บทที่ 2 เดอะแบก

1913 คำ
เธอเหนื่อย เธอเหงา มีการบ้านที่ไม่เข้าใจอยากจะให้พ่อแม่สอน แต่พอเข้าไปถามก็ถูกดุถูกด่า หาว่าพยายามไม่พอ ไม่มีความอดทน แค่พ่อแม่ออกไปทำงานก็เหนื่อยพอแรงแล้วยังจะเอาปัญหามาให้อีก ถ้ายังเรียนไม่รู้เรื่องก็ให้พยายามมากกว่านี้ ถ้าผลการเรียนตกจะโดนตีในข้อหาที่ทำให้พ่อแม่ผู้ทรงเกียรติเสียหน้าเสียตา เธอต้องรับหน้าที่เป็นลูกที่ดี รับบทบาททุกอย่างภายในบ้านตั้งแต่เด็กโดยคนเป็นพ่อแม่ให้เหตุผลว่าต้องการฝึกให้ลูกรู้จักหน้าที่ เธอต้องเป็นนักเรียนที่ดี เรียนได้ที่หนึ่งของสายชั้นตลอด ทั้งที่เวลามีปัญหาไม่เคยมีใครอยู่เคียงข้าง ปรึกษาอะไรทีก็มีแต่ซ้ำเติมดุด่า บอกให้หัดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่มีใครเลยรู้ว่าเด็กหญิงมิถุนาตัวน้อย ๆ ในตอนนั้นจะรับมือความเหน็ดเหนื่อย ความเหงา ปัญหาที่รุมเร้าได้เท่าไหร่ หัวใจดวงน้อย ๆ จะทนแรงกระแทกได้สักแค่ไหนกันเชียว คนภายนอกมองว่าเธอโชคดี เกิดมาในครอบครัวครบพร้อม พ่อแม่เป็นครู มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโต แต่ใครเลยจะรู้ว่าเธอต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ความสมบูรณ์พร้อมมันเป็นเพียงภาพลวงตา มิถุนาเติบโตมาด้วยความกดดันและทุกข์โศกเพียงลำพัง ทำให้มีนิสัยเงียบขรึม ไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนัก มีเพื่อนที่คุยด้วยแค่คนสองคนเท่านั้น เรื่องดีอย่างเดียวกับการที่ต้องโตมาแบบนั้นคือเธอเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับปัญหาด้วยตัวเอง ฝึกฝนที่จะฮีลใจให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง เพราะเธอรู้แล้วว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าได้หวังไปพึ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะแค่ที่ทำให้เกิดมากับที่ให้เงินใช้จ่ายเท่านั้นก็ถือเป็นบุญคุณท่วมหัวแล้ว ความอบอุ่นของครอบครัวเป็นอย่างไร เธอไม่เคยรู้ เธอเริ่มที่จะรู้สึกดีเวลาได้อยู่บ้านคนเดียว เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงรถของพ่อแม่กลับมา เธอจะเกร็งไปหมด รอฟังว่าเมื่อไหร่จะโดนด่าว่าทำไมเก็บตรงนั้นไม่ดี ตรงนี้ไม่สะอาด ชุดนี้รีดยังไงของแกทำไมไม่เรียบ เอาเตารีดนาบสองทีหรือไง นี่แกไม่ได้รีดชุดนอนสีน้ำเงินให้ฉันเหรอยัยจูน โง่เง่า สอนเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำ แกนี่มันภาระฉันจริง ๆ เลย ฯลฯ ทั้งที่เธอก็ทำสุดความสามารถแล้วเท่าที่เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งจะทำได้ สำหรับเธอแล้ว ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่มีวันดีพอสำหรับพวกท่าน เวลาที่จะได้รับคำพูดดี ๆ ด้วยก็แค่ยามที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น พ่อแม่ของเธอจะอ่อนโยนพูดจาไพเราะเป็นผู้ดิบผู้ดีเป็นพิเศษ แต่พออยู่กันลำพังทุกสิ่งอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม บางทีมิถุนาไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไรผิดนักหนา พ่อแม่เคยรักเธอบ้างไหม เธอใช่ลูกจริง ๆ ของพวกท่านหรือเปล่าหรือแค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยง อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกท่านกระทำกับเธอมันเหมือนเจ้านายกับคนรับใช้มากกว่า แต่ก็นั่นแหละ จะพูดอะไรได้ ในเมื่อเธอเป็นลูก พวกท่านเป็นพ่อเป็นแม่ก็ได้แต่ก้มหน้ารับต่อไป ขืนพูดอะไรออกไปก็คงได้กลายเป็นนังเด็กอกกตัญญู ลูกทรพีที่บังอาจต่อล้อต่อเถียงพ่อแม่ผู้มีพระคุณ มิถุนาตั้งใจเรียน เป็นเด็กเรียนดีอันดับต้น ๆ ของชั้นปีมาตลอด แต่เธอก็ยังไม่ฉลาดพอที่จะสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์อย่างที่พ่อแม่ต้องการ เธอโดนด่าเสียไม่มีดีเพราะพลาดโอกาสที่พ่อแม่จะเอาไปคุยโวโอ้อวด ที่เสียหน้ามากกว่าคือลูกของอาจารย์สมิหราในโรงเรียนเดียวกันดันสอบเข้าทันตแพทย์ได้ มันหยามกันสิ้นดี อันที่จริงมิถุนาไม่ได้อยากจะเรียนหมอ เธอกลัวเลือดชนิดที่ว่าเห็นแล้วจะเป็นลม เธอชอบเรียนภาษาอังกฤษ จึงเลือกที่จะสอบเข้าคณะศิลปศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้น ๆ ของประเทศและเธอก็สมหวัง กระนั้นพ่อแม่ก็ยังไม่พอใจ เพราะเงินเดือนพ่อแม่เหลือน้อยจึงส่งให้เธอใช้แค่เดือนละสี่พัน แน่นอนว่ามันไม่พอใช้หรอก แต่มิถุนาก็ดิ้นรนหางานพิเศษทำ ทั้งเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร ทำงานในร้านฟาสต์ฟู้ด รับทำรายงานให้เพื่อน พอขึ้นปีสองก็รับสอนพิเศษให้กับเด็ก ๆ ซึ่งนั่นเป็นโชคดีของเธอที่ทำให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ และพอพ่อกับแม่รู้ว่าเธอหาเงินได้มากก็เริ่มไม่ส่งเงินให้และลำเลิกบุญคุณเอาบ้าง “ พ่อกับแม่เลี้ยงแกมาตั้งแต่เกิด หมดเงินไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เคยคิดบ้างไหม ยิ่งตอนเรียนมหาลัยยิ่งแล้ว ต้องกู้ค่าเทอม ค่ากินค่าอยู่ทุกที มันถึงเวลาแล้วที่แกจะต้องตอบแทนพ่อแม่บ้าง ” นั่นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น เดอะแบก ของนางสาวมิถุนา เธอต้องทั้งเรียน ทั้งรับสอนพิเศษให้มากขึ้น เธอตั้งใจจนกระทั่งจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง โพรไฟล์ดี บวกกับหน้าตาสะสวยจิ้มลิ้ม ผิวขาวอมชมพู ความสูงร้อยเจ็ดสิบกับสัดส่วน 36 – 25 – 38 พ่วงดีกรีดาวคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ โทภาษาญี่ปุ่น มันมีส่วนกรุยทางให้เธอได้งานในตำแหน่งฝ่ายขายของบริษัทเครื่องจักรเครื่องยนต์โรงงานที่มีการร่วมทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่มีฐานผลิตอยู่ในประเทศไทยอันมีชื่อแห่งหนึ่ง เฉพาะเงินเดือนก็ตอนนี้ก็อยู่ที่หกหลัก นอกจากนั้นยังมีค่าคอมมิชชันจากการจำหน่ายสินค้า เครื่องจักรแต่ละชิ้นราคาไม่ใช่น้อย ความสามารถทางภาษาทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น ทำให้นอกจากลูกค้าคนไทยที่เธอจะปิดดีลได้แล้ว ยังติดต่อสื่อสารกับบริษัทต่างประเทศที่สนใจได้อีก ค่าคอมที่เธอได้รับก็มากตามไปด้วย ตอนนี้แหละที่ชีวิตเธอมีความสุขที่สุด ได้มีเงินซื้อข้าวของที่เคยอยากได้ กินของที่เคยอยากกิน ทำงานไปด้วย ลงเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจสาขาการตลาดไปด้วย พ่อแม่พึ่งจะเห็นว่าเธอเป็นคนดีก็ตอนนี้ ตอนที่มีเงินให้พวกท่านถลุงมากขึ้นนี่แหละ คำพูดคำจาของพวกท่านจะอ่อนโยนอบอุ่นขึ้นเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับเงินที่เธอมีให้เท่านั้น ไหนจะเอาไปคุยโวว่าส่งลูกจนเรียนจบโทอีกเล่า ทั้งที่มีแต่เธอที่มุมานะทำงานส่งตัวเองเรียนทั้งนั้น “ อ้าว ยัยจูน มาแล้วเหรอ ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย ” แม่ของเธอที่กำลังสาละวนแกะถุงพัสดุห้าหกถุงที่กองอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาห้องนั่งเล่นอยู่ เงยหน้ามาทักทายลูกสาวแว้บหนึ่งก่อนก้มลงไปเหมือนเดิม “ สวัสดีค่ะแม่ ” เธอกล่าวทักทายพร้อมวางข้าวของพะรุงพะรังในมือบนโต๊ะกินข้าวในห้องนั่งเล่น ก่อนจะเดินมาหยิบรีโมตเบาเสียงโทรทัศน์ลง “ ก็เสียงทีวีมันดังขนาดนี้ แม่จะได้ยินได้ยังไง ขโมยเข้ามายกเค้าก็คงไม่ได้ยินค่ะแบบนี้ แล้วนี่สั่งอะไรมาเยอะแยะคะ ” ถามพร้อมกับกวาดตาลงมองกองพัสดุที่แม่พึ่งจะแกะสำเร็จหนึ่งกล่อง ท่านลุกขึ้นพร้อมกับอวดชุดเดรสผ้าไหมสีฟ้ากรุลูกไม้กรุยกรายแขนตุ๊กตาในมือ “ ก็สั่งชุดน่ะสิ เดือนนี้ลูกครูที่โรงเรียนแต่งงานสอง ลูกศิษย์ขึ้นบ้านใหม่หนึ่ง แล้วฉันก็ไม่มีชุดใส่ไปทำงานแล้วมันก็ต้องซื้อใหม่ ” มิถุนาลอบถอนใจเบา ๆ ไอ้ที่ว่าไม่มีชุดใส่ไปทำงานของแม่นั้น คือตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัวมีทั้งหมดห้าตู้และชุดอะไรต่อมิอะไรเต็มเอี๊ยดไปหมด ถ้าเอาออกมากองด้านนอกก็คงเต็มห้องชนิดไม่มีพื้นที่เดิน บางชุดก็ซื้อแล้วสวมเพียงครั้งสองครั้งก็เบื่อและไม่หยิบขึ้นมาใส่อีกเลย แม่ของเธอมีอาชีพเป็นครู สอนเด็กนักเรียนให้เป็นคนดี รู้จักประหยัดอดออม แต่สิ่งที่สอนนั้นตนเองกลับทำไม่ได้เลย “ สวยมะ ” “ สวยค่ะ ชุดเท่าไหร่คะ ” “ ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่เจ็ดพันกว่าบาท ” “ แพงนะน่ะแม่ ” “ แพงอะไรวะ ชุดผ้าไหมมันก็ราคานี้ คนอื่นเขาตัดกันเป็นหมื่น ๆ ใจคอแกจะให้แม่ใส่ชุดเก่าไปออกงานหรือไง อายเขาตาย ” “ ชุดแม่เยอะแยะ เฉพาะผ้าไหมออกงานมีเป็นสามสิบสี่สิบชุด ใครเขาจะไปจำได้คะ ” “ จำได้สิ ครูคนอื่นก็คอยจับจ้องฉันทั้งนั้นแหละ ไม่ได้หรอก ฉันจะต้องสวยที่สุด เดี๋ยวมันเอาไปเม้ามอยกันทีหลัง ” มิถุนาขี้เกียจจะเถียง เถียงไปก็เท่านั้นไม่มีวันชนะ เลยถามเรื่องอื่นแทน “ แล้วนี่พ่อไปไหนคะ ” “ ไปตีกอล์ฟกับท่านอำเภอคนใหม่ แดดร้อนฉันขี้เกียจไป เออ แกจำยัยพราวด์ลูกครูพิรุณได้ไหม ” “ ใช่ที่ตัวเล็ก ๆ ใส่แว่นไหมคะ ” “ เออนั่นแหละ เขาไปทำงานต่างประเทศนะ อยู่บนเรือสำราญมั้งแล้วได้ผัวฝรั่งเป็นเจ้าของธุรกิจ นี่กลับมาปลูกบ้านให้พ่อแม่หลังเบ้อเริ่ม สไตล์นอร์ดิกสวยเชียว ” เริ่มแล้ว มิถุนาคิดอยู่ในใจ เธอนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะรู้ดีเหลือเกินว่าบทสนทนาต่อไปจะต้องเป็นอะไรที่วกกลับมาที่เธอแน่นอนอยู่แล้ว “ บ้านเรามันก็เก่ามากแล้วนะจูน แกไม่คิดจะซื้อหรือสร้างใหม่ให้พ่อกับแม่บ้างเลยเหรอ ” “ จริง ๆ จูนว่าบ้านเราโครงสร้างก็ยังแข็งแรงดีมากนะคะ ถ้ารีโนเวทสักนิด ปรับปรุงสักหน่อยก็จะสวยขึ้นอีกมากเลย ” “ นี่ใจคอแกจะให้พ่อแม่อยู่บ้านเก่า ๆ นี่ไปจนตายหรือไง ไม่อายเขาเหรอ ” “ ทำไมจะต้องอายใครด้วยล่ะคะ บ้านเราก็ยังดีอยู่ ถ้าทำความสะอาดบ่อย ๆ มันก็น่าอยู่แล้ว อีกอย่างจูนก็พึ่งจะโปะหนี้บ้านไปหมดยังไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ แถมตอนนี้จูนก็ยังต้องส่งรถที่พ่อพึ่งเอามาอีก ทั้งคอนโดอีก ให้จูนได้หายใจหายคอบ้างเถอะค่ะแม่ ” “ ถ้าไม่มีปัญญาหาเองก็รีบแต่งกับตาบดินทร์ไว ๆ ทางนั้นเขาสมบัติเยอะแยะ จะได้ขายที่ขายทางมาปันทางเราบ้าง ” “ นั่นมันสมบัติของทางบ้านเขา มาเกี่ยวอะไรกับเรา ” “ สมบัติผัวก็เหมือนสมบัติเมียนั่นแหละ ตาบดินทร์เขารักแกจะตายไป อ้อน ๆ หน่อยให้ผัวรักผัวหลง ขี้คร้านมีอะไรจะยกให้ทุกอย่าง เร่งให้เขารีบแต่งเข้า ” มิถุนาลอบถอนใจออกมาเบา ๆ แม่ของเธอคิดว่าทุกสิ่งอย่างจะง่ายดายราวกับดีดนิ้วไปเสียหมด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม