ข้อมือฉันถูกคว้าไว้อีกครั้งอย่างถือวิสาสะจากผู้หญิงแมน ๆ ที่ชื่อเอม
"อ้ะ ๆ ไม่ได้นะครับคุณเอม งานนี้คุณเอมไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่ง"
"อ้ะ!" มืออีกข้างถูกคว้าด้วยมือหนาที่ค่อนข้างติดสากเล็กน้อย
กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันกำลังถูกคนสองคนจับมือไว้คนละข้างและดูท่าทางแล้วอีกไม่นานฉันจะต้องถูกยื้อแย่งจนเจ็บตัวแน่ ๆ
"ปล่อยนะ!" ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าตะโกนออกไปแล้วสะบัดมือเต็มแรงจนหลุดจากมือผู้หญิงที่ชื่อเอม
ทำไมถึงไม่หลุดออกจากมือนายไจ๋อะไรนี่ด้วยนะ คนหรือตุ๊กแก เหนียวชะมัด ขนาดสะบัดทีเผลอยังไม่หลุดเลย
"คิดว่ามือผมเป็นตุ๊กแกอยู่เหรอครับคุณข้าวฟ่าง"
อ้ะ อะไรของหมอนี่ เดาใจแม่นเกินไปแล้วนะ
"พอดีผมมีประสบการณ์มาก่อน ครั้งนี้คงสะบัดผมหลุดยากหน่อยนะครับ"
ชิ! เขาคงจะหมายถึงครั้งแรกที่เราเจอกันตอนที่อยู่โรงพยาบาล
"นี่ก็เสียเวลาไปหลายนาทีแล้ว ผมขอตัวพาเด็กใหม่ไปพบเฮียก่อนนะครับคุณคมสันต์ คุณเอมิกา"
สิ้นสุดประโยคที่ฟังดูมีมารยาทนั้น ร่างกายฉันก็ถูกคนตัวโตดันไหล่จากด้านหลังให้เดินไปทางมุมหนึ่งของห้องที่ยืนอยู่ ตรงนั้นมีลิฟต์ตัวหนึ่ง นายไจ๋ยื่นมือไปกดปุ่มเปิด ดันแผ่นหลังฉันเข้าไปด้านใน
"ผมดีใจนะครับที่คุณข้าวฟ่างรีบตัดสินใจมาที่นี่ ไม่อยากจะบอกเลยว่าถ้าเลยวันนี้ไปความปลอดภัยพ่อเลี้ยงคุณคงไม่สวยแน่"
"อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!"
รีบกระชากเสียงกลับในใจห่วงความปลอดภัยของแม่และลุงสงบ
ทำไมฉันต้องห่วงแม่ด้วย ก็เพราะช่วงนี้ท่านมักตัวติดกันตั้งแต่พ่อเลี้ยงฉันออกจากโรงพยาบาลยังไงล่ะ ถ้าเกิดคนพวกนี้จะเล่นงานพ่อเลี้ยงฉันอย่างที่พูดจริง แม่ก็ตกอยู่ในอันตรายด้วยเหมือนกัน
"ผมบอกว่า 'ถ้าวันนี้' คุณข้าวฟ่างไม่มาต่างหาก อย่าวิตกเกินไปสิครับ ในเมื่อวันนี้คุณมายืนอยู่ที่นี่แล้ว พ่อเลี้ยงคุณก็ไม่เดือดร้อน"
รอยยิ้มขำขันเวลาเห็นคนอื่นหวาดกลัวผุดขึ้นอีกครั้ง
ลูกน้องยังร้ายกาจขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกถึงนิสัยใจคอเจ้านายของเขาเลยว่าจะโหดกว่าขนาดไหน
ติ๊ง!! รีบปาดเหงื่อออกจากหน้าผากเมื่อตัวลิฟต์เตือนว่าถึงที่หมายแล้ว
ตึกตักตึกตักตึกตัก
หัวใจฉันเต้นถี่ด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งกลัว ทั้งกังวลและประหม่า
"เดี๋ยวรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ขอเข้าไปเรียนเจ้านายก่อน พอดีว่าถ้าพรวดพราดเข้าไปอาจจะตายคู่ได้"
กึก... ทำไมหมอนี่ถึงได้ชอบขู่อะไรน่ากลัว ๆ แบบนี้ด้วยนะ
ห้านาทีต่อมา
ตุ้บ!
วัตถุมันวาวสีดำขลับถูกมือหนาวางลงบนโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ข้าง ๆ จนเกิดเสียงดัง
ฉันสะดุ้งห่อไหล่คอตกหวาดกลัวว่าวัตถุชิ้นนั้นจะลั่นกระสุนออกมาตอนไหน
"ประนอมหนี้?" เสียงทุ้มดังกังวานถามขึ้น
ฉันมองไม่เห็นว่าเขาหน้าตาแบบไหนเพราะเขานอนอยู่บนเปลผ้าใบเหมือนของชายหาด มองเห็นเพียงแค่ส่วนปลายศีรษะที่ยื่นเกยพ้นขอบเปลออกมาเป็นผมสีแดงเพลิงค่อนไปทางอมชมพู ดูแค่นี้ก็บ่งบอกแล้วว่าเขาผู้นี้ไม่น่าจะเป็นคนแก่อย่างที่ฉันคิดไว้ในตอนแรก ตุ้บ!!
"อ้ะ!" ฉันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือหนาตบเข้ากับโต๊ะตัวเดิมที่มีปืนหนึ่งกระบอกวางอยู่จนเกิดเสียงดังลั่น มองไปด้านขวามือของตัวเองเห็นนายไจ๋ยืนเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ไหวติงกับเสียงทุบมือบนโต๊ะเหมือนฉันสักนิด
"ถามไม่ตอบ มึงไม่ได้บอกยัยนี่หรือยังไงว่ากูเกลียดการรอคอย"
เพราะฉันเงียบคนที่ถามคำถามเลยอารมณ์เสียหันไปเล่นงานลูกน้องเขา
"บอกแล้วครับ" ใช่ จำได้ราง ๆ ว่านายไจ๋เคยพูดประมาณนั้นให้ฉันฟังครั้งหนึ่ง
"อ้อ บอกแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมตอบคำถามง่าย ๆ อีก" ครั้งนี้ลำแขนแกร่งยื่นออกมาลูบ ๆ คลำ ๆ ที่วัตถุสีดำอันตราย
ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ทั้งกลัว ทั้งใจสั่น แต่สายตาเจ้ากรรมดันจ้องแต่ลำแขนแกร่งผิวขาวเนียนราวมือผู้หญิงนั้นอย่างลืมตัวกลัวตาย
"คนสวย รีบตอบคำถามเฮียสิ"
ได้สติอีกครั้งเพราะเสียงลูกน้องเขาตะโกนบอก
เมื่อกี้เขาถามว่าอะไรนะ... อ้อ เขาถามว่าฉันมาเพื่อประนอมหนี้ใช่ไหม
"ชะ ใช่ค่ะ ข้าวมาเพื่อขอผ่อนจ่ายหนี้ที่พ่อเลี้ยงติดไว้"
พยายามพูดให้เป็นประโยคติดต่อกัน แม้ในใจจะหวาดกลัวและระแวงไอ้วัตถุอันตรายตรงหน้า ของแบบนั้นไม่มีหูไม่มีตา ถ้าลั่นขึ้นมาเกิดดวงจู๋ได้บรรลัยแน่นอน
"นี่คงไม่รู้กฎของที่นี่สินะ" ครั้งนี้คนตรงหน้าเหมือนขยับตัวเล็กน้อย
จากท่านอนในคราวแรกเปลี่ยนเป็นลุกนั่งบนเปลตัวเดิมทำให้ฉันมองเห็นผมยาวละต้นคอสีแดงเพลิงนั้นถนัดตา ไล่ตาลงต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยจะเห็นปีกไหล่กว้างที่ดูแข็งแกร่งเพราะคงออกกำลังกายหนัก แผ่นหลังเขาเองก็กว้างจนน่าซบ น่ากอด คงอบอุ่นน่าดู
เฮ้ย! ยัยข้าว แกคิดอะไรเนี่ย!!
"อะแฮ่ม!" เสียงกระแอมไอจากคนที่ยืนสังเกตการณ์ดังขึ้น ฉันแทบจะมุดพื้นคอนกรีตหนีแก้หน้าแตกที่ถูกบางคนจับได้ว่าเผลอมองเจ้านายเขามากเกินควร
"ไอ้ไจ๋ มึงลองบอกกฎข้อแรกของที่นี่สิ" เสียงทุ้มเข้มคุยกับลูกน้องเขา
ฉันเอาแต่ยืนกำกระโปรงยาวคลุมเข่าจนเหงื่อเริ่มซึมออกมา
"กฎข้อที่หนึ่งของอนันต์กาสิโนคือ ติดหนี้ต้องจ่าย ห้ามผ่อน ห้ามหนี ห้ามหาย เพราะจะตายสถานเดียว"
กึก... ในโพรงปากฉันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเมื่อเผลอกัดเนื้ออ่อนด้านในจนเกิดแผล แล้วทำไมนายไจ๋ถึงไม่บอกฉันล่ะว่าไม่มีกฎแห่งการประนอมหนี้ฉันจะได้ไม่ต้องมาและหาวิธีอื่นเอา แบบนี้ฉันไม่ซวยกลายเป็นร่างไร้วิญญาณถึงจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไง
"แต่นายครับ เรามีกฎที่ไว้แหกหนึ่งข้อไม่ใช่หรือครับนาย"
อ้ะ! สิ้นสุดเสียงแหบพร่าของลูกน้องเขา ใจฉันชื้นขึ้นมาอย่างมีความหวัง มีกฎไว้สำหรับแหกคอกด้วยเหรอ ถือว่าแปลกคนพิลึก
"กูไม่ลืม เว้นแต่ว่า ของชิ้นนั้นเหมาะกับการใช้แลกหนี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง"
เสียงทุ้มเอ่ยจบ ฉันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกจากแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนตรงหน้า ใบหน้าที่ฉันยังไม่เคยเห็นค่อย ๆ เอียงองศามาด้านข้างเล็กน้อย
เพียงแค่เศษเสี้ยวของกรอบรูปหน้า ฉันก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาไม่ธรรมดา
สันจมูกที่โดดเด่นขนาดเห็นแค่ครึ่งเสี้ยวยังเดาออกเลยว่ามันต้องรับกับเรียวหน้าเต็ม ๆ ของเขาได้ลงตัว
"ผมรับรองว่าคุ้มกับการแหกกฎแน่นอน" ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แล้วอะไรคือการที่มาใช้แหกกฎการประนอมหนี้ของฉันได้
"หมายความว่า ถ้าข้าวมีสิ่งนั้นที่คู่ควรกับหนี้ก้อนนี้ คุณก็จะให้ข้าวผ่อนจ่ายได้ใช่ไหมคะ" แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งไหน แต่ถ้าฉันมีและสามารถเอามาประนอมหนี้ครั้งนี้ได้ฉันก็ยอมหมด
"หึ!" ไม่รู้ว่าคำถามฉันมันน่าขำตรงไหน คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในนี้จึงเค้นหัวเราะออกมาหนึ่งที "หนี้พ่อเลี้ยงยัยนี่เท่าไหร่นะ" เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกน้องเขาอย่างเรียบเฉย
"หนึ่งล้านครับ" นายไจ๋รีบตอบคำถามทันที
"เงินล้านนึงเธอคิดว่าควรใช้อะไรมาเป็นหลักค้ำประกันว่าจะใช้หนี้ฉันหมด"
ถือว่าเป็นลางดีแล้วที่เขายอมเปิดใจคุยเรื่องนี้
"ข้าวไม่มีบ้าน" เพราะ ณ ตอนนี้ฉันยังเช่าบ้านอยู่ ถึงแม้เจ้าของบ้านจะใจดีและให้อยู่กันเหมือนคนในครอบครัวก็เถอะ
"มีรถคันหนึ่งแต่ยังผ่อนไม่หมด" นั่งลิสต์ทรัพย์สินที่ตัวเองมีทำไมฟังแล้วหดหู่จัง
"เงินในบัญชีมีแค่ห้าหลัก" เพราะเมื่อวันก่อนจ่ายค่าโรงพยาบาลที่พ่อเลี้ยงฉันพักรักษาตัวอยู่ตั้งแสนกว่าบาท ทำให้ตอนนี้ฉันเหลือเงินในบัญชีแค่หลักหมื่นต้น ๆ
"พอ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ของพวกนั้นฉันมีครบหมดแล้ว ไม่สามารถเอามาเป็นสิ่งค้ำประกันได้" อึก... น้ำลายหนืด ๆ ถูกกลืนลงคอ
น้ำใส ๆ เริ่มจะรื้นขึ้นจนจะเต็มขอบกั้นแต่ฉันฮึบมันไว้ "ละ แล้ว"
เสียงฉันสั่นแต่ยังอยากจะถามเขาว่าเขาต้องการอะไรมาค้ำประกันในครั้งนี้
"แล้วคุณต้องให้ข้าวหาอะไรมาค้ำประกันล่ะคะ" ถามจบแล้ว คราวนี้ก็มาลุ้นกันว่าคำตอบของเขาคืออะไร ขอให้เป็นสิ่งที่ฉันสามารถหามันมาได้ทีเถอะ