ขณะนั้นมีบ่าวคนหนึ่งเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างใกล้หูแก้วบดี เมื่อพูดจบจึงถอยกลับไป แก้วบดีหันไปเอ่ยกับสิงห์คำว่า
"พ่อสิงห์คำ ครานี้พ่อลงโทษบ่าวของน้ารุนแรงนัก อีบอนอีตองยังมิฟื้นสติจนบัดนี้เลยหนาพ่อ"
หัวคิ้วของสิงห์คำขมวดเล็กน้อยพลางหันไปมองปานฤทัย เห็นอีกฝ่ายก้มหน้านิ่งมิปากมิจา จึงเอ่ยขึ้นว่า
"หากกระผมลงมือหนักไป ต้องขออภัยคุณน้าด้วยขอรับ แต่บ่าวของคุณน้าช่างเหิมเกริมนัก ถึงกับกล้าทำร้ายคนในเฮือนคำ คุณน้ารู้ดีมิใช่หรือขอรับว่าบ่าวจักทำร้ายผู้เป็นนายมิได้ ในเฮือนคำนั้นหากบ่าวคนใดทำร้ายนายมีความผิดโทษตายสถานเดียว แลหากบ่าวคนใดปกป้องนายมิได้ ตายสถานเดียวเช่นกัน!"
เขาพูดจบปานฤทัยหันไปมองฮอมกับผ้ายทันที เห็นทั้งสองคนหมอบจนหน้าแทบแนบกับพื้น หากแต่ไหล่นั้นสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวลอบใช้มือดึงชายเสื้อของเขาเบา ๆ พอเขาหันมามองเธอจึงรีบใช้สายตาออดอ้อนอย่างที่ตนถนัดเวลาใช้อ้อนมารดาทันที
สิงห์คำเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ปานฤทัยจึงบุ้ยหน้าไปที่ฮอมกับผ้ายเขาจึงเข้าใจความหมายที่หญิงสาวต้องการสื่อ ปานฤทัยกะพริบตาปริบ ๆ ใส่เขาสองสามครั้ง มุมปากชายหนุ่มยกขึ้นเพียงนิดคล้ายรอยยิ้มก่อนจะกลับไปเป็นหน้าเรียบเฉยดังเดิม
"บ่าวมันทำตามคำน้า จักไปโทษมันมิได้ดอก น้ารึหวังดี เห็นอีบ่าวมิอยู่ที่ทางของตัวจึงสั่งสอนให้" แก้วบดีมองปานฤทัยด้วยสายตาจงเกลียดจงชัง เมื่อครู่เห็นแววตาเอื้อเอ็นดูที่สิงห์คำมีให้สตรีแปลกหน้าผู้นี้ พลันคิดว่าหากปล่อยไว้คงมิได้การ
"แต่ที่นี่คือเฮือนคำ มิใช่เฮือนฟ้าของเอ็งนะแม่แก้วบดี เอาเถิด หยุดเท่านี้ ให้บ่าวยกสำรับขึ้นมาเสีย" อินตาหันไปมองบ่าวคนหนึ่งที่นั่งรอเรียกใช้
"แต่คุณแม่เตรียมสำรับมาแค่สี่คนเจ้าค่ะ แม่ฤทัยคงไม่..." คำรุ้งมองคนนอกอย่างปานฤทัย แล้วมองเลยไปที่สิงห์คำด้วยแววตาอ่อนเชื่อม
"แม่ฤทัยกับข้าจักกินสำรับของเฮือนคำ คุณพ่อเล่าขอรับ" สิงห์คำหันไปถามบิดาโดยมิสนใจสีหน้าที่แสดงความมิพึงใจของสองแม่ลูก
"พ่อกินได้หมดนั่นละ" อินตาตอบเพื่อตัดปัญหา เพราะอยากไล่สองแม่ลูกให้กลับไว ๆ
หลังจากกินเสร็จ แก้วบดีกับคำรุ้งจึงลากลับไป ปานฤทัยรีบหันไปหาสิงห์คำ ยื่นมือไปกระตุกเสื้อเขาพลางเอ่ยขอร้องอย่างออดอ้อนเพราะกลัวว่าเขาจะสั่งลงโทษฮอมกับผ้าย
"คุณพระเจ้าขา คุณพระจะลงโทษฮอมกับผ้ายหรือเจ้าคะ อย่าเลยนะขอร้องละ สองคนนั้นพยายามช่วยฉันแล้วแต่พวกของฝ่ายโน้นมีเยอะกว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟยังไงก็สู้ไม่ได้อยู่ดี คุณพระอย่าสั่งลงโทษเลยนะ...น้า...นะ นะคะคุณพระ คุณลุงเจ้าขา หนูกราบละเจ้าค่ะ อย่าลงโทษสองคนนั้นเลยนะเจ้าคะ"
อินตาหัวเราะ ลุกขึ้นยืนพลางพูดว่า "ให้พ่อสิงห์คำตัดสินเองเถิด"
เอ่ยจบจึงเดินลงเรือนไป ปานฤทัยหันมากะพริบตาปริบ ๆ ใส่ชายหนุ่มที่นั่งข้างกัน
สิงห์คำก้มมองชายเสื้อของตนที่ถูกอีกฝ่ายกระตุกเบา ๆ ไม่หยุด เขามองเลยขึ้นไปยังเรียวแขนสลักเสลาผ่านบ่า ลำคอจนกระทั่งไปหยุดที่ใบหน้าพริ้มเพรา ซึ่งเพลานี้กำลังทำหน้าออดอ้อนได้น่าเอ็นดู
"ข้าจักไปราชการแล้ว กลับมาค่อยว่ากัน เอ็งปล่อยมือเถิด" เขาพูดเสียงอ่อน ปานฤทัยจึงยอมปล่อยมือจากชายเสื้อของเขา
เมื่อสองพ่อลูกลงเรือนไปแล้ว แปงกับมุ้ยเดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับห่อผ้าหลายห่อ ปานฤทัยเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าจะเยอะแยะมากมายขนาดนี้
"โอ้โห! ทำไมเยอะขนาดนี้ล่ะ"
"คุณพระให้อัฐไปมากนักเจ้าค่ะ แม่หญิงดูสิเจ้าคะ งามทั้งนั้น"
แปงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บ่าวอีกสามคนที่นั่งอยู่พลอยยิ้มตามไปด้วยเพราะผ้าไหมแพรพรรณสวย ๆ แลเครื่องหอมเหล่านี้ มักมีแต่เจ้านายแลคนในวังเท่านั้นจึงจักได้ใช้ ชาวบ้านแลบ่าวไพร่อย่างพวกตนคงมิสามารถครอบครอง เนื่องจากราคาสูง
"คุณพระนี่ก็สายเปย์เหมือนกันนะเนี่ย นิสัยป๋าแบบนี้อีมายชอบนักละ"
ปานฤทัยหัวเราะคิกคัก แต่บ่าวทั้งสี่คนกลับมองหน้าแม่หญิงอย่างงุนงง หญิงสาวจึงต้องเอ่ยชมเจ้าของบ้านให้บ่าวฟังสักหน่อย
"ข้าหมายถึงคุณพระใจดีนัก น่ารักขนาด"
ฮอมรีบใช้นิ้วชี้แนบปากตัวเองแล้วพูดเบา ๆ ว่า
"แม่หญิงเจ้าขา จักพูดเยี่ยงนี้ให้ผู้อื่นฟังมิได้นะเจ้าคะ"
"พูดแบบไหน ก็แค่ชมว่าคุณพระใจดี เป็นคนน่ารัก" เธอไม่เข้าใจ ชมก็ไม่ได้หรือ
"จักบอกรักผู้ชายโต้ง ๆ มิได้เจ้าค่ะ หากผู้อื่นมาได้ยินเข้าจักมิงาม พูดกับพวกบ่าวสี่คนมิเป็นไรดอก แต่ห้ามไปพูดข้างนอกหนาเจ้าคะ" มุ้ยพูดไปยิ้มไป ส่วนคนฟังอย่างปานฤทัยนั้นได้แต่นั่งอึ้ง
เธอชมเขาน่ารัก ไม่ได้พูดว่ารักเขาสักหน่อย แม่พวกนี้ชงกันเก่งจริง!
ระหว่างรอสองพ่อลูกกลับจากราชการ ปานฤทัยจึงถามฮอมกับผ้ายเรื่องธรรมเนียมต่าง ๆ ของที่นี่ ส่วนแปงกับมุ้ยนั้นนำผ้าที่ซื้อมาไปซัก
"แม่หญิงใคร่รู้เรื่องใดบ้างเจ้าคะ" ผ้ายกระวีกระวาดนำใบตาลมาโบกคลายร้อนให้
"ก็อย่างเช่น...ธรรมเนียมชายหญิงก็แล้วกัน" เธอไม่รู้ว่าตัวเองปล่อยไก่อะไรไปบ้าง และดูเหมือนผู้ที่รับเคราะห์จากความไม่รู้ของเธอมากที่สุดก็คือสิงห์คำ
"ธรรมเนียมชายหญิงมิมีอันใดมากดอกเจ้าค่ะ แค่มิให้ถูกเนื้อต้องตัวกันเว้นแต่เป็นการช่วยชีวิต เมื่อมีงานบุญ ชายหญิงพูดจาเกี้ยวพากันได้แต่มิให้โดนตัว จับมือ จับแขน โอบไหล่ กอด เหล่านี้ทำมิได้เลยเจ้าค่ะ"
ปานฤทัยคิดตามคำพูดของผ้าย สองอย่างแรกนั้นเธอกับสิงห์คำเคยทำกันแล้ว โอบไหล่ยังไม่เคยแต่ข้ามขั้นไปอุ้มเลยต่างหาก ส่วนกอดนั้นเป็นผลที่ตามมาจากการอุ้ม และเธอยังเป็นฝ่ายกอดคอเขาเองด้วย
"แล้วถ้ามีคนเผลอทำไปแล้วล่ะ" แม้จะพอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากรู้เพื่อความแน่ชัด
"ย่อมต้องหมั้นหมายผูกข้อมือกันเจ้าค่ะ" ฮอมเป็นฝ่ายตอบ ปานฤทัยถึงกับทำตาโต
"โห ร้ายแรงขนาดนั้นเลย"
ผ้ายยิ้มเอียงอายพลางปัดมือไปมา "ร้ายแรงอันใดเล่าเจ้าคะ เรื่องมงคลดอกเจ้าค่ะ"
"แล้วถ้าต่างคนต่างมีแฟน เอ๊ย มีคนรักอยู่แล้วล่ะ จะทำยังไง"
"เยี่ยงนี้ผู้ใหญ่ต้องคุยกันเจ้าค่ะ มิใช่ว่าต้องแต่งกันร่ำไป" ผ้ายตอบ ฮอมจึงพูดขึ้นบ้าง
"แม่หญิงเรือนอื่น หากจักออกจากเรือนไปที่ใดจึงต้องพาบ่าวไพร่ไปหลายคนอย่างไรเล่าเจ้าคะ จักได้ช่วยกัน"
"อ๋อ เข้าใจละ" มิน่า ญาติจอมกร่างที่มาเยือนวันนี้ถึงได้พาบ่าวไพร่มาเป็นโขยง
ปานฤทัยนั่งสักพักก็เริ่มเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ อินเทอร์เน็ตไม่มีให้เล่น หนังสือไม่มีให้อ่าน ซอไม่มีให้สี ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเข้าไปนอนเล่นในห้องส่วนตัวแล้วดูรูปที่เคยถ่ายไว้ในโทรศัพท์น่าจะดี
"ข้ากลับห้องดีกว่า" พูดจบเธอก็ลุกขึ้น
"แม่หญิงจักไปนอนหรือเจ้าคะ" ฮอมทำท่าจะลุกขึ้นตาม