“ อ้าว ทำไมเงียบ ยังไง เคยคุยกันบ้างหรือยังเรื่องแต่งน่ะ ”
“ เคยค่ะ แต่พี่บดินทร์บอกว่ายังไม่พร้อม อยากทำตำแหน่งขึ้นก่อน ”
“ แล้วเมื่อไหร่จะได้ขึ้น ”
“ ไม่รู้ค่ะ บอกไม่ได้หรอก มันต้องทำหลายอย่าง ต้องเขียนหนังสือเผยแพร่ ต้องมีผลงานโน่นนี่ ”
“ งั้นก็บอกให้เขาแต่งก่อนแล้วค่อยทำก็ได้นี่ ถ้าเผื่อมันไม่ได้สักทีไม่แก่หง่อมกันก่อนหรือไง นี่แกก็จะสามสิบแล้ว ”
“ เคยพูดแล้วค่ะ แต่เขาไม่ว่ายังไง ” แม่ของเธอหรี่ตามองเธออย่างจับผิด
“ หรือว่าแกไปนอนกับเขาแล้ว ผู้หญิงง่าย ๆ น่ะนะ ผู้ชายพอมันได้แล้วมันก็เบื่อ มันเลยไม่อยากมาแต่งไง ” ประโยคนั้นทำให้เธอหันขวับไปหาแม่ทันทีอย่างไม่เชื่อหู
“ แม่ นี่แม่กำลังดูถูกลูกสาวตัวเองอยู่นะ ”
“ ฉันก็พูดไปตามเนื้อผ้า ไม่งั้นมันจะมีเหตุผลอะไรที่เขาไม่อยากมาตบมาแต่งล่ะ ”
“ จูนไม่ได้ทำตัวง่ายขนาดนั้นหรอก ”
“ เหรอ แล้วถ้าแกมีคุณค่านักหนา ทำไมบดินทร์มันถึงไม่เห็นค่าสักทีล่ะ ”
คำถามนั้นทำให้มิถุนาจุกอก
นั่นสินะ หรือจริง ๆ แล้วเธอไม่เคยมีคุณค่าสำหรับเขาเลย
เมื่อเห็นว่าลูกสาวเงียบ ไม่เถียง แม่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“เออ เดือนนี้ขอเงินสักแสนสิ ปิดเทอมเดือนหน้าพวกครูเขานัดกันจะซื้อทริปไปเที่ยวญี่ปุ่น ”
“ โอ้โฮแม่ จูนจะเอาที่ไหนมาให้ตั้งแสน ส่งให้พ่อแม่เดือนละสามหมื่นแล้ว ที่เหลือก็ค่าผ่อนคอนโดผ่อนรถอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ”
“ แกไม่ได้มีแค่เงินเดือน ค่าคอมแกตั้งหลายแสนบางทีเป็นล้านทำไมฉันจะไม่รู้ ”
“ แม่ ค่าคอมบางทีก็ไม่ได้ทุกเดือนนะ จูนก็ต้องเผื่อเงินไว้ในเดือนที่ขายไม่ได้บ้าง ”
“ ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปสุรุ่ยสุร่ายกินเวอร์ใช้เว่อร์จนหมดเหรอ ”
“ สุรุ่ยสุร่ายอะไรแม่ จูนประหยัดทุกอย่างเท่าที่จะประหยัดได้ แม่รู้หรือเปล่าว่าเสื้อผ้าที่จูนซื้อใส่ทั้งไปทำงาน ไปพบลูกค้าเนี่ย จูนยังไม่กล้าซื้อชุดละเกินพันบาทเลย ”
“ นี่แกจะว่าฉันสุรุ่ยสุร่ายซื้อเสื้อผ้าแพงเหรอ ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะ กว่าฉันจะเลี้ยงแกมาโตขนาดนี้หมดไปตั้งเท่าไหร่ ตอนเด็ก ๆ งอแงขี้โรคอย่างกับอะไรไม่เคยได้นอนเต็มตาสักคืน พอมีขึ้นมาก็คิดจะทิ้งพ่อทิ้งแม่ ”
“ ทิ้งพ่อทิ้งแม่อะไรกันคะ จูนกลับบ้านมาเกือบทุกอาทิตย์ก็ซื้อกับข้าวกับปลาของกินของใช้ไว้ให้ตลอด เงินก็ให้ แบ่งให้จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้านอีก ”
“ นี่แกลำเลิกบุญคุณฉันเหรอยัยจูน ” แม่ของเธอทิ้งชุดลงบนโซฟาแล้วเงยหน้ามาถลึงตาใส่คนเป็นลูกสาว
“ พอหาเงินได้แล้วปีกกล้าขาแข็งสินะ ”
“ จูนไม่ได้ลำเลิกบุญคุณอะไรทั้งนั้น แค่อธิบายให้แม่รู้ว่าจูนไม่ได้แย่อย่างที่แม่พูด ”
“ อ๋อ นี่แกหาว่าฉันใส่ร้ายแกว่างั้น ระวังนะปากจะเท่ารูเข็ม พ่อแม่บอกสอนไม่ฟัง เถียงฉอด ๆๆ ”
“ จูนเปล่า ”
กริ๊งงงงง !!!!
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของแม่ดังขึ้นตัดบทสงครามที่กำลังก่อเกิด ท่านค้อนขวับก่อนหันไปหยิบมือถือขึ้นมากดรับ เสียงที่กรอกตามสายแปรเปลี่ยนชนิดหลังตีนเป็นหน้ามือทันที
“ สวัสดีค่ะคุณน้องเรยา อุ๊ย เหรอคะ พี่ไม่ทราบว่าคุณน้องจะไปด้วยก็เลยให้ ผอ. ไปคนเดียว ”
เสียงสนทนาเบาลงเมื่อแม่เดินออกไปนอกบ้าน มิถุนาถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด
ดวงตากลมโตรื้นน้ำตากวาดมองสภาพบ้าน ฝุ่นจับชนิดที่ว่าเดินไปที่ไหนก็เป็นรอยเท้าไปทั่ว ใบไม้ร่วงเกลื่อนตัวบ้าน ต้นไม้สวนผักเหี่ยวเฉาแห้งตายไปเกือบหมด ไอ้เงินที่เธอให้ไว้จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดก็คงโดนแม่พ่อถลุงจนหมดสินะ บ้านเลยอยู่ในสภาพนี้
บ้านแทบจะไม่เป็นบ้านอยู่แล้ว เหมือนบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่ดูแลเอาใจใส่ เธอไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นอะไรจากบ้านหลังนี้ได้เลย
ป่วยการณ์ที่จะพูดจะอธิบายอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำแล้วจะได้เป็นลูกคนดีแสนกตัญญูก็คือ ให้เงินแม่มากตามที่ท่านต้องการ
เธอหอบข้าวของของตัวเองเดินเข้าห้องนอนส่วนตัว วางมันลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงผ้าคลุมเตียงกันฝุ่นสีขาวออกมาพับแล้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงหนานุ่ม หลับตาลงอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้น้ำตาอุ่นไหลรินลงที่หางตา
เหนื่อย เธอเหนื่อยเหลือเกิน
เธอนอนอยู่แบบนั้นจนกระทั่งผล็อยหลับไป แต่ต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะห้องรัว ๆ
“ ยัยจูน ทำอะไรอยู่ หลับหรือไง ” เสียงเรียกพร้อมเคาะดังเป็นแม่ของเธอเอง มิถุนารีบลุกขึ้นไปเปิดประตูกว้าง พบว่าแม่อาบน้ำอาบท่าแต่งหน้าแต่งตัวสวย
“ จูนเผลอหลับค่ะ ”
“ มาถึงก็จะหลับเลยนะ ระวังจะตัวเป็นขนเอา สันหลังจะยาวออก ๆ ” มิถุนาขี้เกียจจะเถียงคำค่อนขอดของแม่ที่ว่าเธอขี้เกียจสันหลังยาวตัวเป็นขนเอาแต่นอน ทั้งที่ลูกทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน เลิกงานก็รีบขับรถบึ่งกลับบ้านจึงรีบถามออกไป
“ แม่เรียกจูนทำไมคะ ”
“ อ๋อ คุณนายท่านนายอำเภอน่ะ โทรมาชวนฉันไปทานมื้อเย็นที่บ้าน ”
“ ค่ะ แม่ไปเถอะค่ะ ” พูดไปแบบนั้นทั้งที่เจ็บแปลบที่หัวใจ
แม้จะถูกกระทำย่ำยีทางความรู้สึกแต่มิถุนาก็รักและห่วงใยพ่อกับแม่ ตั้งใจกลับบ้านมาทุกวันหยุด เพื่อหวังจะได้กินข้าวกินปลาพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้าง แต่ดูสิ่งที่ได้กลับมาสิ
พวกท่านคงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความห่วงใยของลูกสาวคนนี้นักหรอก ก็อย่างที่ว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกท่านต้องการมันไม่ใช่เธอ ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ความห่วงใย
มันคือเงินเท่านั้น
เธอคาดหวังอะไรอยู่เหรอมิถุนา หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มันก็สมควรจะผิดหวังเช่นนี้แหละ
แม่ของเธอแบมือออกมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มฉีกกว้างที่มองดูหลอนอย่างประหลาด
“ ขอสักสามพันสิ ”
เพราะไม่อยากต่อความอะไรกับแม่ มิถุนาเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรสีเทาสามใบมายื่นให้ท่านตามต้องการโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเงินนั้นจะต้องถูกเอาไปถลุงในวงไพ่ของเหล่าภรรยาคนใหญ่คนโตทั้งหลายนั่น
เงินน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานของลูกนี่แหละ
“ ขอบใจนะลูกรัก ” ท่านรับมาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันหลังเดินจากไป ไม่มีสักคำที่จะถามว่าลูกหิวไหม กินอะไรมาหรือยัง ทำงานเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า
เธอได้คำว่ารักกลับมาทันทีที่มีเงินให้
เมื่อถูกปลุก มิถุนาก็หลับไม่ลงอีกต่อไป เธอรู้สึกหิวจึงเดินเข้าครัวไปหาอะไรกิน ไม่ต้องหวังว่าจะมีกับข้าวกับปลาอะไรอยู่ในนั้น เปิดตู้เจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งเหลืออยู่สองซอง ไข่ในตู้เย็นห้าฟอง หยิบมันออกมาสองฟอง และผักคะน้าเหี่ยว ๆ จึงหยิบออกมาเลือกเฉพาะที่ใช้ได้แล้วผัดทั้งหมดนั่นกิน
พออิ่มท้องเรี่ยวแรงก็กลับมา เธอเก็บกวาดขยะจากการแกะห่อพัสดุของแม่แล้วกองไว้ส่ง ๆ บนพื้นโซฟาและพื้นห้อง เก็บกวาดล้างชามในซิงก์ล้างจานในครัวที่แห้งกรังกองพะเนินคงเพราะสะสมไว้หลายวัน ไหนจะแก้วน้ำถ้วยกาแฟที่วางไปทั่ว กวาดถูทำความสะอาดบ้าน ดีหน่อยที่เสื้อผ้าของพ่อและแม่ส่งร้านซัก ไม่อย่างนั้นก็คงกองพะเนินเทินทึกเกลื่อนบ้าน
กว่าจะเรียบร้อยก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า มิถุนาอาบน้ำอาบท่าแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนอย่างรวดเร็ว