เธอช้อนตามองสิงห์คำ เห็นชายหนุ่มมองเธออยู่ก่อนแล้วแต่เขารีบผินหน้าเสมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากคุยกับเธอนัก เธอจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
รอไม่นานนัก แม่หล้าเดินขึ้นเรือนพร้อมกับบ่าวหญิงตามมาด้านหลังอีกสองคน ปานฤทัยใจชื้นขึ้นทันทีที่จะได้กลับไปทายาและพักผ่อนในห้องแล้ว เธออยากอยู่ตามลำพังเต็มที เพราะไม่รู้ว่าตัวเธอจะหายแว้บไปจากที่นี่แล้วได้กลับไปบ้านในยุคปัจจุบันเมื่อไร หากจู่ ๆ มาหายตัวไปต่อหน้าต่อตาคนเหล่านี้ แล้วคราวหน้าเธอโผล่มาอีกรอบ ไม่แคล้วคงถูกคนที่นี่เอาน้ำมนต์กับข้าวสารเสกไล่สาดกันอุตลุดแน่
"แม่หญิงตีนเจ็บ เดินมิได้ แม่อุ๊ยทายาให้ที ส่วนพวกเอ็งสองคนมาพยุงแม่หญิงกลับห้อง"
สิงห์คำสั่งความกับบ่าวเสร็จก็เดินลงจากเรือนไป ปานฤทัยได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาอยู่ด้วยแล้วเธอรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่คล่องเท่าไรนัก
หญิงสาวได้บ่าวผู้หญิงสองคนมาช่วยพยุงทั้งซ้ายและขวาพาเดินกลับห้อง เมื่อเข้ามาอยู่ในห้อง ปานฤทัยก็มองสำรวจที่หลับที่นอนของตนทันที
ห้องนอนของปานฤทัยมีขนาดพอ ๆ กับห้องนอนในยุคปัจจุบัน เตียงนอนตั้งอยู่ชิดหน้าต่าง มีฟูกปูไว้ให้พร้อมหมอนกับผ้าห่มและกางมุ้งเอาไว้เสร็จสรรพ ตรงหัวเตียงมีโต๊ะตัวเล็กตั้งไว้ มีตะเกียงที่ให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียววางอยู่บนนั้น ปานฤทัยมองตะเกียงที่รูปร่างคล้ายตะเกียงเจ้าพายุอย่างสนใจ เพราะมีแค่ตัวเดียวแต่กลับทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสวราวกับใช้หลอดไฟในยุคปัจจุบัน
"เจ็บที่ใดเจ้าคะ แม่อุ๊ยจักทาให้" เสียงถามไถ่อย่างอ่อนโยนของหล้า ทำให้ปานฤทัยหยุดมองสำรวจห้องนี้แล้วนั่งลงริมเตียงทันที
หญิงสาวพับขากางเกงของตัวเองขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็น เธอกำลังจะบอกว่าเจ็บตรงนี้ แต่ได้ยินเสียงบ่าวคนหนึ่งที่พยุงพาเธอมาที่นี่พูดขึ้นเสียก่อน
"แม่หญิงแต่งตัวประหลาดเหลือเกินเจ้าค่ะ ชาวเชียงใหม่เขาแต่งตัวกันเยี่ยงนี้หรือเจ้าคะ สตรีมิต้องนุ่งซิ่นได้ด้วยหรือ" พูดจบก็ถูกหล้าตีที่แขนทันที
"มึงอย่าปากนัก คุณพระท่านสั่งไว้ว่าห้ามถาม"
ปานฤทัยอดยิ้มไม่ได้ จะว่าไปแล้วผู้ชายที่ชื่อสิงห์คำคนนี้ช่างคิดอะไรได้รอบคอบดีเหลือเกิน ในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นตอนที่เขาเรียกแม่หล้าขึ้นมาบนเรือนเพื่อแนะนำตัวเธอให้รู้จัก ตอนนั้นเธอแอบเห็นเขากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับก๋อง แล้วก๋องก็วิ่งลงเรือนไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสั่งให้ก๋องไปกำชับบ่าวไพร่ไม่ให้มาวุ่นวายซักถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเธอ
"ไม่เป็นไรหรอกแม่อุ๊ย" ปานฤทัยยิ้มหวานให้หล้า ก่อนจะหันไปตอบบ่าวคนนั้น
"ใช่แล้ว เขาแต่งตัวกันแบบนี้แหละ ส่วนเรื่องนุ่งซิ่นก็แล้วแต่สมัครใจ จะนุ่งหรือไม่นุ่งก็ได้" เธอพูดจบ ทั้งสามคนที่ฟังอยู่ก็ทำหน้างุนงง ปานฤทัยจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
"สมัครใจคืออันใดหรือเจ้าคะ" บ่าวอีกคนถามขึ้นบ้าง
ปานฤทัยพยักหน้าช้า ๆ พลางคิดว่าคราวหน้าก่อนจะพูดอะไรต้องคิดให้ดีแล้วกระมังว่าคำพูดแต่ละคำ คนฟังจะรู้เรื่องไปกับตนด้วยหรือเปล่า
"สมัครใจก็คือยินยอมพร้อมใจไม่บังคับ" เมื่อเห็นทั้งสามคนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ เธอจึงยิ้มกว้างให้อีก
หล้าหยิบตลับไม้ทรงกลมออกมาแล้วเปิดฝาออก กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นลอยมากระทบนาสิกจนปานฤทัยเบ้หน้าทันที เพราะจำได้ดีว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นของไพล ซึ่งเป็นกลิ่นที่ตนไม่ชอบเป็นที่สุด
"บวมนัก แม่อุ๊ยจักทายาแล้วนวดให้ วันพรุ่งก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ" หล้าป้ายเนื้อยาลงบนข้อเท้าของปานฤทัยแล้วนวดให้อย่างเบามือ
หญิงสาวมองการกระทำแสนอ่อนโยนของแม่อุ๊ยแล้วยิ่งทำให้คิดถึงมารดาที่บ้าน เวลานี้ค่ำแล้ว ไม่รู้ว่าแม่กับพี่สาวจะเป็นอย่างไรเมื่อรู้ว่าเธอหายตัวมานานขนาดนี้ ปานฤทัยไม่อยากคิดไปในแง่ร้ายว่าตนจะไม่ได้กลับไป เธอสัญญากับตัวเองว่าถ้าได้กลับบ้านเมื่อไร จะขอให้แม่พาไปหาพระหรือเกจิอาจารย์ชื่อดังทั้งหลายเพื่อขอวิธีไม่ให้เธอต้องย้อนมาที่นี่อีก เธออยากกลับบ้านใจจะขาด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำมากมายเหลือเกิน
วันศุกร์ที่จะถึงนี้เธอนัดกับครอบครัวไว้ว่าจะไปกินชาบูกันในห้างฯ สัปดาห์หน้าเธอนัดกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าจะไปนอนดูดาวกันที่ดอยอ่างขาง ไหนจะต้องไปงานปฐมนิเทศน์อีก และที่สำคัญ สิ้นเดือนนี้เป็นวันเกิดของมารดา เธอกับพี่สาวลงขันกันซื้อสร้อยทองให้ท่านหนึ่งเส้น ไม่รู้ว่าเธอจะมีโอกาสได้กลับไปร่วมฉลองวันเกิดหรือไม่
"เจ็บหรือเจ้าคะ ไม่ต้องไห้เจ้าค่ะ วันพรุ่งก็ดีขึ้นแล้ว"
เสียงของหล้าทำให้ปานฤทัยเพิ่งรู้ตัวว่าตนกำลังร้องไห้น้ำตาเปียกแก้มอยู่ หญิงสาวรีบเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ แล้วยิ้มให้
"ไม่เจ็บเลย แม่อุ๊ยมือเบามาก"
รอยยิ้มของปานฤทัยค่อย ๆ หุบลง เพราะหลังออกจากโหมดคิดถึงบ้าน กลิ่นไพลที่เกลียดแสนเกลียดก็พุ่งเข้าเต็มจมูกทันทีจนต้องรีบเอามือปิดจมูกไว้
"โอย...กลิ่นไม่ไหวจะเคลียร์จริง ๆ ยาตัวอื่นไม่มีแล้วหรือแม่อุ๊ย" เธอถามเสียงอู้อี้
หล้ายิ้มเอ็นดูพลางตอบว่า "มิมีเจ้าค่ะ ยานี้ดีหนาแม่หญิง คุณพระฝึกดาบแลวิชา ที่ใดบวมพองขึ้นมา ทายานี้วันพรุ่งก็หายเจ้าค่ะ"
ปานฤทัยทำหน้าเหยเก พลันนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าวิธีที่จะทำให้กลิ่นนี้จางลงไปคือวิธีไหน
"แม่อุ๊ย ฉันอยากอาบน้ำ อาบกันที่ไหนหรือ" ขืนให้เธอนอนดมกลิ่นนี้ไปทั้งคืนคงนอนไม่หลับแน่นอน
"เช่นนั้นจักให้นังฮอมกับนังผ้ายพาไปต๊อมอาบน้ำนะเจ้าคะ"
หล้าวางตลับยาไว้บนโต๊ะ ส่วนบ่าวทั้งสองคนเดินไปเปิดหีบที่อยู่ตรงปลายเตียงเพื่อหยิบผ้านุ่งสำหรับผลัดเปลี่ยนมาเตรียมไว้ให้
ขณะเดียวกัน ก๋องนั่งยอง ๆ อยู่ตรงเชิงบันได สองตาจับจ้องไปที่ของสิ่งหนึ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ สิงห์คำเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังอีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ตัว
"มึงดูสิ่งใดวะไอ้ก๋อง"
ก๋องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ยิ้มเจื่อนให้ผู้เป็นนายพลางเอ่ยว่า
"เกือกของแม่หญิงเชียงใหม่ประหลาดนักขอรับ เกิดมามิเคยพบเคยเห็น"
"แม่หญิงฤทัย หาใช่แม่หญิงเชียงใหม่ มึงเรียกให้ถูก"
สิงห์คำเอ่ยเสียงเข้มพลางเสมองรองเท้าของปานฤทัย มองผิวเผินเหมือนรองเท้าที่เจ้านางในคุ้มหลวงใส่ หากแต่มองดูอีกทีก็มิใช่
"มึงให้บ่าวเอาเกือกของแม่หญิงไปเก็บที่ห้องของแม่หญิงเสีย แล้วเอาเกือกคู่ใหม่มาเปลี่ยน" เขาคิดว่ามิควรให้ของหน้าตาแปลกประหลาดนี้มาอยู่ในที่ที่บ่าวไพร่มองเห็น ควรให้ปานฤทัยสวมใส่อย่างชาวเชียงสานครดีกว่า
"คู่ใหม่หรือขอรับ คือว่า..." เหมือนสิงห์คำรู้ว่าก๋องจักเอ่ยอันใด จึงเอ่ยขึ้นเสียก่อน
"ยืมของบ่าวคนใดมาก่อน แล้ววันพรุ่งกูจักให้อัฐไปซื้อใหม่" เขาเอ่ยจบ ก๋องพลันยิ้มร่า
"เช่นนั้นเอาของกระผมก็ได้นะขอรับ กระผมจักได้เอาอัฐจากคุณพระไปซื้อเกือกใหม่"
"กูหมายถึงซื้อให้แม่หญิง"
สิงห์คำใช้ด้ามดาบเคาะศีรษะบ่าวคนสนิท เขาเงยหน้าขึ้นมองบนเรือนเมื่อเห็นว่ามีเงาคนกำลังเดินมาทางบันได ฟังจากเสียงฝีเท้าแล้วจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้ใดกำลังเดินมา