ปานฤทัยเดินมาถึงบันไดบ้านด้วยการประคองของฮอมกับผ้าย หญิงสาวมองขั้นบันไดแล้วได้แต่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนลงไปถึงพื้นดินได้ โดยที่หน้าไม่คะมำเสียก่อน
ครั้นพอเธอมองลงไปที่เชิงบันได เห็นสิงห์คำกำลังใช้ดาบเคาะสีข้างของก๋องแล้วบุ้ยหน้าให้ถอยห่างจากบันได ก๋องเหมือนเพิ่งรู้ตัวจึงเดินค้อมตัวลงต่ำไปยืนอยู่หลังนายของตน
"จักไปที่ใดกันรึ" เขาถามเสียงเข้ม
ปานฤทัยเห็นว่าตอนนี้สิงห์คำถอดเสื้อออกแล้ว เธอถึงเพิ่งรู้ว่ารูปร่างของเขาดูบึกบึนไม่น้อยเลย เขาสวมเพียงโจงกระเบนแบบสั้นที่รั้งขึ้นไปจนถึงโคนขา อวดรอยสักที่เต็มพรืดไปตั้งแต่หัวเข่าจนเกือบถึงบั้นเอว ทำให้เธอพอจะคาดเดาได้ว่าผู้ชายที่นี่คงนิยมสักที่ขากันกระมัง
พลันนั้นเธออดนึกถึงผู้ชายในความฝันคนนั้นไม่ได้ แต่ลึก ๆ แล้วความรู้สึกของเธอกลับบอกว่าคนที่เธอฝันถึงกับสิงห์คำนั้นเป็นคนละคนกัน
"พาแม่หญิงไปที่ต๊อมอาบน้ำเจ้าค่ะ" ฮอมเป็นฝ่ายตอบ
"แล้วนี่จะลงบันไดยังไงดีเนี่ย คุณพระคะ เอ๊ย คุณพระเจ้าคะ ถ้าฉันร่วงตกบันไดคุณพระต้องคอยรับฉันนะ" ปานฤทัยพูดเสียงใส แต่ชายหนุ่มกลับขมวดคิ้วมุ่นทันทีพร้อมกับพูดเสียงดุ
"ข้าจักทำได้เยี่ยงไร"
"เอ๊า ก็ที่ขาฉันต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะวิ่งหนีคุณพระนะ คุณพระต้องรับผิดชอบสิ"
"ข้าบอกให้เอ็งมิต้องหนี เอ็งหนีทำไมเล่า" น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็ยังไร้รอยยิ้มเช่นเคย
"ไม่หนีได้ยังไง คุณพระเล่นถือดาบไล่ล่าฉันเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น ใครเขาจะยืนให้ฟันอยู่กับที่เล่า" หญิงสาวค้อนให้เขาวงโต เธอก้มมองขั้นบันไดอีกครั้งแล้วหันไปพูดกับบ่าวทั้งสองคนว่า
"นั่งถัดบันไดลงไปทีละขั้นก็แล้วกันเนอะ" พูดจบเธอก็ค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนบันไดขั้นบนสุดแล้วไถตัวลงถัดบันไดไปทีละขั้นจนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย เห็นรองเท้าคัตชูของตัวเองวางอยู่จึงเพิ่งนึกได้ว่าตนไม่มีรองเท้าแตะสำหรับใส่อาบน้ำ เพราะขืนใส่คู่นี้อาบ พรุ่งนี้ยางคงเสื่อมสภาพแน่ รองเท้าของเธอราคาแค่สองร้อยห้าสิบบาท คุณภาพไม่ได้ดีเลิศอะไร จึงเงยหน้าถามสิงห์คำว่า
"มีรองเท้าแตะให้ยืมไหมคะ"
ทุกคนมีสีหน้างุนงงทันทีที่ปานฤทัยพูดจบ หญิงสาวจึงเลือกใช้คำใหม่ที่คิดว่าคนที่นี่น่าจะฟังรู้เรื่องไปด้วย
"เกือกน่ะ มีเกือกให้ยืมไหม" เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้ง ๆ ให้สิงห์คำ ชายหนุ่มจึงผินมองไปทางบ่าวคนสนิทที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของตน
"ไอ้ก๋อง" สิงห์คำบุ้ยหน้ามาทางเธอ ก๋องจึงรีบพูดว่า
"กระผมจักไปหยิบมาให้ขอรับ" พูดจบก็วิ่งจากไป ปานฤทัยจึงเพิ่งสังเกตว่าบ่าวไพร่ที่นี่ทุกคนจะไม่สวมรองเท้า แม้กระทั่งสิงห์คำก็ไม่สวม เธอจึงพยายามนึกถึงตอนที่ตนเดินตามเขามาที่บ้านหลังนี้ จำได้ว่าตอนนั้นเขาสวมรองเท้าอยู่ จึงเดาเอาว่าคนที่นี่จะใส่รองเท้าเฉพาะเวลาไปทำงาน หรือมีงานสำคัญกระมัง
คิดแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ เธอเคยอ่านนิยาย เคยดูละครย้อนเวลาทั้งหลายแหล่ ตัวเอกมีแต่คนที่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กันทั้งนั้น แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเพราะเรียนจบก็เอาความรู้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว แม้กระทั่งเชียงสานครแห่งนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าอยู่ในยุคไหนหรือสมัยไหน ทั้งยังไม่เคยได้ยินผ่านหูเลยด้วยซ้ำ
รอไม่นานนักก๋องก็วิ่งมาพร้อมกับรองเท้าคู่หนึ่ง เป็นรองเท้าไม้แบบหนีบซึ่งตรงที่หนีบนั้นเป็นเชือกป่าน ดูไปแล้วคล้ายกับเกี๊ยะของคนจีน ก๋องกระวีกระวาดเดินค้อมตัวลงต่ำเอามาวางไว้ให้ปานฤทัยอย่างนอบน้อม
"ใส่ของไอ้ก๋องไปก่อน แล้ววันพรุ่งข้าจักให้คนไปซื้อมาให้"
สิงห์คำพูดพลางมองบ่าวทั้งสองคนที่ประคองเธอมา ทั้งสองคนจึงทำท่าจะเข้ามาใส่รองเท้าให้ ปานฤทัยจึงรีบปฏิเสธ
"ไม่เป็นไร ๆ ไม่ต้องใส่ให้หรอก ฉันใส่เองได้"
ปานฤทัยได้แต่กลอกตา ผู้ชายคนนี้คงนึกว่าเธอมาจากดินแดนแปลกประหลาดที่แม้แต่รองเท้าแตะยังใส่ไม่เป็นกระมัง
หญิงสาวใส่แล้วลองยืนดูแต่ยังไม่กล้าลงน้ำหนักที่เท้าซ้ายมากนัก แต่ไม่รู้เป็นเพราะพื้นของรองเท้าที่เป็นไม้มันไม่มีแผ่นยางรองเอาไว้หรือเปล่า เวลาเดินจึงค่อนข้างลำบากพอสมควร
ทันใดนั้นพลันมีลมสายหนึ่งพัดผ่านตัวปานฤทัยไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้บ่าวหญิงทั้งสองคนปล่อยมือจากตัวเธอแล้วกระเด็นห่างออกไปหลายช่วงแขน เมื่อไม่มีคนประคองทั้งยังถูกลมแรงพัดเข้าใส่ ปานฤทัยจึงหงายหลังแทบล้มทั้งยืน หญิงสาวยังไม่ทันได้หวีดร้อง ร่างของเธอก็ถูกใครบางคนช้อนอุ้มเอาไว้เสียก่อนพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้อง
"ไอ้ก๋อง!"
"ขอรับ!" ก๋องขานรับแล้วรีบวิ่งตามลมสายนั้นไปในทันใด
ปานฤทัยถูกสิงห์คำอุ้มมาวางไว้ตรงขั้นบันไดที่เดิม จากนั้นเขาตะโกนเรียกบ่าวไพร่คนอื่นเสียงดังลั่น
เมื่อเห็นสิงห์คำทำท่าจะผละไป ปานฤทัยจึงรีบคว้าข้อมือของเขาไว้แล้วถามด้วยความตื่นตระหนก เพราะตอนนี้บ่าวหญิงทั้งสองคนนอนสลบอยู่ที่พื้นไปแล้ว
"คุณพระ! เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้มันคืออะไร"
สิงห์คำก้มมองข้อมือของตนที่เธอจับเอาไว้แต่ไม่พูดอะไร ครั้นพอบ่าวไพร่มาถึง แต่ละคนเมื่อมองเห็นผู้เป็นนายกับหญิงสาวต่างถิ่น ต่างก็พากันรีบก้มหน้างุดไม่กล้ามอง ส่วนบางคนรีบเข้าไปประคองคนที่นอนสลบบนพื้น เมื่อเห็นบ่าวไพร่มองอยู่ สิงห์คำจึงเบี่ยงมือของตนออกไปเบา ๆ แล้วหันไปบอกกับบ่าวไพร่ที่มาใหม่ว่า
"ประคองแม่หญิงขึ้นเรือน อย่าให้ลงมาอีกเป็นอันขาด กูจักไปตามผีลม"
"ผีลม!" ปานฤทัยเบิกตากว้าง ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินว่ามีผีชนิดนี้ด้วย
ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ร่างของเธอก็ลอยหวือขึ้นอีกครั้ง ด้วยความตกใจหญิงสาวจึงเผลอใช้แขนโอบรอบคอของคนที่เข้ามาอุ้มเธออย่างกะทันหันเอาไว้ทันที ครั้นพอหันไปมองบ่าวไพร่ ทุกคนต่างอ้าปากค้างกันไปแล้ว
สิงห์คำอุ้มปานฤทัยมาส่งถึงห้อง และวางเธอให้นั่งอยู่ริมเตียง จากนั้นผลุนผลันออกไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พอเขาออกจากห้องไป บ่าวไพร่อีกสองคนก็เดินตามเข้ามาทั้งยังมองเธอแปลก ๆ อีกด้วย
"ผีลมคืออะไรหรือ บอกหน่อยสิ ฉันอยากรู้" ปานฤทัยจับแขนบ่าวคนหนึ่งเอาไว้แล้วเขย่าเบา ๆ