ตระกูลหยาง คือหนึ่งในตระกูลที่รับใช้ราชวงศ์มาช้านาน บุตรหลานทั้งสายหลักสายรองล้วนรับราชการกันหมดทั้งสิ้น นอกจากนี้ตระกูลหยางยังเป็นตระกูลที่รับผิดชอบการสร้างอาวุธให้กับแคว้น ว่ากันว่าอาวุธของตระกูลหยางนั้นพิเศษมาก เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว อาวุธแต่ละชิ้นล้วนร้ายกาจ ความคมของมันย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งนี้หากใครสั่งทำอาวุธกับตระกูลหยางก็จะได้แบบพิเศษและงดงามไม่เหมือนใคร ผู้คนล้วนอยากครอบครองอาวุธของตระกูลหยางทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าตระกูลหยางจะรับใช้ราชวงศ์ เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ในราชสำนักก็จริง ทว่าพอมารุ่นบิดาของหยางตงเยว่อย่าง ‘หยางเฉียน’ ก็ไม่ได้เข้ารับราชการเช่นบรรพบุรุษแล้ว เขาหันมาเอาดีด้านการค้าแทน คราแรกราชวงศ์และองค์ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ตระกูลหยางยืนยันว่าถึงจะออกจากราชสำนักก็ยังขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้เช่นเดิม และยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีจิตคิดเป็นอื่น หากพระองค์ประสงค์สิ่งใดแน่นอนว่าตระกูลหยางจะรีบทำตามรับสั่งทันที และที่สำคัญหยางเฉียนให้เหตุผลว่าตนชอบทำการค้ามากกว่า
ดังนั้นไม่ว่าองค์ฮ่องเต้ผู้ที่เป็นเจ้าครองแคว้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร บิดาของหยางตงเยว่ก็ยังยืนยันคำเดิม พระองค์จึงได้แต่จำใจปล่อยตัวหยางเฉียนออกจากราชสำนัก มอบชีวิตอิสระตามที่หยางเฉียนปรารถนา ถึงจะบอกว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระ แต่ก็ใช่ว่าองค์ฮ่องเต้จะปล่อยไปเฉย ๆ เพราะการปล่อยขุนนางที่มีความเก่งกาจอันดับต้น ๆ หลุดรอดออกจากราชสำนักเป็นธรรมดาที่ต้องหวาดระแวง พระองค์จึงสั่งให้อดีตแม่ทัพ นั่นก็คือบิดาของหลี่เหวินหลาง หรือ หลี่เหวินชิงคอยจับตาดูตระกูลหยางอย่างใกล้ชิด เวลาล่วงเลยไปกว่าสิบปี องค์ฮ่องเต้ถึงค่อยวางพระทัยลงได้ จากนั้นจึงยกเลิกคำสั่งไม่ให้จับตาดูตระกูลหยางอีก
และนอกจากตระกูลหยางจะทำการค้าเช่นการตีเหล็กหลอมสร้างอาวุธแล้ว อีกหนึ่งกิจการที่โด่งดังและประสบผลสำเร็จไม่แพ้กันคือ กิจการของโรงเตี๊ยมตระกูลหยาง
แต่ก่อนที่หยางเฉียนริเริ่มกิจการค้าอาหารนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเช่นปัจจุบันแต่อย่างใด ในครานั้นหยางเฉียนทำแค่เหลาอาหารเล็ก ๆ พอเสียงตอบรับดีขึ้นถึงได้ขยายกิจการ และกลายมาเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงในปัจจุบัน
โรงเตี๊ยมตระกูลหยางนี้ ขึ้นชื่อเรื่องที่พักและอาหารอย่างมาก นอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้วยังแปลกใหม่ และนี่เองที่ทำให้ไป๋ฟางเซียนอยากลิ้มลอง ส่วนที่พักคงไม่มีโอกาส...
หากสงสัยว่าไป๋ฟางเซียนรู้ได้อย่างไรคงได้คำตอบเดิม นั่นก็คือความทรงจำของเจ้าของร่าง แม้ไป๋ฟางเซียนคนเก่าจะไม่ค่อยได้ออกจากจวน แต่เรื่องราวในแคว้นและตระกูลใหญ่ทั้งหลายนางย่อมรู้ดี นี่จึงทำให้ไป๋ฟางเซียนไม่ต้องทำความรู้จักหรือทำความเข้าใจใหม่ตั้งแต่แรก แค่อาศัยความทรงจำก็เพียงพอที่จะแยกแยะได้ว่าตระกูลไหนควรยุ่งหรือไม่ควรยุ่ง
สิ่งที่ไป๋ฟางเซียนคิดไม่ถึงคือนางจะได้เจอทายาทของตระกูลหยางวันนี้ ซ้ำยังได้คบหากันเป็นสหายด้วย เรื่องราวช่างบังเอิญจริง ๆ อย่างไรก็ตาม แม้ความสัมพันธ์สหายนี้จะได้มาแบบงง ๆ แต่นางก็ไม่คิดปฏิเสธ การรู้จักและเป็นมิตรกับตระกูลใหญ่นั้นนับว่าดียิ่ง ในยุคสมัยนี้หากเป็นมิตรกับตระกูลเรืองอำนาจไม่ได้ก็อย่าได้เป็นศัตรู แล้วการที่หยางตงเยว่เสนอให้คบหากันเป็นสหายนางจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า หากนางปฏิเสธก็โง่เต็มทนแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใดไป๋ฟางเซียนรู้ดีว่าการได้คบหาเป็นสหายกับหยางตงเยว่นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง เพราะหลังจากนี้นางคงได้ขอความช่วยเหลือ หรือทำการค้ากันบางประการแน่นอน โดยเฉพาะอาวุธ ไป๋ฟางเซียนอยากได้อาวุธเฉพาะตน เจ้าของร้านอยู่ตรงหน้านางจะไม่สั่งทำได้อย่างไร และอีกอย่างสหายคนนี้ก็นับว่าหล่อเหลาเอาการ หน้าตาคล้ายคลึงอี้ป๋อในโลกเดิมหลายส่วน เป็นเช่นนี้นางจะปฏิเสธไม่ทำความรู้จักได้อยู่หรือ
ในโลกเดิมไม่ได้แม้แต่จะใกล้ชิดและจับมือ โลกนี้ได้เป็นสหายนับว่าคุ้มค่าแล้ว
“เจ้าเหม่ออันใด” หยางตงเยว่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสหายคนใหม่ที่ตนถูกชะตาตั้งแต่เห็นหน้าเงียบไป
“เปล่าหรอก”
“เปล่าอันใด ข้ามองดูเจ้านานแล้วเจ้าก็ยังนิ่ง ราวกับคิดสิ่งใดอยู่ก็ไม่ปาน”
“เอาน่า... เจ้าอย่าสนใจเลย ใช่ว่าเจ้าจะเลี้ยงข้าวข้าหรือ ไปสิ ข้าหิวแล้ว”
หยางตงเยว่แม้จะไม่เชื่อในคำพูดของนาง แต่ก็ไม่ได้ซักถามให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจ เพราะคิดว่าเพิ่งจะรู้จักกัน หากถามละลาบละล้วงเกินไปคงไม่สมควรนัก สุดท้ายจึงได้แต่ยอมพยักหน้ารับและเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมของตระกูลตนเองด้วยกัน
เค่อ[1] ต่อมาทั้งสี่ก็มาถึงโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง ไป๋ฟางเซียนมองโรงเตี๊ยมเบื้องหน้าอย่างพอใจ เพราะทุกอย่างถูกจัดสรรเป็นสัดเป็นส่วนได้อย่างลงตัว และที่นางชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือผู้คนไม่วุ่นวาย
ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมมีไว้สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการทานอาหารรสเลิศ ชั้นสองสำหรับลูกค้าที่ต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายหรือต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนชั้นสามเป็นชั้นสำหรับต้อนรับลูกค้าพิเศษหรือลูกค้าที่มีฐานะไม่ธรรมดา ชั้นนี้นอกจากจะมีห้องรับรองแบบส่วนตัวแล้วยังเป็นชั้นสำหรับที่พักด้วย ซึ่งจะแยกกันอยู่คนละส่วนชัดเจน
แม้ไป๋ฟางเซียนอยากจะขึ้นไปที่ชั้นสามแต่ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่สมควร ถึงนางกับหยางตงเยว่จะคบหากันเป็นสหาย แต่การหายเข้าไปในห้องนานสองนานแม้จะมีคนสนิทเข้าไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องดี นางจึงได้ตัดใจอย่างเสียดาย ไว้มีโอกาสค่อยขึ้นไปเยี่ยมชมและทดลองใช้ห้องพิเศษก็ยังไม่สาย
“เจ้าต้องการกินอาหารชนิดใดเล่า” หยางตงเยว่ถามขึ้นเมื่อเข้ามานั่งโต๊ะห่างไกลผู้คนที่บริเวณชั้นสองเรียบร้อยแล้ว
“แน่นอนว่าต้องเป็นอาหารเลิศรส”
“ฮ่าฮ่า โรงเตี๊ยมตระกูลข้าอาหารย่อมเลิศรสทุกอย่างอยู่แล้ว”
“งั้นเจ้าก็เป็นคนสั่งเถิด ข้าไม่ค่อยออกจากจวนจึงไม่รู้จะสั่งอะไร” ไป๋ฟางเซียนตอบเพราะนางไม่รู้จะสั่งอะไรจริง ๆ
“ได้ เอาอาหารขึ้นชื่อมาสักสามสี่อย่างและชาอย่างดีมารับรองข้ากับสหายด้วยเล่า”
“ขอรับคุณชาย”
หยางตงเยว่สั่งความต้องการกับเสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ามาดูแลตนเองกับสหายตั้งแต่ที่มาถึง พอเสี่ยวเอ้อร์ออกไปจึงหันมาสนทนากับสหายสตรีคนแรกที่เขานึกถูกใจ
“ว่าแต่เจ้าเถอะ ออกจากจวนมาโดยไร้เงาท่านแม่ทัพเช่นนี้จะไม่ถูกว่าเอาหรือ” นี่คือสิ่งที่เขาสงสัย เพราะถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยเห็นหน้ากัน แต่ชื่อเสียงและสถานะของอีกฝ่ายที่ออกเรือนแล้วเขาย่อมต้องรู้
“เขาจะว่าอันใดข้ากัน ข้ามิใช่สตรีในดวงใจเขาเสียหน่อย” ไป๋ฟางเซียนตอบด้วยความหงุดหงิด แค่ได้ยินชื่อของหลี่เหวินหลางบุรุษงี่เง่าเอาแต่ใจผู้นั้น อารมณ์ที่ดีในตอนแรกก็หายไปในพริบตา
“หมายความว่าเช่นใด” หยางตงเยว่ถามอย่างไม่แน่ใจ นี่อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่คนทั้งเมืองพูดกันเป็นเรื่องจริง
“ก็หมายความตามนั้นแหละ เจ้าอย่าสนใจเลย” ไป๋ฟางเซียนไม่อธิบายแต่หยางตงเยว่ก็เข้าใจ คงเป็นจริงอย่างที่คนลือไว้
‘แม่ทัพหนุ่มรูปงามต้องจำใจแต่งงานกับบุตรสาวบุญธรรมของบิดามารดาทั้งที่ไม่ได้รัก ซ้ำร้ายยังรังเกียจสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาจนไม่สามารถร่วมหอลงโรงได้ เป็นเหตุให้คืนเข้าหอเจ้าสาวต้องนอนเหงาเปล่าเปลี่ยวเพราะเจ้าบ่าวหนีไปอยู่ที่อื่น ทั้งคืนต่อ ๆ มาเจ้าบ่าวก็ไม่คิดกลับไปนอนที่จวน ต้องทนลำบากอยู่กินที่ค่ายทหารเพราะไม่อาจทนเห็นหน้าสตรีที่เป็นภรรยาได้’
นี่คือคำเล่าลือที่หยางตงเยว่ได้ยินมาร่วมเดือน แต่เรื่องของสามีภรรยาจะเป็นเช่นไรก็ช่างเถิด ตอนนี้นางเป็นสหายเขา เขาจะไม่ยอมให้ใครมาว่ากล่าวนางได้อีก
สหายของทายาทตระกูลหยางใช่คนที่เจ้ามาหาเรื่องได้หรือ?
นี่คือสิ่งที่หยางตงเยว่คิด ซึ่งแน่นอนว่าไป๋ฟางเซียนไม่รับรู้เพราะตอนนี้นางกำลังสนใจอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้ามากกว่า
นางแปลกใจ แต่ไม่ได้แปลกตา...
[1] เค่อ เท่ากับ 15 นาที