6
เพื่อความอยู่รอด
“พ่อว่าอะไรนะคะ อัญชันไม่เข้าใจที่พ่อพูด” อัญชันที่กำลังนั่งทานข้าวเช้ากับที่บ้าน พ่อของเธอก็พูดบางอย่างขึ้นมาซึ่งทำให้อัญชันไม่อยากเข้าใจทั้งๆ ที่เธอฟังรอบเดียวก็น่าจะเข้าใจ
“พ่อบอกว่าอัญชันต้องแต่งงานกับคีตะวันลูกชายของเพื่อนรุ่นน้องของพ่อเพราะเขาคือคนเดียวที่จะช่วยครอบครัวของเราได้” แม้ว่าอนันต์จะไม่ค่อยอยากให้ลูกสาวแต่งงานเร็วขนาดนี้แต่เพื่ออนาคตและความอยู่รอดของลูกๆ นี่คือสิ่งเดียวที่ง่ายและได้ผลลัพธ์เร็วที่สุด
“พ่อคะแต่หนูมีแฟนแล้วอีกอย่างหนูยังเรียนอยู่เลยนะคะ” อัญชันพูดเหตุผลให้พ่อของเธอฟังเผื่อพ่อของเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด
“เรื่องนั้นพ่อไม่รู้แต่ตอนนี้นี่คือทางเดียวที่ครอบครัวของเราจะอยู่รอด อัญชันต้องทำเพื่อพ่อกับแม่แล้วก็น้อง พ่อหวังว่าหนูจะเข้าใจที่พ่อพูดนะ” อนันต์พูดจบก็เดินออกไปจากตรงนั้นปล่อยให้อัญชันนั่งนิ่งไปด้วยความว่างเปล่าในความคิดของเธอ
“ฉันจะไปแต่งงานกับคนที่ฉันไม่รู้จักไม่ได้รักได้ยังไง ยังไงฉันก็ไม่ยอมแต่งงานกับใครก็ไม่รู้เด็ดขาด” อัญชันนั่งซึมอยู่คนเดียวพลางคิดอะไรไปต่างๆ นานา
“ถ้ายัยพวงชมพูโตพอที่จะแต่งงานป่านนี้เราก็คงไม่ต้องมานั่งคิดมากอย่างนี้สินะ” อัญชันพูดพร้อมกับนอนแผ่หลาลงบนเตียงอย่างไม่มีหนทาง แต่แล้วอัญชันก็นึกขึ้นได้ว่าเธอจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้
บ้านของคีตะวัน
“แกจะมาทำตัวเสเพลไปวันๆ อย่างนี้ไม่ได้แล้วนะคีตะวันแกก็อายุไม่ใช่น้อยๆ พ่อกับแม่ก็อยากอุ้มหลานอยากให้แกเอาการเอางานมาช่วยงานที่บริษัทเพราะต่อไปก็มีแต่แกเท่านั้นแต่แกกลับทำตัวไม่ได้เรื่องอย่างนี้แล้วแกจะให้แม่ตายตาหลับได้ยังไง” ‘แพรพิไล’ แม่ของคีตะวันกำลังติเตียนลูกชายของเขาที่เพิ่งกลับมาจากเที่ยวสังสรรค์เอาตอนเช้าในตอนที่เธอกับสามีกำลังนั่งกินข้าวเช้าเพื่อเตรียมตัวเข้าไปที่บริษัทและไปทำธุระสำคัญต่อแต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอกลับเมาไม่สร่างกลับบ้านมาจนเธออดที่จะพูดไม่ได้
“แม่อย่าบ่นไปเลยครับผมขอเวลาเที่ยวให้เต็มที่ก่อนแล้วผมจะทำทุกอย่างตามที่แม่ต้องการเลย” คีตะวันนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ แม่ของเขาก่อนจะพูดด้วยเสียงที่งัวเงียเหมือนพร้อมจะหลับทุกเวลา
“แกขอเที่ยวอย่างนี้มาตั้งแต่แกเรียนจบจนป่านนี้ผ่านไปไม่รู้กี่ปีแกก็ยังไม่พอใจสักทีแกจะเที่ยวอย่างนี้ไปนานเท่าไรหรือแกรอให้ฉันตายก่อนแกถึงจะยอมเลิกเที่ยวแล้วมาทำงานที่บริษัท” แพรพิไลพูดออกมาเสียงดังแต่ดูเหมือนว่าลูกชายของเธอจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“แกได้ยินที่แม่พูดมั้ยคีตะวัน” แพรพิไลถามคีตะวันเสียงดังเมื่อเห็นว่าลูกชายของเขากำลังจะหลับ
“ได้ยินครับแม่แต่ตอนนี้ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ” คีตะวันที่เมาและง่วงมากในตอนนี้จึงรีบขอตัวไปนอนไม่อย่างนั้นแม่ของเขาต้องบ่นเขายาวแน่นอน
“ต่อจากนี้แกจะไม่มีบัตรเครดิตใช้แกจะต้องใช้เงินอย่างจำกัดแกจะไม่ได้ใช้เงินตามใจของแกเหมือนที่แกเคยใช้ชีวิตมั่วๆ ของแก” แพรพิไลพูดจบคีตะวันที่ง่วงๆ ตอนนี้ตาของเขาสว่างขึ้นมาทันที
“แม่ว่าอะไรนะครับ แม่จะมาบังคับผมทางอ้อมอย่างนี้ไม่ได้นะครับ” คีตะวันหันกลับมาหาแม่ของเขาก่อนจะเดินมาพูดกับแม่อย่างกับไม่เคยง่วงนอนมาก่อน
“แม่ไม่ได้บังคับแต่แม่ปล่อยให้แกใช้ชีวิตเสเพลมานานเกินไปแล้วต่อจากนี้แกต้องใช้ชีวิตอย่างที่แม่เป็นคนเลือกให้แกใช้” แพรพิไลดูเด็ดขาดมากๆ เพราะเธอได้ให้อิสระกับคีตะวันมาตลอดแต่เขากลับใช้อิสระมากเกินไป
“พ่อครับช่วยพูดกับแม่ให้ผมหน่อยสิครับ” คีตะวันเป็นลูกชายคนเดียวเขาถูกตามใจมาโดยตลอดเขาไม่เคยรู้จักคำว่าโดนขัดใจแต่ครั้งนี้พ่อกับแม่ของเขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
“เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรไม่ได้เพราะเรื่องนี้พ่อให้แม่จัดการทุกอย่าง ที่แม่เขาทำอย่างนี้ก็ถูกต้องแล้วเพราะลูกเอาแต่เที่ยวเล่นงานการไม่ยอมทำแล้วอย่างนี้เมื่อไหร่พ่อจะได้พักสักที พ่อก็อยากมีคนมาช่วยงานบริษัท” คมสันต์พูดแค่นั้นก็ขึ้นไปที่ห้องทำงานเตรียมเอกสารไปทำงานในวันนี้ซึ่งคีตะวันไม่เคยสนใจงานหรือสนใจที่ช่วยงานของเขาเลย “แม่ครับผมขอเวลาอีกหนึ่งปีผมสัญญาว่าจะเริ่มต้นทำงานทุกอย่างให้แม่อย่างเต็มที่” คีตะวันเริ่มต่อรองกับแม่ของเขาแต่ดูท่าไม่น่าจะง่ายอย่างที่คีตะวันคิด
“ไม่ แม่ไม่อยากรออีกแล้ว ถ้าแกไม่อยากช่วยงานของบริษัทแม่ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนแกและก็ไม่จำเป็นต้องให้อะไรกับแกทั้งนั้น แม้กระทั่งมรดกของฉันแกก็ไม่ต้องได้” แพรพิไลพูดจบพอดีกับที่คมสันต์ลงมาจากห้องทำงานก่อนที่พ่อกับแม่ของเขาจะออกไปทำงานปล่อยให้คีตะวันนั่งงงอยู่คนเดียวอย่างไม่มีทางเลือก
“นี่มันวันอะไรว่ะเนี่ย โอ๊ย! เบื่อโว้ย! ” คีตะวันพูดออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะเดินขึ้นห้องไปแล้วก็นอนหลับไปเพราะเมื่อคืนเขาปาร์ตี้สังสรรค์ทั้งคืนจนถึงเช้า
อัญชันมาที่บ้านของโดมเพื่อมาคุยปัญหาที่เธออยากแก้ไขมันในแบบที่เธอคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเธอ