“มีอันใดหรือ”
“อาหารพวกนี้ล้วนแปลกตาเสียจริง” ไป๋ฟางเซียนตอบอย่างคนทั่วไปที่เห็นอาหารตรงหน้าครั้งแรก เพราะหากไม่ตอบอันใดเลยนางคงจะแปลกแยกเกินไป
ซึ่งอาหารชั้นนำของโรงเตี๊ยมตระกูลหยางที่หยางตงเยว่ได้สั่งมานั้นประกอบไปด้วย เต้าหู้ทอด ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดถั่วลิสง เปาะเปี๊ยะ และปลากะพงนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารอีก 2-3 อย่างขึ้นโต๊ะ แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป็นอาหารจานผักธรรมดา
หลังจากเห็นรายการอาหารนางก็แปลกใจอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีอาหารคุ้นตาที่นางกินประจำในยุคสมัยที่จากมา
“รสชาติดียิ่ง” หลังจากคีบหมูผัดเปรี้ยวหวานขึ้นมากิน รสชาติคุ้นเคยก็อบอวลอยู่ในปากของนาง ก่อนที่จะคีบอาหารที่เหลือมาชิมบ้างจึงพบว่าทั้งหมดล้วนรสชาติดีจนต้องเอ่ยชม
หยางตงเยว่เห็นสหายคนใหม่พอใจกับรสชาติอาหารจึงยืดอกรับด้วยความภูมิใจ ก่อนจะลังเลเล็กน้อยแล้วพูดความลับบางอย่างให้นางฟัง
“แน่นอนสิ ถ้าอาหารโรงเตี๊ยมข้าไม่อร่อยจะมีที่ไหนอร่อยอีกเล่า แม้แต่ในวังรสชาติเช่นนี้ใช่ว่าเจ้าจะได้กินนะ”
“อ๋อเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ... อันที่จริงอาหารพวกนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมข้าคิดเองหรอกนะ แต่ข้าซื้อสูตรมาจากตระกูลฮุ่ย ตระกูลที่ขายเครื่องปรุงจนโด่งดังกลายเป็นคหบดีอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวงอยู่ตอนนี้น่ะ”
ไป๋ฟางเซียนเงยหน้ามองคนตรงข้ามด้วยสายตาแปลกไป การที่อีกฝ่ายบอกว่าอาหารพวกนี้ตระกูลหยางไม่ได้คิดขึ้นมาเองไม่ใช่ว่ามันควรเก็บเป็นความหลับหรอกหรือ แล้วเลือกบอกนางเช่นนี้ไม่กลัวนางไปโพนทะนาหรืออย่างไร จะไว้ใจนางง่ายเกินไปหรือไม่
“นี่เป็นความลับของตระกูลเจ้า เจ้าไม่ควรบอกข้า”
“ไม่รู้สิ ข้าพูดไปแล้วนี่ และข้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายข้า” หยางตกเยว่ยักไหล่ก่อนตอบ
ไป๋ฟางเซียนมองหน้าอีกฝ่ายอย่างค้นหา เมื่อเห็นว่าไม่มีระลอกคลื่นใดในดวงตาจึงได้ปล่อยวาง แล้วเลือกถามในสิ่งที่นางสนใจอยากรู้มาตั้งแต่ต้นแทน
“ช่างเถอะ เมื่อกี้เจ้าพูดถึงตระกูลฮุ่ยที่ขายเครื่องปรุงเช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีกรรมวิธีใดในการคิดข้นเครื่องปรุงและสูตรอาหารต่าง ๆ ได้อร่อยเลิศรสเช่นนี้... อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่คิดไปแย่งการค้าผู้ใด เพียงแต่ข้าสงสัย เพราะเมื่อก่อนไม่ใช่ตระกูลฮุ่ยเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือ ในตอนนั้นพวกเขายังใช้แค่แซ่สกุลฮุ่ยอยู่เลย ทว่าพอเครื่องปรุงโด่งดังมีฐานะจึงได้ก่อตั้งตระกูลขึ้นมาน่ะ แล้วเช่นนี้จะไม่ให้ข้าสงสัยและแปลกใจได้อย่างไร”
ไป๋ฟังเซียนอธิบายยืดยาว นางพูดทุกอย่างชัดเจนไม่มีอะไรแอบแฝง และพูดไม่ให้ตนเองอยากรู้มากเกินไปจนทำให้หยางตงเยว่สงสัยหรือจับพิรุธนางได้
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่ถึงข้ารู้ข้าก็บอกเจ้าไม่ได้ เจ้าเข้าใจข้านะ”
“อืม... ไม่เป็นอันใดหรอก ข้าก็แค่สงสัยและอยากรู้เฉย ๆ น่ะ ไม่ได้ติดใจอันใดอยู่แล้ว” ไป๋ฟางเซียนยักไหล่ตอบกลับง่าย ๆ
หยางตงเยว่นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะจุดประกายความหวังในความอยากรู้ของนางขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าเจ้าอยากรู้ข้าแนะนำให้เจ้ารู้จักคนคนหนึ่งได้นะ”
“ใครหรือ” นางถามอย่างสงสัย ใครกันที่จะมาตอบข้อสงสัยของนางได้
“หลินหลิน เอ่อ ฮุ่ยหลินน่ะ นางเป็นบุตรสาวตระกูลฮุ่ย”
ไป๋ฟางเซียนหรี่ตาก่อนจะยิ้มซุกซน สหายนางผู้นี้ พอพูดถึงสตรีที่มีนามว่าฮุ่ยหลินถึงกับหน้าแดงหูแดง ไม่ใช่ว่าแอบชอบเขาหรอกหรือ คราแรกไป๋ฟางเซียนคิดจะเอ่ยล้อเลียนอีกฝ่ายให้เขินอาย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เอาไว้หยางตงเยว่ทำสิ่งใดให้นางไม่พอใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนางค่อยงัดเรื่องนี้มากลั่นแกล้งเขาก็แล้วกัน
“เจ้าพาข้าไปเจอนางได้หรือไม่ หรือไม่เจ้าก็พานางมาเจอข้า เผื่อถูกชะตาข้าจะได้มีสหายเพิ่มอีกคน สหายของข้าชั่งน้อยนิด เฮ้อ! เรียกว่าไม่มีเลยจะฟังเข้าท่ามากกว่า” ไป๋ฟางเซียนบอกพร้อมกับถอนหายใจ
หยางตงเยว่มุ่นคิ้วก่อนถามคำถามที่ไม่น่าถามออกไป
“แล้วโจวเฟิ่งจิ่วเล่า นางไม่ใช่สหายเจ้าหรือ”
“หึ สตรีดอกบัวขาวปลอม ๆ เช่นนางข้าจะคบได้อย่างไร แค่ผิดพลาดหลวมตัวไปรู้จักครั้งเดียวก็เกินพอ” ไป๋ฟางเซียนพูดอย่างโกรธ ๆ เล็กน้อย เพราะเมื่อคืนขณะที่นางหลับ ความฝันแปลก ๆ ระหว่างเจ้าของร่างและโจวเฟิ่งจิ่วก็แวบเข้ามา ทว่าก่อนที่จะถึงเหตุการณ์สำคัญนางกลับตื่นขึ้นเสียก่อน
คิดแล้วก็หงุดหงิดจนต้องตวัดสายตาวาววับไปยังหยางตงเยว่
“เอ่อ... ข้าพูดอันใดผิดไป อะ เอาเป็นว่า ข้าขอโทษเจ้าแล้วกัน” หยางตงเยว่รีบบอกเพราะเห็นอีกฝ่ายมองมาราวกับจะฟันแทงเขาแล้วก็ให้ขนลุกแปลก ๆ
“เฮ้อ ช่างเถอะ ข้าอยากไปร้านขายอาวุธ เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่ ข้าจะได้สะ...”
“คุณหนูเจ้าคะ” ยังไม่ทันพูดจบประโยค จื่อถิงก็พูดแทรกพร้อมทั้งส่งสายตาปรามนางด้วย
‘อา... คงไม่เหมาะสมอีกสินะ เฮ้อ! ยุ่งยากในการใช้ชีวิตจริงจริ๊งง!’
“ข้าไม่ไปก็ได้ แต่ข้าสั่งกับเจ้าแทนนะ เสร็จแล้วอย่าลืมเอามาให้ข้าด้วยเล่า”
ไป๋ฟางเซียนไม่ดื้อเเพ่ง นางพยายามปฏิบัติตัวให้ดี ทว่าก็ยังไม่วายสั่งอาวุธที่นางต้องการไปกับหยางตงเยว่ หลังจากพูดคุยลักษณะอาวุธได้เข้าใจตรงกันพร้อม ๆ กับที่นางวาดรูปให้ดูเบื้องต้นไปแล้ว ไป๋ฟางเซียนจึงได้ขอตัวกลับจวน โดยมีจื่อถิงเดินตามอย่างใกล้ชิด ราวกับกลัวว่านางจะหนีหาย ทั้งยังบ่นนางด้วยเมื่อขึ้นรถม้ามาแล้ว
“คุณหนู! อย่าได้เอ่ยเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ”
“เอ่ยอันใดของเจ้า” ไป๋ฟางเซียนตีหน้าซื่อถามตาใส
“ก็เอ่ยชวนบุรุษอื่นให้พาไปนั่นไปนี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ คุณหนูออกเรือนแล้วนะเจ้าคะ บุรุษที่คุณหนูเอ่ยชวนได้มีเพียงท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
“โอ๊ย! จื่อถิง... เจ้าก็รู้ว่าอีตาแม่ทัพนั่นไม่เห็นข้าในสายตา หากข้าเอ่ยชวนจะไม่กลายเป็นตัวตลกในสายตาเขารึ” จื่อถิงหน้าเสียแต่ก็ไม่วายพูดต่อ
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น คุณหนูก็ไม่สมควรไปเอ่ยชวนบุรุษอื่นอยู่ดีนะเจ้าคะ มันไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ”
“แต่นั่นสหายข้า”
“เป็นสหายแต่ก็เป็นบุรุษด้วยเจ้าค่ะ การชวนบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีไปนั่นทีนี่ทีด้วยกัน ไม่ใช่สิ่งที่สตรีที่ดีกระทำเจ้าค่ะ”
ไป๋ฟางเซียนมองสาวใช้คนสนิทตาโตพลางอ้าปากกว้าง นี่จื่อถิงคิดสอนนางหรือด่านางกันแน่ แต่ก็เอาเถอะเรื่องที่จื่อถิงท้วงติงก็นับว่าถูกแล้ว นางจะไม่ดื้อรั้นเอาแต่ใจก็แล้วกัน
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะไม่ชวนบุรุษใดอีกพอใจหรือยัง”
“เจ้าค่ะคุณหนู” จื่อถิงรับคำยิ้มกว้างแววตาสดใส จนไป๋ฟางเซียนยิ้มตาม จากนั้นรถม้าคันเล็กก็เดินทางกลับจวนตระกูลหลี่โดยมีเสียงนายบ่าวพูดคุยกันเป็นระยะ ๆ