้ไม่เป็น โอ๊ย ทำไมเขาต้องเจอในสภาพที่นางช่วยตัวเองแบบนี้ไม่ได้ด้วย นางคิดไว้ว่าจะรอสวมตัวเป็นสตรีที่เข้าไปช่วยแล้วใช้เวลาอันหวานแหววกับเขาเพียงลำพังเสียหน่อย แล้วเกิดเป็นความรักแน่นแฟ้นขึ้นมา ท่านพี่ลู่ทำข้าผิดแผนหมด! แล้วเมื่อไหร่ไอ้พวกนั้นจะมาตามบทในนิยายสักทีเล่า!
“ข้ามาช่วยท่านเจ้าค่ะ” ลู่เทียนหยางชะงักลง ใบหน้าที่ยิ่งยิ้มเหี้ยมนึกขันยิ่งนักที่เขาต้องให้สตรีตัวเล็กอย่างนางช่วยงั้นหรือ เขาสัมผัสไม่ได้แม้แต่พลังปราณของนางเสียด้วยซ้ำ!
ฉูฉิงเฟยกลั้นใจพูดออกไป เหล่าทหารนั้นมองมายังนางเป็นทางเดียว แต่แล้วพวกเขาก็คิดได้ว่าคุณหนูกำลังช่วยพวกเขาเป็นแน่ นางช่างมีจิตใจที่ดีงามเสียนี่กระไร จิตใจจงรักภักดียิ่งเพิ่มทวีคูณ พวกเขามองหน้ากันพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องสตรีผู้นี้
“คุณหนูหนีไปขอรับ!!” พวกเขาโจมตีพร้อมกันสามคนเข้าไปยังบุรุษในชุดสีดำ ฉูฉิงเฟยพลันใจหล่นวูบ ไม่ได้นะ! พวกเขาจะทำแบบนั้นไม่ได้!
“ท่านพี่ลู่อย่าฆ่าพวกเขานะเจ้าคะ!!!” ร่างบางร้องเสียงหลงแววตาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
ร่างสูงที่เพียงสะบัดมือครั้งเดียวก็สามารถสังหารพวกมันได้ทั้งหมด ถึงแม้จะทำเช่นนั้นได้อย่างง่ายดายแต่เสียงของสตรีผู้นี้กลับทำให้เขาชะงักลง เขาลดพลังลงไปมากกว่าครึ่ง ทำให้พวกทหารทั้งหมดเพียงบาดเจ็บสาหัสแล้วล้มลงไป
ฉูฉิงเฟยรีบเข้าไปดูอาการของพวกเขา แม้ร่างกายจะถูกฟันราวกับมีใบมีดนับร้อยเล่มตัดผ่านร่างกายแต่ก็เพียงผิวเผินเท่านั้นแผลไม่ลึกมากจนถึงกับชีวิต นางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้า เดินมานี่”
“ขะ ข้าต้องทำแผลให้พวกเขาก่อน”
นางตั้งใจจะฉีกชุดเสื้อของตนเองเพื่อห้ามเลือดในบางจุดที่เป็นแผลลึกให้กับพวกเขา แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ทำเช่นนั้น ลู่เทียนหยางปล่อยสายเชือกสีแดงรัดพันรอบตัวนางก่อนจะดึงนางเข้ามาใกล้
“อ๊ะ!”
ไม่ทันที่นางจะได้ตั้งตัว ร่างอันบอบบางก็ถูกรัดแล้วดึงเข้าหาเขา ร่างบางกระแทกเข้ากับอกแกร่งอย่างแรง จมูกและหน้าผากขึ้นสีแดงด้วยความแรงของการปะทะ ความแข็งที่นางสัมผัสได้และกลิ่นกายของบุรุษที่นางหลงใหลทำนางสูดดมไปโดยไม่รู้ตัว
“ฟืดดดด”
ลู่เทียนหยางมองการกระทำของนางที่กำลังกระทำย่ำยีอยู่ที่อกของเขา สะ สตรีหน้าไม่อาย! ใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่ใบหูกลับขึ้นสีแดงระเรื่อ เขาเพียงดันนางออกเพียงนิดร่างบางก็กระเด็นออกไปแล้ว
“โอ๊ย ขะขอโทษเจ้าค่ะ” ฉูฉิงเฟยที่เพิ่งรู้สึกตัว อยากจะตบหน้าตัวเองสักที ก็รู้อยู่ว่ายามนี้ท่านพี่ลู่ไม่ชอบให้สตรีถูกตัว! ดวงตาคมกริบมองสำรวจไปที่ร่างกายบอบบาง นางอยู่ในชุดของราชสำนักและดูเหมือนจะเป็นบุตรีของคนที่มียศสูงอยู่ไม่น้อย ใบหน้างดงามไร้ที่ติ เขามิเคยรู้ว่ามีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ในราชสำนักด้วย แต่เหตุใดนางจึงอยู่ในป่าเช่นนี้แม้แต่วรยุทธนางก็ไม่มี เพียงแค่เขาใช้เชือกรัดตัวนางเข้ามานางกลับปัดป้องไม่ได้ แล้วยังร่างกายที่อ่อนแอนั่นอีกเพียงแค่สะกิดนิดเดียวนางก็กระเด็นเสียแล้ว
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าหรือเจ้าคะ”
นางถามกลับด้วยความสงสัย เป็นตัวร้ายของนางที่พูดกับนางก่อน แค่น้ำเสียงที่พูดกับนางก็ทำให้ใจนางละลายได้แล้ว
“ข้าจะไม่พูดซ้ำสอง”
น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคมกริบที่เย็นชาจ้องมองไปยังสตรีเบื้องล่างเขาไม่วางตา อย่าจ้องกันขนาดนั้นสิเจ้าคะ ข้าเขิน!
“ข้าหรือ ข้าก็เป็นว่าที่ภรรยาของท่านอย่างไรเจ้าคะ”
“!”