“ผมว่ามันก็น่าจะสวยเหมือนที่ครีมบอกนะ ที่นี่ดูร่มรื่นมากเลยเป็นธรรมชาติมากๆ ด้วย” เขาพูดขณะที่เดินไปยังสระมรกตอันลือชื่อ
“สระมรกตถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบ จึงมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกครึ้ม อีกอย่างหนึ่งที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรื่องป่า เรื่อง นกหายากและอีกหลายๆ อย่างค่ะ ป่าแถวๆ นี้จึงมีความสมบูรณ์ค่อนข้างมาก”
เธออธิบายในสิ่งที่ตัวเองรู้มา แม้ว่าไม่มากแต่ก็พอจะบอกชายหนุ่ม ให้เข้าใจได้คร่าวๆ ทั้งสองเดินชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าจนกระทั่งมาถึงสระมรกต
“ว้าว! สวยมากๆ เลย”
เขาอุทานออกมาเบาๆ เมื่อมองเห็นสระน้ำสีมรกตที่มีนักท่องเที่ยวนั่งแช่ตัวอยู่ในสระ กระจายตามจุดต่างๆ ค่อนข้างหนาตา สระแห่งนี้เป็น สระน้ำร้อนอุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 30-50 องศาล้อมรอบด้วยป่าทึบตามที่เธอบอกเขาไว้ไม่มีผิด เป็นความสวยงามที่ลงตัวอย่างดีเยี่ยม ธรรมชาติสร้าง สิ่งสวยงามไว้ให้มนุษย์อย่างมากมาย ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะรักษาหรือทำลายก็เท่านั้น
“ใช่ค่ะ สวยมากเลย วันนี้เป็นวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวก็เลยมาก ถ้าจะให้ดีทางข้อมูลบอกว่าให้มาวันธรรมดาค่ะ นักท่องเที่ยวน้อย ดื่มด่ำกับธรรมชาติได้มากหน่อย” ไกด์จำเป็นบอกลูกทัวร์ร่างสูงเสียงใส
“ผมว่ามาวันไหนก็ดีทั้งนั้นแหละครับ ขอแค่มากับครีมก็พอ”
เดวิสได้โอกาสหยอดคำหวานให้พิมวดีทันที คนที่ถูกหยอดคำหวาน แก้มแดงเรื่อ รีบเดินไปอีกทางหนึ่งเพื่อถ่ายรูปความสวยงามของสระมรกต แทน มีหรือที่ชายหนุ่มรุกหนักจะไม่ตามไปด้วย
“ถ่ายรูปให้เราหน่อยได้มั้ยครับ” เดวิสพูดกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งที่กำลังยืนถ่ายรูปอยู่ใกล้ๆ กับร่างของพิมวดีที่ถ่ายรูปเก็บความประทับใจ
“ได้ครับ” ทันทีที่อีกฝ่ายรับคำ เขาก็คว้ากล้องถ่ายรูปจากมือของพิมวดีส่งให้ชายต่างชาติคนนั้น ลำแขนใหญ่โอบเอวคอดกิ่วแล้วรั้งเข้ามาแนบลำตัว คนที่ไม่ได้ตั้งตัวหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังยิ้มสู้กล้องเมื่อ ช่างภาพจำเป็นเริ่มนับ 1...2..3 แชะ
“ขออีกสักสองสามภาพนะครับ”
เดวิสเอ่ยบอกก่อนจะเปลี่ยนท่าถ่ายรูป ด้วยการยืนซ้อนแผ่นหลังบางใช้ลำแขนทั้งสองข้างโอบเธอไว้ทางด้านหลัง วางคางลงบนบ่าของเธอ แนบใบหน้าของตนให้ชิดติดกับแก้มสีเรื่อ ช่างภาพรีบกดชัตเตอร์บันทึกภาพหวานนั้นหลายครั้ง ก่อนจะส่งกล้องคืนให้พิมวดีที่ยื่นมือมารับด้วยอาการมือไม้สั่น
“เราไปที่อื่นต่อดีกว่าค่ะ ถ่ายรูปที่นี่เยอะแล้ว” เธอเอ่ยบอกเดวิสที่ยืน ยิ้มไม่หุบ
“ไปสิครับ แล้วจะไปที่ไหนต่อดีครับ” ลูกทัวร์เอาแต่ใจเอ่ยถามไกด์ สาวจำเป็น เธอทำท่าคิดน่ารักน่าหยิกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“ไปสุสานหอยก็แล้วกันค่ะ”
“งั้นไปเลยครับ ได้ยินชื่อก็อยากไปแล้ว”
ทั้งสองจึงเดินออกจากสระมรกตเพื่อเดินทางไปยังสุสานหอย ยานพาหนะในครั้งนี้หนีไม่พ้นรถรับจ้างของคนในพื้นที่ การเดินทาง ใช้เวลาไม่นานนัก หนุ่มชาวอังกฤษกับสาวชาวไทยก็เดินทางมาถึงสุสานหอย สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่สองในรอบวันนี้
“ว้าว!...มหัศจรรย์มากๆ”
เขาอุทานออกมาอีกครั้งเมื่อเท้าเหยียบย่างถึงสุสานหอย ที่เกิดจาก การทับถมของซากหอยขมน้ำจืดเมื่อประมาณ 30-40 ล้านปีมาแล้ว
“ใช่ค่ะ มันมหัศจรรย์มากๆ เลย กว่าหอยพวกนี้จะทับถมกันได้ งดงามอย่างนี้ต้องใช้เวลาเป็นพันๆ ปี หรืออาจจะถึงหมื่นปี ครีมคิดว่าธรรมชาติสร้างมันขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่ว่าตอนนี้ความสำคัญและ คุณค่าของสุสานหอยถดถอยลงมาก ทั้งๆ ที่ทั่วทั้งโลกมีสุสานหอยอยู่เพียง สามที่เท่านั้นคือ อเมริกา ญี่ปุ่นแล้วก็เมืองไทย เราน่าจะอนุรักษ์และดูแลมันให้ดีกว่านี้นะคะ”
พิมวดีพูดอย่างเสียงดายในคุณค่าของสุสานหอยที่ไม่ได้รับความสนใจเหมือนเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะที่กระบี่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ ดึงดูดใจคนไทยและคนต่างชาติได้มากกว่าที่นี่ ความสำคัญที่เคยมีจึงได้ถอยหลังลง
“เพราะอย่างนี้ครีมเลยอยากมาที่นี่ใช่มั้ยครับ” เขาถามอย่างรู้ใจ
“ใช่ค่ะ ครีมอยากเห็นกับตาตัวเองว่าที่นี่มันมหัศจรรย์แค่ไหน ไม่ใช่เห็นภาพทางเน็ตที่ครีมดูเมื่อคืน ครีมจะได้นำไปบอกต่อๆ กันไงคะว่ามัน เป็นยังไง”
เธอพูดขณะที่ถ่ายรูปความสวยงามของสุสานหอยที่ทอดตัวยาว ประมาณหนึ่งกิโลเมตร มีความกว้าง 50 เมตรเป็นแผ่นหอยที่เกาะตัวกัน จนแข็งเป็นแผ่นหินสลับกับชั้นของถ่านลิกไนต์ หนาประมาณชั้นละ 10 นิ้ว ต่อมาแผ่นดินถูกยกตัวขึ้นจึงปรากฏเป็นลานหินกว้างใหญ่ริมทะเล
“ใช่ครับ มันน่าทึ่งมากๆ”
ทั้งสองใช้เวลาเก็บภาพความประทับใจ ด้วยการผลัดกันถ่ายรูปของ แต่ละฝ่าย รวมทั้งไหว้วานให้คนที่เดินถ่ายรูปในละแวกนั้น ช่วยเป็น ตากล้องจำเป็นให้กับเขาและเธอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสี่สิบนาที พิมวดีจึ ชวนชายหนุ่มไปเที่ยวที่อื่นต่อ แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวเธอขอเติมพลังด้วยการ ทานอาหารเที่ยง หญิงสาวจึงเอ่ยปากชักชวนเดวิสทันที
“ครีมว่าเราไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่าค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ”
“ไปสิครับ ผมกำลังหิวอยู่พอดีเลย” พูดไปด้วยใช้ฝ่ามือลูบท้องไปด้วย
“นั่งรถไปตรงโน้นมีโรงแรมอยู่ เราไปทานกันที่นั่นนะคะ”
“ผมว่าเราหาอะไรทานแถวนี้ก็ได้ ไม่ต้องไปที่โรงแรมหรอก ผมทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว”
พิมวดีทำสีหน้าไม่มั่นใจว่าเขาจะพูดจริงหรือเท็จ อาหารที่ว่าแถวๆ นี้ก็มีแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขายข้าวแกงริมข้างถนน และอาหารตามสั่งเท่านั้น
“คุณแจ๊คกี้แน่ใจนะคะว่าจะทานได้”
“ครีมทานได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าครีมทานได้ผมก็ทานได้ แค่ตักเข้าปาก แล้วเคี้ยวจากนั้นก็กลืนลงคอเท่านั้นเองไม่เห็นจะยาก” ทางทฤษฎีดูเหมือนง่าย แต่ในทางปฏิบัติมันยากกว่าหลายเท่านัก
“เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ ครีมจะพาไปกินส้มตำอาหารขึ้นชื่อของเมืองไทย ครีมว่าคุณแจ๊คกี้ต้องชอบแน่ๆ เลยค่ะ”
“โอเคครับ ครีมพาผมไปกินอะไรผมกินได้ทั้งนั้น”
พิมวดีจึงพาชายหนุ่มไม่เรื่องมากไปยังร้านขายอาหารอีสานที่อยู่ไม่ ไกล พอไปถึงสาวน้อยหน้าหวานสั่งส้มตำไทยมาสองจาน จานหนึ่งเผ็ดอีก จานหนึ่งไม่เผ็ด ตามด้วยลาบและน้ำตกอย่างละจาน ไก่ย่างครึ่งตัว ตบท้ายด้วยข้าวเหนียวสองจาน ราวสิบนาทีอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ เดวิสมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าแล้วน้ำลายสอ หยิบส้อมขึ้นมาตักส้มตำจานที่ ธอบอกว่าไม่เผ็ดเข้าใส่ปาก ตามด้วยไก่ย่างและข้าวเหนียว