บทที่ 5 ชายปริศนา - 2

1373 คำ
"คุณแม่เจ้าขา อีนี่มันต้องเป็นพวกบ่าวบำเรอของคุณลุงหรือคุณพระเป็นแน่เจ้าค่ะ" เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง ปานฤทัยเบนสายตามองไปที่เจ้าของเสียงจึงเห็นว่าคนพูดน่าจะอายุประมาณรุ่นราวคราวเดียวกับเธอหรืออ่อนกว่า "มิใช่นะเจ้าคะแม่หญิงแก้วบดี แม่หญิงคำรุ้ง แม่หญิงฤทัยเป็นญาติของท่านพระยาเจ้าค่ะ หาใช่บ่าวในเรือนไม่" ฮอมรีบพูดแทนปานฤทัย แต่กลับถูกอีกฝ่ายตวาดใส่ "เสือก! กูมิได้ถามมึง กูถามอีไพร่นี่ จักมิใช่บ่าวได้เยี่ยงไร เห็นอยู่ว่าอีนี่มันใส่ชุดบ่าวไพร่ มึงเป็นบ่าวบำเรอของผู้ใด ตอบกูมา!" ปานฤทัยเกลียดคนไร้เหตุผลและตวาดแว้ด ๆ ใส่แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงจงใจรวนใส่เสียเลย "ไม่บอก มีไรมะ ป้ามาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยไป อะไรเนี่ย มาบ้านคนอื่นเขายังจะมาโวยวายเสียงดัง ไม่มีมารยาทซะบ้างเลย" แก้วบดีโกรธจนตัวสั่น ตะโกนเรียกบ่าวที่ติดตามมาด้วยเสียงอันดังลั่นกว่าเดิม "อีบอนอีตอง เข้าไปตบมันให้กู หากผู้ใดกล้าเข้ามาห้ามกูจักเฆี่ยนให้หลังลาย!" ปานฤทัยรีบลุกขึ้นยืนทันทีเพื่อเตรียมตั้งรับ อย่างไรเสียก็จะไม่มีทางยอมถูกกระทำฝ่ายเดียวแน่ เธอไม่รู้จักสองแม่ลูกนี่สักหน่อย แต่จู่ ๆ มายืนชี้หน้าด่าปาว ๆ ทั้งยังจะมาทำร้ายร่างกายกันอีก ถ้าเธอทำอะไรรุนแรงไปก็อย่ามาโทษเธอละกัน บ่าวทั้งสองคนตรงเข้ามาจับแขนปานฤทัยไว้คนละข้าง ฮอมกับผ้ายก็ช่วยกันปกป้องนายของตนสุดฤทธิ์ตามคำสั่งของสิงห์คำ แต่แก้วบดีกับคำรุ้งพาบ่าวติดตามมาด้วยเป็นโขยง บ่าวทั้งสองคนถึงถูกเล่นงานไปด้วย ฝ่ามือของบ่าวคนหนึ่งกำลังจะฟาดลงมาบนใบหน้าปานฤทัย ทว่ายังไม่ทันได้แตะโดนผิวหน้าของหญิงสาว ร่างของบ่าวทั้งสองคนนั้นพลันลอยละลิ่วออกไปจนตกกระแทกพื้นด้านล่าง พร้อมกับเสียงตวาดกร้าวของสิงห์คำ "หยุด!" ทุกคน ณ ที่นั้นหันไปตามเสียงทันที คำรุ้งรีบเดินไปยืนข้างมารดา บ่าวไพร่พากันทรุดตัวลงหมอบกับพื้นด้วยความหวั่นเกรง มีเพียงปานฤทัยเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิมโดยมิมีส่วนใดบุบสลาย สิงห์คำเบิกตากว้างพลางรีบเดินไปยืนเบื้องหน้าปานฤทัยหวังใช้ตัวเองบังเจ้าตัวให้พ้นจากสายตาผู้อื่น จากนั้นก็กระทำสิ่งที่สองแม่ลูกกับถึงอ้าปากค้างตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เมื่อเขาคว้าข้อมือของหล่อนขึ้นมาถามว่า "เอ็งเป็นกระไรหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแม้จะดุดันแข็งกร้าวไปบ้าง หากแต่คนฟังก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยของผู้พูด "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่ได้บาดเจ็บอะไร" ปานฤทัยเงยหน้าตอบ สิงห์คำมองหน้าหญิงสาวแล้วลอบผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายกลับมาเป็นสีน้ำตาลเข้มดังเดิมแล้ว มิใช่สีทองอร่ามเหมือนก่อนหน้า เขาจึงปล่อยมือ ด้วยกลัวว่าผู้อื่นจักเห็นนัยน์ตาสีแปลกประหลาดของปานฤทัย สิงห์คำจึงต้องรีบเดินเข้ามาเอาตัวเองบังไว้ ทว่าพอมองใกล้ ๆ แล้วเห็นผิวนวลเป็นรอยแดงหลายรอย เขาจึงเผลอคว้าแขนของปานฤทัยขึ้นมาดู "มีเรื่องอันใดกันแม่แก้วบดี" น้ำเสียงทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในเฮือนคำดังขึ้น แก้วบดีหันไปมองตามเสียงแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าว "น้องกับแม่คำรุ้งนำสำรับเที่ยงมาให้คุณพี่กับพ่อสิงห์คำ แต่กลับเจอนังบ่าวเลวนี่นั่งชูคออยู่บนเติ๋น น้องเรียกมันมาถามดี ๆ ว่ามันเป็นผู้ใด มันกลับโอหังวาจาสามหาวนัก น้องจึงให้บ่าวของน้องตบสั่งสอน" ปานฤทัยที่ยืนอยู่หลังสิงห์คำเบี่ยงตัวออกมาเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ "แบบนั้นเรียกว่าถามดี ๆ หรือ มาถึงก็ชี้หน้าด่าทอตวาดแว้ด ๆ ใส่ หาว่าฉันเป็นบ่าวบำเรอของคุณลุงกับคุณพระ พอฉันไม่ตอบก็ให้บ่าวมารุมฉันเนี่ยนะ ฉันยังไม่ทันทำอะไรให้สักหน่อย" เธอพูดจบพลันรู้สึกได้ว่าข้อมือถูกแตะเบา ๆ จากคนที่ยืนอยู่ข้างกายราวกับจะปรามไม่ให้เธอเถียง ปานฤทัยจึงหันไปมองค้อนเขาเล็กน้อย การกระทำสนิทสนมใกล้ชิดของคนทั้งคู่นั้นอยู่ในสายตาของแก้วบดีและคำรุ้งทั้งหมด สองแม่ลูกได้แต่หันมองหน้ากัน โดยเฉพาะคำรุ้งนั้นกำมือแน่นด้วยความคับข้องใจ "แม่ฤทัยมิใช่บ่าว ต่อให้เป็นบ่าวเอ็งก็มิควรสั่งลงโทษคนในเรือนข้า คนของข้าหากทำผิดข้าจักลงโทษเอง มิต้องให้เอ็งมาสอด" อินตายืนเอามือไพล่หลัง สีหน้านิ่งเฉย หากแต่แววตาบ่งบอกความมิพอใจอย่างเห็นได้ชัด "ถ้าคุณพี่มิพอใจน้องต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ" แก้วบดียกมือไหว้อินตา ก่อนถามว่า "ถ้ามิใช่บ่าวแล้วเหตุใดจึงใส่ชุดของพวกบ่าวไพร่เล่าเจ้าคะ น้องนึกว่ามันเป็น..." ไม่ต้องรอให้แก้วบดีพูดจบ อินตาก็พูดเสียเอง "แม่ฤทัยเป็นญาติข้ามาจากเชียงใหม่เมื่อวาน แม่ฤทัย ผู้นี้แก้วบดี เป็นน้าของสิงห์คำ นั่นคำรุ้ง ลูกสาวแม่แก้วบดี" ปานฤทัยไหว้แก้วบดีอย่างเสียไม่ได้ แต่กับคำรุ้งนั้นเธอไม่ไหว้เพราะเห็นว่าอายุใกล้ ๆ กัน "จะพักที่เฮือนคำหรือเจ้าคะ น้องว่ามิเหมาะกระมัง ถ้าอย่างไรให้แม่ฤทัยไปพักที่เรือนน้อง..." ยังพูดไม่จบแก้วบดีก็โดนขัดอีกครั้ง "มิต้องลำบากเอ็งดอก ข้าจักให้แม่ฤทัยพักที่นี่" อินตาเดินขึ้นมาบนชานเรือนแล้วนั่งบนสาด ปานฤทัยจึงทรุดตัวลงนั่งทันทีโดยไม่ต้องให้สิงห์คำบอก เขาเดินไปนั่งใกล้กับบิดาฝั่งเดียวกับปานฤทัย ส่วนสองแม่ลูกนั่งฝั่งตรงข้าม คำรุ้งมองปานฤทัยด้วยสายตาริษยาที่ได้นั่งใกล้ชายที่ตนพึงใจ ทั้งยังมีการแตะเนื้อต้องตัวกันราวกับเป็นคู่หมั้นคู่หมาย แต่เมื่อเห็นสายสร้อยลงยาบนข้อมือขวาของสิงห์คำ จึงพอคลายใจว่าเขายังมิได้มอบให้สตรีคนใดเพื่อ หมั้นหมาย หากแต่หล่อนมิรู้ว่าวันใดสร้อยเส้นนั้นจักไปอยู่บนข้อมือของผู้อื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรุ่มราวกับมีไฟสุมทรวงกระนั้น "แต่น้องว่ามิควร พ่อสิงห์คำเป็นผู้ชาย แม่ฤทัยเป็นสตรี จักให้อยู่ร่วมเรือนกันได้เยี่ยงไร พ่อสิงห์คำเห็นด้วยกับน้าหรือไม่ รึควรปลูกเรือนแยกให้แม่ฤทัยไปอยู่ลำพังยังเป็นการดีเสียกว่า" แก้วบดียังมิยอมรามือเรื่องแยกปานฤทัยให้ออกห่างจากสิงห์คำ ด้วยเพราะวาดหวังให้คำรุ้งได้ตบแต่งกับญาติผู้พี่คนนี้ เฮือนคำมีเจ้านายแค่สองคนคือพระยาอินตากับคุณพระสิงห์คำ พระยาอินตา ผู้เป็นพี่เขยนั้นมีบุตรชายแค่ ผู้เดียว หากคำรุ้งได้แต่งให้สิงห์คำย่อมต้องได้เป็นนายแห่งเฮือนคำในภายภาคหน้าเป็นแน่ "ในกาลหน้ากระผมจักจัดการเรื่องนี้เองขอรับ" สิงห์คำเอ่ยพลางลอบมองปานฤทัย เห็นเจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นใส่ตนเขาจึงถอนสายตากลับมา มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าสิงห์คำหมายความเยี่ยงไรนอกจากเจ้าตัว แต่สองแม่ลูกนั้นนั่งกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยเพราะนึกว่าเขาหมายถึงจักปลูกเรือนให้ปานฤทัยแยกไปอยู่เพียงลำพัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม