ดวงตาสีทองของจามีลลุกโหมด้วยเปลวไฟไม่ยอมมอด เขาก้าวมาหยุดตรงหน้าของหล่อน ก่อนจะเอามือหนามากระชากเส้นผมนุ่มดึงแรงๆ จนหล่อนต้องลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า
ชมพูนุชเจ็บไปทั้งศีรษะเพราะเขาขยุ้มรุนแรงไร้ความปรานี แต่ก็ไม่อาจจะปริปากบอกออกไปได้ จำต้องอดทนเอาไว้
“เราจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น” ทุกพยางค์ถูกเค้นออกมาจากไรฟันขาวสะอาด
ชมพูนุชหวาดกลัวเหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่ร่ำไห้ “หม่อมฉัน... ยอมรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างเพคะ ยอมรับแต่เพียงผู้เดียว...”
หล่อนสะอึกสะอื้นน่าเวทนา แต่คนที่กำลังเกรี้ยวกราดราวกับพายุคลั่งไม่มีความปรานีใดให้เลย
“เราจะลงโทษเจ้ายังไงดีนะ ถึงจะสาสมกับความเลวชั่วช้าของเจ้า ชมพูนุช”
หล่อนรู้ดีว่ายังไงก็หนีโทษตายไม่พ้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าจามีลจะใช้วิธีฆ่าแบบไหนกับหล่อนนั่นเอง หล่อนกลัว... ใช่ หวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั่ง แต่มันคือทางเดียวที่จะช่วยทุกคนได้
“สั่งประหารหม่อมฉันเถอะเพคะ...”
จามีลแสยะยิ้ม กวาดตามองดวงหน้าหวานชุ่มหยาดน้ำตาเมื่อนึกถึงบทลงโทษที่จะให้กับเจ้าหล่อนได้ เขาผลักหล่อนออกห่างแรงๆ จนร่างอรชรล้มลงกองกับพื้น “ก็บอกแล้วไง ฆ่าเจ้าไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก ผู้หญิงแพศยาร้ายกาจอย่างเจ้ามันต้องตายทั้งเป็น”
หล่อนช้อนตามองเขา เฝ้ารอคำสั่งลงทัณฑ์จากริมฝีปากหยักสวยของบุรุษสูงศักดิ์ทั้งน้ำตา
“ในเมื่อเจ้าอยากเป็นตัวแทนของมัสรานีนัก เราก็จะให้เจ้าได้เป็น”
ชมพูนุชเผยอปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน หัวใจเต้นแรงระรัวด้วยความตื่นตระหนก
“หึ... เจ้าจะได้นอนอยู่ใต้ร่างของเรา”
“องค์... รัชทายาท...”
ดวงตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยคราบน้ำตาเบิกค้างด้วยความตื่นตกใจ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของผู้ชายที่เกลียดชังหล่อนราวกับไส้เดือนอย่างองค์รัชทายาทจามีล
“แต่มันจะไม่ใช่สวรรค์อย่างที่เจ้าคิดหรอก เพราะเจ้าจะต้องตกนรกอยู่ใต้ร่างของเราและทหารทุกคนในตำหนักของเรา จนกว่าเราจะค้นหามัสรานีพบ” น้ำเสียงของเขาดุดัน เดือดดาล และน่าสะพรึง “และเมื่อเราตามหามัสรานีพบซึ่งก็คือเวลาที่เจ้าได้เป็นอิสระ”
“ไม่... ไม่นะเพคะ องค์รัชทายาท” หล่อนส่ายหน้าระริก หวาดกลัวกับสิ่งที่ได้ยินเหลือเกิน
“ทำไมไม่ล่ะ เจ้าควรจะดีใจสิที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการจากผู้ชายทั้งตำหนักของเรา”
“หม่อมฉัน... ไม่ได้ต้องการแบบนี้เพคะ... ได้โปรด... สั่งประหารหม่อมฉันเถอะเพคะ” หล่อนร้องไห้คร่ำครวญเพราะความหวาดกลัวกับโทษทัณฑ์ป่าเถื่อนที่จามีลมอบให้ แต่เขากลับหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“ยิ่งเห็นเจ้าหวาดกลัว เราก็ยิ่งสะใจ” ดวงตาสีทองแวววับน่ากลัว “เลือกเอานะว่าจะเอาทางไหน นอนกับผู้ชายทั้งตำหนักของเรา หรือว่าจะยอมให้พ่อกับแม่ของเจ้าถูกตัดหัว”
หล่อนปล่อยโฮออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่ายหน้าไปมาและพยายามวิงวอนขอความเมตตา
“อย่าทรงพระทัยร้ายกับหม่อมฉันแบบนี้เลยเพคะ ได้โปรด... สั่งประหารหม่อมฉันแทนเถอะเพคะ”
“ถ้าเราใจร้ายจริง เจ้าคงไม่มีวันได้มาตีฝีปากกับเราอยู่ในขณะนี้หรอก และที่สำคัญ พ่อกับแม่ของเจ้าก็คงถูกตัดหัวไปตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้แล้ว”
“แต่หม่อมฉัน...”
“เรามีเวลาให้เจ้าตัดสินใจจนถึงหกโมงเย็นของวันนี้ ถ้าเจ้าเลือกจะนอนกับผู้ชายทั้งตำหนักของเราก็ให้มาที่นี่ก่อนหกโมงเย็น แต่ถ้าเจ้าไม่มา หรือมาช้าแม้แต่วินาทีเดียว หัวของพ่อกับแม่ของเจ้าจะไม่ได้อยู่บนคออีกต่อไป”
“องค์รัชทายาท... ได้โปรด... ได้โปรด... เมตตาด้วยเพคะ”
หล่อนคลานไปเกาะเท้าใหญ่ของเขา แต่เขาสะบัดแรงๆ จนหล่อนกระเด็นออกห่าง
“ออกไปได้แล้ว ไปสิ!”
หล่อนไม่ขยับ ยังคงร้องไห้คร่ำครวญ จามีลจึงต้องเรียกทหารให้เข้ามาลากตัวหล่อนออกไปโยนทิ้งแทน
ร่างของหล่อนถูกจับโยนลงที่หน้าตำหนักขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ผู้ชายใจร้ายที่ไม่ยอมรับฟังคำอธิบายอะไรจากหล่อนเลย หญิงสาวกัดฟันพาร่างกายบอบช้ำเดินกลับไปยังคุกหลวงเพื่อไปเยี่ยมบิดามารดาอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมได้อีกเช่นเดิม
ทำไมโชคชะตาถึงได้ใจร้ายกับหล่อนนักนะ ทำไม... หล่อนถึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเลย
หล่อนเดินมาทรุดนั่งในมุมลับตาคน ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาเป็นสาย โทษทัณฑ์ร้ายที่จามีลมอบให้ทำให้หล่อนหวาดกลัวสยดสยอง
หล่อนต้องนอนกับผู้ชายทุกคนในตำหนักของเขา...
มือเล็กยกขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ หนทางรอดจากความโชคร้ายในครั้งนี้ไม่มีเลย
เจ้าชายเซรีมเสด็จมาหาผู้เป็นพี่ชายที่ตำหนักด้วยความเป็นห่วงและเป็นกังวล
“เสด็จพี่... เป็นยังไงบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษรูปงามที่ยืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างตำหนักหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นน้องชาย
“แค้น โกรธ และไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องระยำนี้ขึ้นได้”
“หม่อมฉันเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ และหม่อมฉันก็ต้องขอประทานอภัยเสด็จพี่ด้วยที่ปล่อยให้คนของตัวเองก่อเรื่องร้ายแรงแบบนี้ขึ้นมา”
“เจ้าไม่ผิดหรอก”
“แต่องครักษ์ฟีรัสเป็นคนของหม่อมฉัน...” เจ้าชายเซรีมรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่สุด ยิ่งเห็นสีหน้าของพี่ชายเคร่งเครียด ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความละอายใจ
“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่มันเป็นความผิดของนังแพศยานั่นต่างหาก”
“เสด็จพี่หมายถึงผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ มัสรานีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทจามีลไม่ได้ตอบคำตอบของน้องชาย และไม่คิดจะตอบด้วย เขาเดินไปทรุดนั่งบนโซฟานุ่ม ตวัดท่อนขากำยำทรงพลังไขว้ทับกัน จากนั้นจึงพูดขึ้น
“เอาเป็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เซรีม”
“เอ่อ แล้ว... ครอบครัวของฟีรัสล่ะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน... หมายถึงชมพูนุช”
“เจ้าเป็นห่วงนางด้วยหรือ” คิ้วเข้มที่พาดผ่านเหนือดวงตารียาวคมกริบของจามีลเลิกสูง ยิ้มหยันที่มุมปากหยักสวย
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นห่วงนางพ่ะย่ะค่ะ แต่คนที่เป็นห่วงนางคือพระชายาของหม่อมฉัน”
ดวงตาคมกริบของจามีลมืดลึกยากที่จะอ่านความรู้สึกนึกคิดออกได้
“กลับไปบอกชายาของเจ้าเถอะ หากนางคนนั้นไม่มีความผิด พี่จะไม่มีวันแตะต้องนาง แต่ถ้านางกระทำผิด นางจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม!”
น้ำเสียงดุดันของพี่ชายทำให้เจ้าชายเซรีมใจคอไม่ดีนัก
“แล้วหัวหน้าองครักษ์อัฟนานกับภรรยาล่ะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
“พี่ยังตอบคำถามเจ้าไม่ได้ว่าพี่จะทำยังไงกับสองคนนั้น แต่ยังไงซะ เรื่องนี้ก็จะต้องมีคนรับผิดชอบ”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
“เจ้ากลับไปเถอะ พี่จะพักผ่อน”
เจ้าชายเซรีมขยับมาหยุดตรงหน้าของพี่ชาย “หม่อมฉันอยากให้เสด็จพี่เข้มแข็งน่ะพ่ะย่ะค่ะ ผู้หญิงที่เพียบพร้อมยังมีอีกมากมาย มัสรานีไม่คู่ควรกับเสด็จพี่อีกแล้ว”
“เจ้าพูดเหมือนว่าพี่กำลังตรอมใจอย่างนั้นแหละ”
“หม่อมฉันเห็นพระพักตร์ของเสด็จพี่เคร่งเครียดน่ะพ่ะย่ะค่ะ และก็รู้อยู่เต็มอกว่าเสด็จพี่โปรดมัสรานีมากกว่าผู้หญิงทุกคนในราชวังซาเรีย”
รอยยิ้มหยันผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหล่อจัดขององค์รัชทายาทแห่งซาเรียอีกครั้ง
“ใช่ พี่โปรดปรานนางมาก และก็คิดถึงขนาดจะรับนางเข้าวัง แต่พี่ยังไม่ได้รักนาง”
“เสด็จพี่ตรัสราวกับว่า... ไม่ได้เสียพระทัยนักกับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น” เจ้าชายเซรีมถามออกไปอย่างแคลงใจ
“หึ... ความผิดหวังน่ะมีนิดหน่อย แต่พี่ไม่ได้ถึงขนาดเสียใจ”
“แล้วอย่างนั้นทำไมเสด็จพี่ถึงกริ้วนักล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้พี่เสียหน้าเป็นอย่างมากยังไงล่ะ เซรีม” ดวงตาสีทองมืดลึกขององค์รัชทายาทจามีลเลื่อนไปสบประสานกับดวงตาของผู้เป็นน้องชาย “พี่เป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งซาเรียเลยนะ แต่กลับถูกองครักษ์แย่งชิงผู้หญิงที่หมายตาเอาไว้ไปหน้าตาเฉย เจ้าคิดว่าพี่ควรจะหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือ”
“เอ่อ... หม่อมฉันไม่ได้คิดแบบนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“พี่จะลงโทษคนที่เกี่ยวข้องให้สาสม!”
เจ้าชายเซรีมได้แต่ลอบถอนใจออกมา เขารู้จักนิสัยของพี่ชายดี เวลาดี จามีลก็ดีใจหาย แต่เวลาโกรธก็พร้อมที่จะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ยับเยินเช่นกัน
“เจ้ากลับไปเถอะ พี่จะพักผ่อนแล้ว”
แม้จะยังไม่ได้คำตอบที่มะลิต้องการ แต่เจ้าชายเซรีมก็ไม่อาจจะขัดใจพี่ชายได้ “งั้นหม่อมฉันทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
จามีลเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอีกครั้ง หลังจากที่ร่างสูงใหญ่ของน้องชายเดินหายออกไปจากตำหนักแล้ว ดวงตาสีทองตอนนี้มืดดำราวกับคืนเดือนแรม สองมือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ในอกมีแต่ไฟแค้นสุมทรวง
“ผู้หญิงแพศยา... ฉันจะลงโทษเธอให้สาสมเลยทีเดียว”