“ท่านลุงอำมาตย์คะ...” หล่อนคลานไปเกาะเท้า และพยายามที่จะอธิบาย “ฉันไม่ได้โกหกนะคะ ฉันพูดเรื่องจริง โอ๊ย...” ร่างเล็กถูกสลัดออกจากขาอย่างไร้ความปรานี ชมพุนุชกระเด็นกลิ้งออกมา และเมื่อหล่อนพยายามจะคลานไปวิงวอนอีก แต่คราวนี้อำมาตย์ฮานีฟรีบก้าวหลบ
“ถ้าไม่อยากถูกลงโทษเหมือนกับพ่อแม่ของเจ้า หุบปากซะ อย่าใส่ความลูกสาวของข้าอีก” น้ำเสียงของอำมาตย์ชราแข็งกระด้างน่าสะพรึงกลัว “ตอนนี้ทุกคนในวังซาเรียเข้าใจว่าพี่ชายของเจ้าลักพาตัวลูกสาวของข้าไป ให้ทุกคนเข้าใจแบบนั้นต่อไปน่ะดีแล้ว”
“ท่านลุงอำมาตย์...” หล่อนร้องเรียกออกไปทั้งน้ำตา แต่เจ้าของชื่อเดินจากไปพร้อมกับทหารอย่างไม่ไยดี มือเล็กยกขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวังและหวาดกลัว
“ท่านพ่อ... ท่านแม่...”
ดวงตากลมโตที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาเบิกกว้าง หล่อนรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนบ้าน มองหามารดาและบิดาเลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“ท่านพ่อ... ท่านแม่... พวกท่านอยู่ไหนคะ”
หล่อนวิ่งวนรอบบ้านที่เต็มไปด้วยทหารวังราวกับคนบ้า คนงานในบ้านไม่เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ทำให้หล่อนไม่อาจจะหาคำตอบจากผู้ใดได้เลย
ร่างอรชรทรุดลงกับพื้นอีกครั้งอย่างสิ้นเรี่ยวแรง สมองพยายามครุ่นคิดหาทางออก และก็นึกขึ้นได้ จึงกัดฟันลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปสอบถามกับทหารวัง แต่คนแล้วคนเล่าไม่มีใครปริปากพูดสิ่งใดกับหล่อนเลยแม้แต่คนเดียว ราวกับว่าพวกทหารเหล่านี้ถูกสั่งห้ามพูด
“ท่านพ่อ... ท่านแม่... พวกท่านหายไปไหนกันหมดคะ”
หล่อนสิ้นหวังจนไม่อาจจะหยุดร้องไห้ได้ ตอนนี้สมองมืดมนอับจนหนทางเหลือเกิน
จะทำยังไงดี... หล่อนจะทำยังไงดี ถึงจะสามารถช่วยเหลือแม่และพ่อเลี้ยงได้
ชมพูนุชร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง เพื่อขอความช่วยเหลือจากมะลิ หรืออย่างน้อยๆ ก็คำแนะนำก็ยังดี
‘เราได้ยินมาจากเจ้าพี่ว่าท่านหัวหน้าองครักษ์อัฟนานกับภรรยาถูกนำตัวไปคุมขังที่คุกหลวง’
สิ่งที่หล่อนได้ฟังจากปากของมะลิ ทำให้หล่อนตกใจแทบช็อก เพราะหล่อนอยู่ที่ซาเรียมานาน รู้ดีว่าหากนักโทษคนใดถูกนำไปคุมขังที่คุกหลวงแสดงว่าโทษทัณฑ์หนักหนา อาจจะถึงขั้นประหารชีวิต
แต่หล่อนจะยอมให้พ่อกับแม่ต้องมาตายโดยไม่มีความผิดไม่ได้ พวกท่านไม่รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด ตรงกันข้ามกับหล่อนที่รู้เรื่องมาตลอด แต่ไม่ได้ขัดขวางอะไรจริงจัง จนสุดท้ายต้องมาเกิดเรื่องราวแบบนี้
“พี่ทหารจ๊ะ ฉันขอ... เข้าไปเยี่ยมพ่อกับแม่หน่อยได้ไหมจ๊ะ”
หล่อนเดินมาหยุดที่หน้าคุกหลวง และพยายามขอความเมตตาจากทหารวัง แต่พวกเขาส่ายหน้าดิก
“ไม่ได้หรอกแม่นาง องค์รัชทายาททรงมีพระกระแสรับสั่งว่าห้ามใครทุกคนเข้าไปเยี่ยมนักโทษ”
“แต่ฉัน... เป็นลูกสาวนะคะ ฉัน... ขอแค่นาทีเดียว นะคะ ได้โปรดเห็นใจฉันด้วย” หล่อนวิงวอนทั้งน้ำตา
ทหารมองหน้ากันอย่างสงสารเวทนาหล่อน แต่ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยเหลือ
“ไม่ได้จริงๆ แม่นาง ขออภัยด้วย”
คำตอบที่ได้รับ ทำให้สองเท้าไร้เรี่ยวแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ หล่อนต้องล่าถอยออกมา และมานั่งหลบมุมร้องไห้อยู่เพียงลำพัง ในหัวก็พยายามหาหนทางที่จะช่วยครอบครัว
“ทำไมองค์รัชทายาทพระทัยร้ายแบบนี้เพคะ”
หรือว่าหล่อนจะต้องไปพบเขา ไปขอร้องเขาด้วยตัวเอง...
มันคือทางเลือกสุดท้ายที่แสนน่ากลัว เพราะถ้าจามีลจับหล่อนขังคุกอีกคน ก็เท่ากับว่าจะไม่มีใครช่วยเหลือครอบครัวของหล่อนได้อีกแล้ว แต่หล่อนไม่มีทางเลือก ในเมื่อคำสั่งขององค์รัชทายาทคืออำนาจที่ทุกคนไม่อาจจะฝ่าฝืนได้ ดังนั้นทางเดียวที่จะช่วยพ่อกับแม่ได้ก็คือต้องทำให้จามีลถอนคำสั่ง แต่เขา... จะเชื่อคำพูดของหล่อนแค่ไหนกัน ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าของหล่อนเลย
ร่างอรชรกัดฟันลุกขึ้นยืน น้ำตาหยดสุดท้ายถูกป้ายจนแห้งไปจากแก้มนวล หล่อนเดินโซซัดโซเซกลับไปยังภายในพระราชวังหลวง ซึ่งโชคดีที่หล่อนเป็นนางกำนัลคนสนิทของพระชายาในเจ้าชายเซรีม ทำให้หล่อนมีป้ายผ่านที่สามารถเข้าถึงราชฐานชั้นในได้ไม่ยาก
หล่อนกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่กำลังเกรี้ยวกราดเพราะนางในดวงใจหายตัวไป แต่ถ้าหล่อนไม่ไปพบเขา พ่อกับแม่ก็จะไม่มีวันได้ออกมาจากคุกหลวงนั่น
หล่อนไม่มีทางเลือก!
องค์รัชทายาทรูปงามนั่งอยู่นั่งโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ภายในห้องทำงานที่แบ่งแยกออกไปจากส่วนของห้องนอนหรู ในมือใหญ่กุมโทรศัพท์มือถือแนบเอาไว้ที่หู ดวงตาสีทองที่ยามนี้มืดลึกสว่างวาบเป็นเปลวเพลิงขึ้นทันทีเมื่อเห็นหล่อน เขาพูดกับเจ้าอุปกรณ์สื่อสารอีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย และโยนมันทิ้งลงบนโต๊ะไม้ จากนั้นก็ให้ความสนใจกับผู้บุกรุกอย่างหล่อนเต็มที่
“กล้าดียังไง เข้ามาในห้องทำงานของฉัน!”
“หม่อมฉัน...” หล่อนรีบคุกเข่าลงกับพื้นพรม และละล่ำละลักอธิบาย “ขอประทานอภัยที่เข้ามารบกวนองค์รัชทายาทเพคะ แต่หม่อมฉัน... มีความจริงต้องกราบทูลพระองค์เพคะ”
“หึ...” จามีลลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังตัวใหญ่เนื้อนุ่ม เดินอ้อมโต๊ะออกมาหยุดเบื้องหน้าของชมพูนุช เขามองหล่อนอย่างเหยียดหยาม “ความจริงที่เจ้ามีส่วนรู้เห็นกับการลักพาตัวมัสรานีของเราใช่ไหมล่ะ”
“ไม่... ไม่ใช่นะเพคะ องค์รัชทายาท” หล่อนส่ายหน้าดิก และพยายามอธิบาย
“ถ้าไม่ใช่เจ้า งั้นก็เป็นพ่อกับแม่ของเจ้า”
หล่อนสะอื้นได้ด้วยความหวาดกลัว “พ่อกับแม่ไม่รู้เรื่องเลยเพคะ พวกท่านไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
“แล้วเจ้าล่ะ”
“หม่อมฉัน...”
ใบหน้าหล่อจัดของจามีลที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่หล่อนทำเห็นทำให้เนื้อตัวสาวยิ่งสั่นเทา
“ทราบ... ทราบเรื่องมาก่อนหน้านี้เพคะ”
“ทราบเรื่องที่พี่ชายเจ้าจะลักพาตัวมัสรานีใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะเพคะ ท่านพี่ฟีรัสไม่ได้ลักพาตัวคุณมัสรานีไป หม่อมฉันยืนยันได้เพคะ”
สีหน้าของจามีลบอกให้รู้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาไม่มีทางเชื่อคำพูดของหล่อนแน่นอน “เจ้ากำลังจะบอกเราว่า มัสรานีหนีตามพี่ชายของเจ้าไปเองอย่างนั้นหรือ”
หล่อนรู้ดีว่าจามีลกำลังเกรี้ยวกราดและเดือดดาลอย่างหนัก เพราะแววตาและสีหน้าของเขาบอกให้รู้ได้เป็นอย่างดี แต่แปลกนักที่เขาไม่ได้อาละวาดอย่างที่ควรจะเป็น กลับนิ่งเงียบ และเย็นชาจนน่าประหลาดใจ คงเป็นเพราะชายหนุ่มคือองค์รัชทายาท เขาถึงต้องระงับโทสะเอาไว้แบบนี้
“เพคะ”
“แต่เราไม่เชื่อเจ้า ไม่มีทางเชื่อว่าผู้หญิงที่งดงามทั้งกายและใจอย่างมัสรานีจะทำเช่นเจ้ากล่าวหา”
สายตาของจามีลที่มองมานั้นช่างเต็มไปด้วยการดูแคลนและชิงชัง
“ถ้าเป็นเจ้า เราจะไม่แคลงใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย”
หล่อนเจ็บจนจุกกับคำกล่าวหาไร้ความจริงของจามีล แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ทำได้แค่เพียงน้อยใจ และเสียใจเงียบๆ ในอกเพียงเท่านั้น
“หม่อมฉัน... กราบทูลความจริงทุกประการเพคะ”
“ออกไปได้แล้ว ก่อนที่เราจะจับเจ้าเข้ากรงขังรวมกับพ่อแม่ของเจ้าอีกคน”
“หม่อมฉันไม่ไปเพคะ... ได้โปรดทรงเมตตาด้วย พ่อกับแม่ของหม่อมฉันท่านไม่ผิดจริงๆ เพคะ พวกท่านไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ขอองค์ รัชทายาทได้โปรดเมตตาด้วย...”
จามีลแทบอยากจะหักคอสตรีที่กำลังคร่ำครวญครางหน้าให้เป็นสองท่อนนัก เขาไม่ฆ่าหล่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ไสหัวออกไปซะ ก่อนที่เราจะทนไม่ได้”
ชมพูนุชหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องช่วยบิดามารดาให้ได้
“หม่อมฉัน... ผิดเองเพคะ หม่อมฉัน... เป็นคนยุแยงให้ท่านพี่ลักพาตัวคุณมัสรานีไปเพคะ”
คำโกหกเพื่อช่วยครอบครัวของหล่อนได้ผล เพราะทำให้องค์ รัชทายาทผู้งามสง่าชะงักกึก ก่อนที่เขาจะเค้นเสียงกระด้างเดือดดาลเล็ดลอดออกมาจากไรฟันขาวสะอาด
“นี่เจ้า... เองหรือที่เป็นตัวการของเรื่องนี้”
หล่อนก้มหน้าร้องไห้ ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว หล่อนยอมทรมาน ยอมตายเพื่อช่วยพ่อกับแม่
“เพคะ... หม่อมฉันเองเพคะ”
“เหตุผลล่ะ” จามีลเค้นเสียงถามจนแทบจะกลายเป็นตวาด มองสตรีหน้าหวานด้วยความชิงชัง
“เพราะว่า... หม่อมฉัน...” ชมพูนุชพยายามหาเหตุผลที่จะทำให้ จามีลเชื่อสนิทใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง และก็คิดได้ “เพราะ... หม่อมฉันแอบรักองค์รัชทายาทเพคะ”
หล่อนคิดว่าจามีลจะต้องตกใจมากที่ได้ยินคำตอบของหล่อน แต่เขากลับแค่นยิ้มหยันเยาะเพียงเท่านั้น ราวกับล่วงรู้มานานแล้วไม่มีผิด
“แพศยา!”
“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันยินดีตาย ยินดีถูกประหาร ขอแค่เพียงให้พ่อกับแม่ของหม่อมฉันปลอดภัย เพราะพวกท่านไม่เกี่ยวข้องด้วยจริงๆ เพคะ”
จามีลเดินกลับไปกลับมาด้วยความเกรี้ยวกราด เขาชิงชังแม่นางในหน้าหวานคนนี้แน่นอก แต่กลับไม่อาจจะสั่งตัดหัวหล่อนได้ ไม่กล้าแม้จะสั่งคุมขังด้วยซ้ำ เพราะอะไร... มันเพราะอะไรกัน
“เจ้ามันสมควรตายนัก”
“หม่อมฉัน... ยอมตายเพคะ”
“มันง่ายเกินไป โทษตายมันไม่คู่ควรกับผู้หญิงแพศยาอย่างเจ้าหรอก”