“หน้าตารินดูออกขนาดนั้นเลยหรือคะ” รินรดาหัวเราะ
“หนูริน...” ปานชีวาถอนหายใจ “ถึงจะมีชื่อเป็นลูกบุญธรรมแต่เขาก็เลี้ยงดูเราเหมือนคนรับใช้ จะไปทนอยู่ทำไมละ หนูรินก็ตอบแทนบุญคุณมามากพอแล้ว ต้องลาออกจากเรียนพยาบาลย้ายข้ามสายวิชาชีพมาทำงานดูแลบริษัทอีกต่างหาก แค่นี้มันก็มันก็มากพอแล้วล่ะ”
“แต่มันก็เป็นบริษัทของพ่อ” หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ “รินทำงานที่นี่ก็เหมือนได้ใกล้ชิดพ่อ พ่อคงไม่อยากเห็นรินทอดทิ้งบริษัทที่พ่อสร้างขึ้นกับมือ”
“ถ้าคุณพ่อหนูอยู่ก็คงคิดอย่างนั้น แต่หนูรินอยู่อย่างนี้เป็นแค่เลขาฯ ไม่ได้นั่งในตำแหน่งสูงอะไรเลย ถ้าปล่อยวางได้ก็ปล่อยซะเถอะนะ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำดีกว่ายังไงมันก็ชีวิตเราเองเลือกมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นดีกว่า”
รินรดาฝืนยิ้มที่มุมปาก แม้ใบหน้าหวานจะมีรอยยิ้มแต่ในใจเธอเหมือนกำลังร้องไห้ ทั้งอยากประคองบริษัทไว้แต่อีกใจก็อยากเดินในหนทางของตนเอง อาจจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือเริ่มจากไม่มีอะไรเลยแต่มันก็คือหนทางชีวิตที่เธอเลือกเดิน
คุณแพรวาเดินหยิบกระเป๋าหลุยส์เข้าไปในห้องทำงานของสามี นางไม่ได้สนใจสามีที่นั่งหน้าเครียดกับตัวเลขแดงๆ ในบัญชี
“คุณค่ะ ทำไมฉันรูดบัตรไม่ผ่านละคะ ฉันกับลูกจองกระเป๋าหนังจระเข้ไว้คนละใบด้วย น่าอายจริงๆ เลย”
“กระเป๋า? กระเป๋าอะไร? เพิ่งซื้อไปไม่ใช่เหรอคุณ”
“นั้นมันตั้งสองเดือนก่อนค่ะ” คุณแพรวาทิ้งตัวนั่งที่โซฟารับแขกในห้อง
“แล้วเดือนที่แล้วคุณซื้ออะไรไปตั้งแสนกว่าบาท”
“สร้อยเพชรนะคะคุณ” ภรรยาหัวเราะคิกคัก “ฉันทำเพื่อคุณนะคะ ถ้าใส่เพชรเม็ดเล็กก็อายคนอื่นเขานะซิ”
“พอเถอะ! แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาให้คุณใช้แล้วนะ”
“คุณพูดอะไรคะ” คุณแพรวามองหน้าสามีอย่างงงๆ “เงินแค่นี้ทำเป็นบ่นไปได้”
“ก็เพราะคุณคิดแบบนี้ไง เราจะล้มละลายกันอยู่แล้ว” คุณวิทยาเผลอตะคอกภรรยา “ใช้เงินกันเดือนละสามสี่แสนเป็นว่าเล่นแบบนี้ผมจะหาที่ไหนมาให้คุณผลาญได้เล่า”
“ทำเป็นซีเรียสไปได้” แพรวาบีบไหล่สามีอย่างเอาใจ “คุยกับธนาคารหรือยังคะ”
“ทั้งธนาคารทั้งไฟแนลไม่มีใครเพิ่มวงเงินให้เราแล้ว”
“คุณพูดจริงเหรอคะเนี้ย” คราวนี้คุณแพรวาเริ่มหน้าเสีย ปกติเธอไม่ค่อยเห็นสามีเคร่งเครียดอย่างนี้ “ฉันจองกระเป๋าไว้เอาไงดี ไม่ไปเอาก็อายคนอื่นแย่”
“นี่ยังจะห่วงกระป๋งกระเป๋าบ้าบอนั้นอีกเรอะ!”
“คุณอย่ามาเสียงดังใส่ฉันซิ!” คุณแพรวาลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าสามี “ก็เอาเงินบริษัทมาใช้ก่อนก็ได้นิ”
“ผมโยกเงินจนจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่แล้ว”
“แล้วจะทำยังไง กู้นอกระบบไม่ได้เลยหรือคะ”
“ผมกู้จนเขาไม่ยอมให้กู้แล้ว นอกจากจะหาหลักทรัพย์ไปค้ำประกันหรือไม่ก็จ่ายเงินของเก่าเขาก่อน”
“งั้นก็เอารถไปค้ำซิคะ” แพรวายักไหล่ “รถเรามีตั้งหลายคัน ง่ายจะตายไป”
“รถก็ไม่เหลือแล้ว ไฟแนลจะมายึดอยู่แล้ว ผมไม่ได้จ่ายค่างวดมาห้าเดือนแล้ว”
“แล้วบ้านละคะ”
“บ้านก็เข้าธนาคารไปตั้งนานแล้วไง” คนเป็นสามีหัวเสียที่ภรรยาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ที่คุณไปกู้นี่คุณพิชญะที่ว่าเป็นเศรษฐีชาวไร่อะไรนั้นเหรอคะ” ภรรยาเสียงอ่อนลง
“ใช่ คนอ้วนๆ ที่คุณเคยเจอที่โรงแรมเมื่อสามสี่เดือนก่อนไง “ วิทยาถอนหายใจหนักๆ เมื่อนึกถึงข้อเสนอของเจ้าหนี้รายใหญ่ที่พร้อมปล่อยกู้ให้อีกเท่าตัวถ้าเขา....
“คุณพิชญะไม่ยอมปล่อยกู้เพิ่มแล้วนอกจาก...นอกจาก...”
“อะไรคะ คุณพิชญะอยากได้อะไร?”
“เขาอยากได้ลูกสาวเราไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน!”
“คุณพระคุณเจ้าช่วย” คุณแพรวายกมือทาบอกอุทาน “จะเอาลูกสาวเราไป... บ้านะซิ! ฉันไม่ยอมให้ลูกมาร์กี้ไปอยู่กับคนอย่างนั้นหรอก ถ้ารวยสักพันล้านก็ค่อยว่ากัน”
“ได้ข่าวว่ารวยระดับนั้นแหละ” คุณวิทยาไม่รู้จะจัดการปัญหาชีวิตยังไง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อคุณวิทยาอนุญาตแล้ว รินรดาเดินเข้ามาพร้อมน้ำส้มกับคุ้กกี้ เธอวางถาดลงที่โต๊ะรับแขกในห้องท่านประทาน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของทั้งสองสามีภรรยาจึงไม่พูดอะไร ร่างบางจัดการทุกอย่างแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
คุณแพรวามองร่างในชุดเดรสสีเทาเชยๆ เดินผ่านสายตาจนพ้นประตูห้องทำงาน เธอเดินปิดประตูเพื่อความแน่ใจอีกครั้งแล้วรีบเดินกลับมาหาสามีด้วยสีหน้าระรื่น
“คุณคะ ฉันมีวิธีช่วยคุณแล้วค่ะ”
“ช่วยยังไง? จะเอากระเป๋าแบรด์เนมออกมาขายหรือไง”
“โอ๊ย! ฉันไม่ยอมทำแบบนั้นแน่ๆ อายคนอื่นเขา” ภรรยาหยิกต้นแขนสามีเป็นเชิงหยอก แล้วกระซิบกับสามีทั้งที่ในห้องมีกันอยู่แค่สองคน “ถ้าเรายกลูกสาวเราให้ เขาจะให้เงินเราเท่าไหร่คะ”
“ให้อีกห้าล้านแถมล้างหนี้เก่าห้าล้านที่ค้างอยู่ให้ด้วย”
คุณแพรววาหัวเราะคิกคัก “ถ้าเขาอยากได้ลูกสาวเราก็ยกให้เขาไปซิคะ”
“คุณจะบ้าเรอะ! ผมมีลูกสาวคนเดียวผมไม่ยอมขายลูกกินเด็ดขาด!”
“คุณลืมไปหรือเปล่าคะว่าเรามีลูกสาวสองคน”
“?”
ภรรยาแหงนหน้าหัวเราะ “เจ้าหนี้เราไม่ได้ระบุว่าจะ”เอาลูกสาวคนไหนไม่ใช่เหรอคะ งั้นเราก็ส่งลูกสาวคนเล็กของเราไปซิคะ”
วิทยาเพิ่งคิดตามที่ภรรยาพูดแล้วก็พยักหน้าอย่างเพิ่งนึกได้ “แล้วมันจะดีเหรอ รินรดาจะยอมเรอะ”
“จะยากอะไรคะ ก็อย่าให้รู้ซิ” ภรรยาเบ้ปากนิด “ถึงเป็นลูกบุญธรรมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ยังไงก็ต้องทำได้ไม่งั้นก็จะเป็นคนอกตัญญู”
“มันก็จริงอย่างที่คุณพูด” สามีเห็นคล้อยตามที่ภรรยาเสนอ
“ถ้างั้นคุณก็ไปตกลงเจรจากับคุณพิชญะได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องรินรดาทางฉันจะจัดการเอง”
คุณแพรวาเดินมานั่งที่โซฟาแล้วยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม อารมณ์หงุดหงิดเริ่มเบาบาง เธอจะได้กระเป๋าที่จองไว้แล้วก็มีเงินใช้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหรอกนะรินรดา ยกให้เป็นเมียไปเลยไม่ต้องกลับมาให้รกหูรกตาอีกนั้นแหละดีที่สุด!.