2 สัปดาห์ ผ่านไป
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเชื้อสายเอเชีย ภายใต้ชุดสูทลำลองสบายๆ ใบหน้าคมอยู่ภายใต้แว่นกันแดดยี่ห้อดัง แม้เรือนร่างจะปกปิดด้วยเสื้อผ้าลำลองที่แลดูสบายๆ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความสง่างาม อีกทั้งยังองอาจผึ่งผายผู้เป็นเจ้าของร่างนี้ได้
ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเดินไม่มีใครที่ไม่หันมาเหลียวมองเขา และทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขนาดสวมแว่นกันแดดยังมองดูก็รู้ว่าเขาจะหล่อเหลาปานเทพบุตรเพียงใด ถ้าได้เห็นใบหน้าเต็มๆ จะดีกว่านี้หลายเท่าเลยทีเดียว
อลัน แอนเดอร์สัน มหาเศรษฐีหนุ่มบินข้ามทวีปจากสหรัฐอเมริกา มาเพียงลำพังโดยไม่มีบอดี้การ์ดตามอารักขาเขามาด้วย เพื่อให้แผนแนบเนียนและไม่เป็นที่สังเกตของใครต่อใคร ชายหนุ่มเดินทางมาโดยไร้ผู้ติดตามเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เบื้องหน้าของเขา หน่วยคุ้มกันและสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเตรียมไว้ให้กับเขาล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
เพราะในการมาเมืองไทยของเขาในครั้งนี้ เขามาในฐานะ เจตน์ เดชวโรดม ไม่ใช่มหาเศรษฐีหนุ่ม อลัน แอนเดอร์สัน เขาตั้งใจกลับมาเพื่อทำในสิ่งที่เขาได้ให้สัญญาไว้กับน้องชายฝาแฝดที่ล่วงลับไปแล้ว รวมไปถึงกลับมาเพื่อช่วยเหลือบิดาแท้ๆ ของเขา
ดวงตาสีสนิมเหล็กคมกล้า มองทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา นี่คือเมืองไทย แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดของเขาและมารดาของเขา และเขาบินกลับมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกในชีวิต ทันทีที่ได้เหยียบผืนแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิด โชคชะตาที่ถูกฟ้าลิขิตเอาไว้ ก็พลันบังเกิดขึ้น
โครม! ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม เซเล็กน้อยเมื่อถูกหญิงสาวปริศนาท่าทางรีบร้อนเดินชนเข้าอย่างจัง จนตัวเธอล้มลงไปกองกับพื้น กระเป๋าเดินทางที่เธอลากมาล้มลงไปที่พื้นจนข้าวของสัมภาระภายในกระจายเกลื่อนออกมาอยู่ด้านนอกเต็มพื้นไปหมด
“คุณเป็นอะไรไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมทรุดกายก้มลงช่วยเก็บของให้กับหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังสาละวนเก็บของอย่างจ้าละหวั่น
“หนูไม่เป็นไรค่ะคุณอา หนูต้องขอโทษด้วยค่ะที่ไม่ระวังเดินชนคุณอาจนเกิดเรื่อง” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือไหว้ชายหนุ่มที่เธอเดินชน โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเพราะง่วนแต่เก็บของ
มหาเศรษฐีหนุ่มหยุดชะงักทันทีเมื่อเขาถูกหญิงสาวตรงหน้ายกมือไหว้อย่างสวยงาม พร้อมเรียกเขาว่าอา เล่นเอาเศรษฐีหนุ่มเกิดอาการกลัวความแก่ขึ้นมาสะดื้อๆ
“เอ่อ...ไม่ต้องเรียกผมว่าอาหรอก ผมยังไม่แก่อะไรมากมายขนาดนั้น เดี๋ยวผมช่วยเก็บครับ...” ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นทันที ก่อนจะละมือกดรับสายสนทนา
“ท่านครับทีมอารักขากำลังนำรถมาจอดเทียบตรงประตูทางออกผู้โดยสารแล้วครับ” เสียงจากปลายสายเอ่ยบอกเขา
“มาถึงจอดรถรอฉันสักครู่” ชายหนุ่มกล่าวกับปลายสายก่อนจะหันกลับมาเพื่อช่วยเก็บของให้กับหญิงสาวตรงหน้าต่อ
“อ้าว! ไปไหนสะแล้วล่ะ” อลันบ่นพึมพำเมื่อหันกลับมาพบกับความว่างเปล่า ครั้นทอดสายตามองไปยังประตูผู้โดยสารขาออกข้างหน้า เห็นร่างบางของหญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไม่ไกลจากจุดเดิมเท่าไรนัก
“สงสัยจะมีเรื่องด่วน ท่าทางรีบร้อนน่าดู” ชายหนุ่มเอ่ยพลางส่ายหน้าไปมา สายตายังคงมองตามร่างของหญิงสาวร่างบางตรงหน้าจนลับหายไปจากประตูทางออก ก่อนจะก้าวเดินตรงไปประตูทางออกของอาคาร
พรืดดด มีสิ่งของบางอย่างอยู่ใต้รองเท้าของเขาซึ่งกำลังถูกเขาเหยียบ และด้วยพื้นกระเบื้องที่ลื่นทำให้สิ่งที่อยู่ใต้รองเท้าเขาเกือบทำให้ร่างสูงลื่นไถล
ร่างของชายหนุ่มเกือบลื่นล้มอีกครั้ง ดีที่ว่าทรงตัวได้ดีก่อนจะหยุดก้าวเดิน พร้อมยกเท้าออกจากสิ่งที่เขากำลังเหยียบอยู่ในขณะนี้ และทันทีที่เขาเห็นสิ่งที่เขาเหยียบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที
“ใครทิ้งอะไรไว้!” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ พร้อมก้มตัวลงเพื่อหยิบกระดาษตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาเกือบลื่นล้มขึ้นมาพิจารณา
“ออ...ที่แท้ก็รูปถ่าย” อลันบ่นพึมพำพร้อมค่อยๆ พลิกกระดาษซึ่งคล้ายกับกระดาษถ่ายรูป ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ และทันทีที่เขาเห็นภาพถ่ายตรงหน้า
“ผู้หญิง!” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ ได้เพียงแค่นั้น เสียงของเขาก็หายไปเฉยๆ เมื่อภาพถ่ายของผู้หญิงตรงหน้าสะกดเขาให้ยืนอยู่กับที่
ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นภาพถ่ายขาวดำ ภาพที่สะกดมหาเศรษฐีหนุ่มตรงหน้า เป็นภาพถ่ายของหญิงสาวแสนสวย ในชุดไทยโบราณ ห่มสไบ ดวงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต ริมฝีปากหยักได้รูปสวย ผมดำยาวจนถึงเอว รูปร่างสูงโปร่ง บางอรชร เธองดงามดั่งเช่นนางในวรรณคดี และเขาก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนมีลักษณะแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“สวย! สวยมาก!” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ ด้วยความตกตะลึงในความงามผู้เป็นเจ้าของภาพถ่ายนั้น
“สวยเหมือนนางฟ้าแบบนี้ ไม่มีปรากฏบนโลกแน่นอนพี่ชาย” เสียงเย็นๆ เอ่ยข้างๆ หูของชายหนุ่ม ทำให้อลันตื่นจากภวังค์ทันที
เฮ้ย!!!! อลันส่งเสียงออกมาค่อนข้างดังด้วยอารามตกใจผสมความดีใจคละเคล้ากัน พร้อมเอ่ยสำทับขึ้นอีกครั้งเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาอยู่ในขณะนี้
“เจตน์! นี่แกได้กลับมาพร้อมกับพี่แล้วจริงๆ ด้วย ดีใจนะเนี่ย ว่าแต่แกมากระซิบข้างหูพี่ทำไม มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ รู้ไหมว่าฉันตกใจมากแค่ไหน” ชายหนุ่มเอ็ดเสียงเขียวขึ้นมาทันที พร้อมหมุนวนรอบตัวเองประหนึ่งกำลังหาใครอยู่ ว่าแต่เขากำลังดุใครอย่างนั้นเหรอ
ทันทีที่อลันเอ่ยออกมาเช่นนั้น ร่างโปร่งแสงของชายหนุ่มร่างหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเขาทันที และร่างนั้นก็เหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน
แวบบบ ดวงวิญญาณของเจตน์ปรากฏกายขึ้นทันที ดวงวิญญาณของชายหนุ่มมาในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตสุดเท่อย่าบอกใครเชียว หล่อเหมือนพี่ชายไม่มีผิด แตกต่างตรงกันที่ตัวเล็กกว่าและบางกว่าเท่านั้นเอง
“แหม! ผมดีใจที่พี่อลันมาถึงเมืองไทยและพาผมมาด้วย ไม่ปล่อยผมทิ้งไว้ที่อเมริกา เราเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันใช่ไหมล่ะครับพี่ชาย” เสียงวิญญาณของน้องชายฝาแฝดตอบหน้าทะเล้นกลับไป
“ถ้าแกหน้าไม่เหมือนฉัน และเป็นน้องชายฝาแฝดของฉัน และเป็นเพราะฉันไม่กลัวผี ฉันก็คงไม่เชื่อหรอกว่าผี หรือวิญญาณมีอยู่จริง และฉันให้สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไงฉันต้องพาแกกลับเมืองไทยให้ได้”พี่ชายพูดพร้อมยกยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แต่เราก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่า แกจะปรากฏกายควรจะให้สุ้มให้เสียงหรือบอกกันล่วงหน้ากันบ้าง จู่ๆ แกออกมาแบบนี้ ใครเขาเห็นเขาจะพากันคิดว่าฉันเหมือนคนบ้าพูดอยู่คนเดียว แกรู้บ้างหรือเปล่า” พี่ชายบ่นพึมพำ คำกล่าวของเขาทำให้น้องชายฝาแฝดถึงกับหัวเราะออกมาทันที
“ไม่ทันแล้วล่ะพี่ชาย ตอนนี้รอบๆ ตัวพี่ เขาคิดว่าพี่กำลังยืนพูดอยู่คนเดียวแล้วล่ะ ลองหันกลับไปสำรวจรอบตัวสิแล้วจะรู้ว่าตอนนี้พี่เป็นอย่างไง”
สิ้นเสียงกล่าวของน้องชายฝาแฝด อลันหันกลับไปมองรอบๆ ตัวของเขาทันที และเขาก็พบว่าตอนนี้เขาเป็นจุดสนใจของผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาภายในท่าอากาศยาน เพราะหนุ่มหล่อ มาดเท่ หน้าตาดี้ดี กำลังยืนพูดบ่นอยู่คนเดียวเป็นนานสองนาน ทำให้อลันต้องแก้สถานการณ์โดยด่วน
“แหะ แหะ! ไม่มีอะไรครับ คือผมกำลังซ้อมบทละครเวทีนะครับ กำลังอิน กลัวลืม มีบทต้องยืนพูดคนเดียวในสนามบินด้วย ก็เลยขอซ้อมสักหน่อยกันเหนียวครับ กันเหนียว” ชายหนุ่ม พูดพลางรีบก้าวเดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ในขณะนั้นทันที เพื่อให้พ้นจากสายตาของใครต่อใครภายในท่าอากาศยาน และไม่วายเรียกน้องชายฝาแฝดของเขาไปด้วย
“ไปกันได้แล้วเจตน์!”
“ครับ...พี่ชาย” เสียงเย็นยะเยือกลอยตามร่างของอลันไปติดๆ
คฤหาสน์หรูใจกลางเมือง
ร่างสูงใหญ่ของอลันกำลังยืนสำรวจคฤหาสน์หรูที่เขาสั่งให้พ่อบ้านประจำตระกูลแอนเดอร์สัน และเจนิเฟอร์ เลขาคนสนิทของเขาเป็นธุระจัดหาที่พักและเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แต่จะว่าไปแล้วนี่ไม่ใช่ที่พักชั่วคราวธรรมดาเสียแล้วกระมัง เพราะราคาของคฤหาสน์หลังงามนี้ปาเข้าไป 500 กว่าล้านบาทเลยทีเดียว
ไม่นับรวมกับรถยนต์คันหรูราคาแพงลิบซึ่งมีถึง 10 คัน จอดอยู่ภายในคฤหาสน์หลังงามเพื่อรับใช้เจ้านาย และคนรับใช้ กว่า 15 ชีวิต ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี และจัดส่งมาที่คฤหาสน์หลังงามด้วยฝีมือการเลือกสรรจากพ่อบ้านประจำตระกูลแอนเดอร์สัน เพื่อคอยรับใช้คุณหนูอลัน ซึ่งเป็นเจ้านายของเขา
ชายหนุ่มเดินสำรวจคฤหาสน์หรูด้วยความพึงพอใจ จนกระทั่งถึงห้องนอนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องนอนสำหรับเขา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขปลายทางคือ อเมริกา ต่อสายตรงเพื่อพูดคุยกับสายปลายทางทันที แล้วทำไมหนอชายหนุ่มต้องลงทุนซื้อคฤหาสน์หลังงามมูลค่าหลายร้อยล้าน รวมไปถึงอื่นๆ อีกมากมายขนาดนี้กันเล่า
“อืมม! โอเค ใช้ได้ ฉันพอใจมากลุงพอล แล้วเอกสารเกี่ยวกับการซื้อหุ้นทั้งหมดในประเทศไทย เร่งจัดการให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะถึงวันประชุมล่วงหน้าสัก 2-3 วันก็จะดี ฉันจะได้มีเวลาตรวจสอบเอกสารสำคัญๆ ให้ครบก่อนจะเข้าประชุม ทางโน้นลุงอยู่ดูแลแทนฉันให้ดีด้วยนะ และรายงานความคืบหน้าทุกระยะ” ชายหนุ่มสั่งการข้ามทวีปผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะกดปิดตัดสายสนทนา
มือหนายกขึ้นกอดอก ยืนมองลอดหน้าต่างจากห้องนอนใหญ่ของเขา มองเห็นสนามหญ้าเขียวขจี ตัดแต่งสวนเป็นอย่างดี เนื้อที่สวนภายในบ้านออกแบบได้อย่างร่มรื่นและน่าอยู่ เขามีความสุขมากที่ได้กลับมาเมืองไทย แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้เขาจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าจะมีบ้านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่เพื่อน้องชายและพ่อแท้ๆ ของเขา เขาต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์อันเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับครอบครัวทางเมืองไทยของเขาให้ได้ แต่จะว่าไปแล้วตอนนี้เขาไม่เหลือใครอีกเลย นอกจากพ่อแท้ๆ ของเขาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล
“เหงาเหรอพี่ชาย” เสียงเย็นยะเยือกๆ เอ่ยถามอยู่ด้านหลังของเขาเบาๆ
เฮ้ย! ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวทันที เมื่อจู่ๆ เสียงวิญญาณของน้องชายฝาแฝดก็ดังขึ้นมา
“โธ่! เอาสักทีดีไหมวะ...บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ตกใจหมด” ชายหนุ่มเอ่ยต่อว่าวิญญาณของน้องชาย ก่อนจะเห็นร่างโปร่งแสงของน้องชายปรากฏกายขึ้น
“แหะๆ เห็นพี่ชายดูเหงาๆ ก็เลยอยากปลอบใจ อย่าโกรธผมเลยพี่ชาย อย่าโกรธน้องชายคนนี้เลยนะ” น้องชายฝาแฝดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ฟังแล้วช่างสงสารเสียนี่กระไร เล่นเอาพี่ชายสงสารน้องชายฝาแฝดจนจับขั้วหัวใจ พร้อมก้าวเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ตรงหน้า
“ฉันไม่เคยโกรธแกเลยไอ้น้องชาย ตรงกันข้ามฉันรักแกมากและสงสารแกมาก ทำไมเราสองคนพี่น้องจะต้องพบกันในสภาพแบบนี้ แกต้องมาตายก่อนที่จะได้พบกับพี่ แถมแกก็ไม่รู้เรื่องอีกว่าใครกันแน่เป็นคนฆ่าแก และก็ไม่เชื่อเลยว่าพอแกตายไป พี่กับแกกลับต้องมาเจอหน้ากันโดยที่พี่เป็นคน แต่แกกลับต้องเป็นผีแบบนี้”
อลัน กล่าวกับน้องชายด้วยความหดหู่ใจ เมื่อย้อนนึกถึงวันที่เขาพบกับวิญญาณของน้องชายฝาแฝดเป็นครั้งแรก และทำให้เขาเชื่อแล้วว่าผีหรือวิญญาณมีอยู่จริงไม่ใช่เรื่องตลกร้ายกาจดั่งที่เขาเคยคิด
ย้อนกลับไปวันที่เจตน์ตาย
บริเวณห้องโถงชั้นปฏิบัติการพิเศษ
เฮ้ย!... อลันอุทานออกมาทันทีเขาถึงกับผงะเมื่อสายตาของเขามองเห็นร่างสูงของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยความตกใจ
“พี่ชายยยยยย” เสียงเย็นยะเยือกกล่าวกับมหาเศรษฐีหนุ่มที่กำลังนั่งจ้องมองใบหน้าขาวซีด ด้วยอาการตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ร่างสูงโปร่งตรงหน้า ที่มีหน้าตาถอดพิมพ์เดียวกับมหาเศรษฐีหนุ่ม ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอลันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ดวงตาที่กำลังจ้องมองช่างแสนเศร้า ทั่วทั้งร่างเปียกปอนไปหมด
“เจตน์! เจตน์ยังไม่ตาย แกยังไม่ตาย” อลันเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจพร้อมลุกขึ้นตรงเข้าสวมกอดน้องชายฝาแฝดของเขาทันที
หวืดดดดด กอดแล้ววืดไปเลย มีแต่ความว่างเปล่า ร่างหนาไม่ทันระวังตัวโถมเข้ากอดร่างโปร่งแสงตรงหน้า เล่นเอาร่างสูงของชายหนุ่มหัวคะมำลงไปกับเก้าอี้รับแขกฝั่งตรงกันข้ามทันที ทำเอาพี่ชายฝาแฝดถึงกับนั่งงงไปชั่วขณะจิต
“อะไรกันเนี่ย!” อลันเอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ
“พี่ชายยยย...ในที่สุดผมก็ได้พบกับพี่จนได้” เสียงน้องชายฝาแฝดเอ่ยบอกเสียงเย็นยะเยือก
อลันนั่งนิ่งงันไม่ขยับกายแม้แต่น้อย ร่างที่อยู่ตรงหน้าของเขาในขณะนี้แท้จริงแล้วเป็นผีหรือเป็นคนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ร่างตรงหน้าคือน้องชายฝาแฝดของเขาแน่นอน ในขณะที่เขากำลังนั่งงงงันกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น นางพยาบาลที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกำลังเดินตรงเข้ามาถามไถ่อาการ
“คุณแอนเดอร์สันมีอะไรให้ช่วยไหมคะ มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นหรือคะ” นางพยาบาลสาวเอ่ยถามไถ่อาการมหาเศรษฐีหนุ่มตรงหน้า
ทันทีที่เขาถูกนางพยาบาลถามไถ่อาการ อลันรีบลุกขึ้นยืนพร้อมสูดอากาศหายใจเข้าปอด และยิงคำถามที่เขาต้องการอยากรู้ให้แน่ชัด
“เอ่อ...คุณพยาบาล ผมอยากถามอะไรคุณสักหน่อย คือ...คือ...คุณเห็นผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกับผมยืนอยู่ตรงข้ามผมตอนนี้ไหม คือคุณเห็นฝาแฝดของผมหรือเปล่า เอาง่ายๆ คุณเห็นหรือเปล่า ผมอยากรู้แค่นี้ช่วยตอบคำถามผมด้วยเพื่อความแน่ใจบางอย่างของผม”
“เห็นค่ะ ก็คุณแอนเดอร์สันกำลังยืนอยู่ตรงนี้อย่างไงล่ะคะ ส่วนน้องชายฝาแฝดของคุณนั่นไงคะ เจ้าหน้าที่กำลังเข็นออกมาจากห้องปฏิบัติการพิเศษ กำลังจะเอาร่างไปเก็บไว้ที่ห้องปฏิบัติการทางเคมีค่ะ โน้นไงคะเข็นออกมาแล้ว” นางพยาบาลพูดพร้อมชี้ไปทางรถเข็นที่กำลังเข็นออกมาจากห้องปฏิบัติการพิเศษ
ร่างไร้วิญญาณของน้องชายฝาแฝด ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงหน้าอกด้านบน เผยให้เห็นส่วนบนตั้งแต่หน้าอกท่อนบนขึ้นไป ใบหน้ายังคงขาวซีดไร้สิ้นสีเลือดเจือจางอยู่เช่นเดิม
เอื้อก อลันยืนกลืนน้ำลายลงคอ สายตาค่อยๆ เหลือบไปมองร่างโปร่งแสงตรงหน้าเขาที่ยังคงยืนอยู่เช่นนั้นไม่ยอมไปไหน สิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ตรงหน้าคือวิญญาณของน้องชายฝาแฝดของเขาอย่างนั้นเหรอ ชายหนุ่มยืนนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อนเป็นอีกคำรบสอง พร้อมกับเสียงของนางพยาบาลเอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณแอนเดอร์สันไม่ได้เป็นอะไร ดิฉันจะไปเตรียมความพร้อมของห้องผ่าตัดให้ค่ะ”
“โอเค! คุณไปเถอะผมไม่ได้เป็นอะไร ผมคงจะตาฝาดเพราะคิดถึงน้องชายของผมมากไป” อลันเอ่ยบอกเบาๆ แต่สายตาของเขาจ้องมองร่างโปร่งแสงตรงหน้าแทบจะไม่กะพริบตา
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือวิญญาณน้องชายฝาแฝดของเขาแน่นอน อาการตกใจและอาการงุนงงค่อยๆ เลือนหายไป แต่ความดีใจเข้ามาแทนที่เมื่อสิ่งที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้คือดวงวิญญาณของน้องชายฝาแฝด และเพราะเขาไม่ได้เป็นคนที่กลัวผี ความกลัวจึงไม่มีแต่ความตกใจ ความแปลกใจ เพราะความงุนงงมีมากกว่า
“เจตน์! นี่คือวิญญาณของแกใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามน้องชายฝาแฝด
ดวงวิญญาณพยักหน้ารับติดๆ กัน ด้วยความเศร้าสร้อย ดวงวิญญาณค่อยๆ ก้าวมาหาพี่ชายฝาแฝดช้าๆ พร้อมเอ่ยระบายความในใจ
“พี่ชายอย่ากลัวผมเลย ผมเดินทางมาหาพี่เพื่อให้พี่ช่วยเหลือ แต่ก็มาโดนใครก็ไม่รู้ฆ่าตายก่อนจะได้พบกับพี่ ผมมาตายไกลบ้าน วิญญาณก็เลยไม่ได้ไปไหน จิตสุดท้ายก่อนตายคือร้องขอความช่วยเหลือให้พี่ชายมาช่วยผม อยากไปหาพี่ชายแต่ก็ไม่สามารถไปพบได้อีก แต่ผมดีใจที่พี่มองเห็นวิญญาณของผมและสื่อสารกับผมได้” น้องชายฝาแฝดเอ่ยบอกพี่ชาย ทำให้คนเป็นพี่สงสารน้องชายฝาแฝดเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“นั่งคุยกันเจตน์ เราเป็นพี่น้องกัน พี่ไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้ พี่ไม่กลัวแกหรอกแค่ตกใจเฉยๆ นึกว่าแกฟื้นมาจากความตายได้ ถ้าแกฟื้นขึ้นมาได้ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก แต่ถึงแม้แกจะไม่ฟื้นขึ้นมาแค่พี่ได้เห็นแกและได้พูดคุยก็พี่ดีใจมากที่สุด ว่าแต่ทำไมวิญญาณแกถึงเปียกน้ำตลอดเวลาแบบนี้” อลันเอ่ยถามวิญญาณน้องชายฝาแฝดด้วยความสงสัย
“ก็ผมตายในน้ำ สภาพตอนตายเป็นอย่างไงวิญญาณก็เลยเป็นแบบนี้” วิญญาณน้องชายฝาแฝดเอ่ยตอบกลับไป
“ออ...แล้วพี่จะทำอย่างไงถึงจะให้แกมาสภาพปกติไม่ต้องเปียกแบบนี้ และมาในสภาพที่ใกล้เคียงกับคนที่สุด บอกตรงๆ มาแบบนี้ไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเลยวะไอ้น้องชาย มันทำให้พี่หดหู่บอกไม่ถูก” อลันเอ่ยบอกตามความรู้สึกของเขา ซึ่งทำให้วิญญาณของน้องชายฝาแฝดยิ้มเยือนออกมาได้
“เออ...ยิ้มแล้วค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย เมื่อกี้บอกตรงๆ ทั้งเศร้าทั้งหดหู่ไปหมด” อลันพูดพร้อมมองวิญญาณน้องชายฝาแฝดด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ ยิ่งมองยิ่งสะเทือนใจ เหมือนมองตัวเองไม่ผิดก่อนจะได้ยินเสียงเย็นๆ ของดวงวิญญาณน้องชายเอ่ยตอบกลับมา
“พี่ชายทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผม จัดหาเสื้อผ้าชุดใหม่และผ้าเช็ดตัวให้ผมหน่อย ผมจะได้เช็ดตัวและมีเสื้อผ้าใหม่เปลี่ยน สิ่งที่พี่คิดว่าจำเป็นพี่ก็สามารถทำบุญไปให้ผมได้ ผมเพิ่งตายปกติทางเมืองไทยจะมีพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่ส่งวิญญาณให้ไปภพภูมิที่ดี”
ครั้นคนเป็นพี่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยเพราะไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมนี้แม้แต่น้อย
“คืออะไรอย่างนั้นเหรอ พิธีกรรมที่สามารถสางวิญญาณให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้”อลันถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนอยากรู้
“พิธีกรรมนี้ก็คือตอนที่คนตายวันแรกให้ญาติซื้อสังฆทานทั้งหมด 9 ชุด พร้อมด้วยแผ่นเหรียญทองคือแผ่นทองคำเปลว 9 ชุด ไปถวายให้กับพระสงฆ์เพื่อสวดส่งวิญญาณให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี และให้ซื้อสังฆทานอีก 1 ชุดพร้อมเหรียญทองหรือแผ่นทองคำเปลว 1 ชุด อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของผม แล้วผมจะกลับมาหาพี่ในอีกแบบที่พี่คาดไม่ถึง”
ดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝดเอ่ยบอกเสียยืดยาว จนทำให้พี่ชายฝาแฝดออกอาการมึนกับสิ่งที่ต้องกระทำต่อจากนี้
“ดูเหมือนแกจะเข้าใจพิธีกรรมทางพุทธศาสนามากเลยนะไอ้น้องชาย” อลันเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“ก็เป็นธรรมดาเราเป็นชาวพุทธ อีกอย่างผมบวชตอบแทนพระคุณของคุณพ่อและคุณแม่แล้วครับพี่ชาย ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเห็นหน้าคุณแม่ท่านก็ตาม แต่ผมทราบจากคุณพ่อแล้วว่าท่านจากโลกนี้ไปนานแล้วตั้งแต่ผมกับพี่ชายอายุได้เพียง 2 ขวบ ผมก็เลยพอจะรู้ขั้นตอนพิธีกรรมของชาวพุทธ” ดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝดเอ่ยบอกพี่ชายกลับไป
คำกล่าวของดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝดทำให้ อลันซึ่งเขาก็คือคนไทยเหมือนกันฉุกคิดได้ว่า เขายังไม่เคยบวช เป็นเพราะอยู่ต่างประเทศ เติบโตอยู่ในประเทศมหาอำนาจและเป็นเพราะเติบใหญ่ในต่างแดน แต่ถึงกระนั้นเขาก็นับถือศาสนาพุทธตามคุณแม่ของเขา ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ตามบิดาบุญธรรมของเขาแต่อย่างใด ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ยตอบกลับไป
“พี่จะทำตามที่แกบอกให้ครบทุกอย่างไม่ต้องห่วง แต่สัญญากับพี่อย่างหนึ่งว่าเวลาจะมาปรากฏกาย ให้สัญญาณเตือนล่วงหน้ากันหน่อย หรือบอกกันก่อน จู่ๆ ก็ออกมา ขอใช้เวลาสักพักจะได้คุ้นเคยกับการมาของแกก่อน พี่จะได้ดูไม่เหมือนกับคนบ้า เพราะพูดอยู่คนเดียว เข้าใจตรงกันนะไอ้น้องชาย”
“ครับพี่ชาย” ดวงวิญญาณของเจตน์ขานรับน้ำเสียงเย็นยะเยือก ใบหน้าที่แสนเศร้าปรากฏรอยยิ้มด้วยความดีใจ จนอลันสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเหรอที่เห็นดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝด ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่เห็นเพราะอะไรกันเล่า