รุ่งอรุณกลับเข้ามาในห้องนานแล้วและนั่งคิดอะไรไปเรื่อยที่โซฟาในห้อง เธอตั้งใจจะดูแลคุณป้ามาลาไพรให้ครบหกเดือนและจะกลับทันที ส่วนที่นายยักบังคับให้เธอเล่นบทบาทเป็นเมีย เธอจะเรียนคุณป้าให้ทราบเรื่องทั้งหมด แค่นี้ก็เรียบร้อย เธอมาที่นี่ ไม่ได้มาเป็นเครื่องมือให้นายยักใช้นะ แต่มาเพราะต้องการช่วยเหลือคุณป้ามาลาไพรต่างหาก คิดได้อย่างนั้นแล้วจึงลุกไปยืนส่องดูหน้าตัวเองอีกครั้งที่กระจกเงา รอยปื้นแดงๆจางลงเล็กน้อย มันไม่เจ็บหรอกที่ตรงนี้แต่มันเจ็บใจนี่สิ เธอจะจัดการอารมณ์ตัวเองอย่างไรดี แล้วประตูห้องก็เปิดเข้ามาพอดี พยัคฆ์มองแล้วตรงเข้ามาหา เขาถามทั้งยังถือวิสาสะแตะที่แก้มของเธอเบาๆ
“เจ็บไหม”
เธอเบี่ยงหน้าหนีเขาทันที อารมณ์ของตอนนี้ยังไม่นิ่งพอ และอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนหน้า คือเธอจะไม่เป็นเครื่องมือให้เขาทำร้ายคุณป้ามาลาไพรเด็ดขาด พยัคฆ์ยิ้มให้แล้วเลยเดินหายเข้าไปยังอีกห้อง คราวนี้เขาหิ้วกระปุกยาออกมาด้วย
“ผมขอโทษแทนพีพีด้วยนะ”
รุ่งอรุณเบะปาก ใจยังนึกกรุ่นๆไม่หาย แต่ไม่คิดจะตอบอะไรเขา ก็จะให้ตอบอะไรเล่า
ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมาก หึงหวงกันเมื่อไร ก็มาลงที่ฉันได้เลยนะ
แบบนี้เหรอ นางเอกชะมัด นั่นไม่ใช่รุ่งอรุณ เธอบอกได้เลย พยัคฆ์เลยหยิบกระปุกยาออกมาจากกล่องแล้วเปิดฝา พูดคล้ายแก้ต่างว่า “รับรองว่าคราวหน้าจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีก”
“เอาอะไรมาเป็นประกันคะ ยัก...ขา”รุ่งอรุณย้อนคืนเข้าให้ ด้วยไม่นึกเชื่อคำพูดของเขาเท่าไรนัก
“เอาตัวผมนี่แหล่ะเป็นประกัน”พยัคฆ์มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที แล้วบอกด้วยเสียงทุ้มๆนุ่มหูว่า“มา ผมทายาให้”
“ไม่ต้องฉันทาเองได้”
“แสดงว่ายังโกรธอยู่ถึงไม่ให้ผมทาให้” พยัคฆ์แกล้งเย้า เปิดฝากระปุกแต้มยาออกมารอท่า เหมือนกำลังล่อหลอกเด็กอย่างไรอย่างนั้น
“มาเถอะน่า เมียพยัคฆ์ไม่ใช่คนขี้ใจน้อยหรอกนะ”
“ใครเมียคุณ”
“อ้าว ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน”
พยัคฆ์ถือโอกาสตอนเธองงบรรจงแต้มยาลงบนแก้ม
เธอเอียงแก้มป่องๆที่ไม่ได้นวลเนียนน่าสัมผัสออกจากมือเขา แต่พยัคฆ์ใช้มืออีกข้างยึดคางเอาไว้ พูดอยู่ชิดหน้าเธอ “อย่ายุกยิก”
ยานี่แรงน่าดูเพราะเขาแต้มยาทาแค่ตรงแก้มแต่ออกร้อนไปหมดทั้งใบหน้า รุ่งอรุณกลั้นหายใจแล้วเลยหลบสายตาเมินมองไปทางอื่นแต่กลับได้มุม สบตากับเขาอีกครั้งในกระจกเงา เธอเลยตั้งท่าคอแข็งกระชากเสียงถามอย่างต้องการปกปิดอาการบางอย่างของตัวเอง
“เสร็จรึยัง”
“เดี๋ยวสิ ทำไมใจร้อนนักนะหรือกลัวว่าผมทำเพราะอยากแตะอั๋งคุณ”
“แล้วใช่ไหมล่ะ”
“คุณนี่จริงๆเลยน้า รู้หรอกว่าเขิน”
“ใครเขิน”
“ดีแล้ว เมียพยัคฆ์ไม่ใช่คนขี้อายด้วย”
รุ่งอรุณเม้มปากก่อนบอกเขา “ฉันไม่รู้นะว่าคุณกับแฟนเล่นอะไรกัน แต่ถ้าคิดจะเอาฉันมาเป็นเครื่องมือ คุณคิดผิดแล้วคุณพยัคฆ์ แล้วอย่าคิดว่าฉันเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่แล้วจะทำยังไงกับฉันก็ได้นะ”
“แล้วคุณจะแต่งงานกับผมไหมล่ะ”พยัคฆ์พูดแทรกขึ้นมา สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง จนรุ่งอรุณต้องบอกปัดไปเอง
“ฉันไม่ได้ให้คุณมาขอฉันแต่งงาน”
“อ้าว พูดมาขนาดนี้นึกว่าอยากให้แต่งงานด้วย”
“ฉันไม่ได้จนตรอกขนาดนั้น”
“ก็แล้วถ้าผมขอคุณแต่งงานคุณจะแต่งไหมล่ะ”
ง่ายไปนะนายยัก การขอแต่งงานกับเธอ มันไม่ใช่ว่ามาทายาให้เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของแฟนเขาแล้วพูดเหมือนชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวแบบนี้
“คุณกล้าบอกเลิกยัยพีพีต่อหน้าฉันไหมล่ะ ถ้ากล้าก็ทำเลย แล้วแต่งหรือป่าวฉันจะบอกคุณอีกที”
“เจ้าเล่ห์ไม่เบาน่ะเราเนี่ย แถมยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีก เมียพยัคฆ์ต้องแบบนี้สิ”
เขาจะไปบอกเลิกได้อย่างไร ก็เขากับพีรพรรณไม่ได้คบหากันแล้ว เรื่องระหว่างกันมันกลายเป็นอดีตมานานแม้พีรพรรณจะอยากให้มันกลับมาเป็นปัจจุบันก็เถอะ แต่ตบมือเดียวมันจะดังได้อย่างไร และที่ปล่อยให้อีกฝ่ายยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆเพราะเขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง
พยัคฆ์เลยแกล้งชี้หน้าเธอผ่านกระจกเงาคล้ายคาดโทษ แต่กลับมีรอยยิ้มถูกใจจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาคงติดใจอะไรบางอย่างในคำพูดของเธอ แต่มีหรือว่ารุ่งอรุณจะสน เธอสะบัดหน้าแล้วหนีเข้าห้องอาบน้ำไปเลย
“เป็นอะไรพี่เห็นนั่งหน้างอตั้งนานสองนาน”
พีรพัฒน์ทักทั้งที่มีเด็กสาวร่างอวบอัด ซึ่งมองอย่างไรก็ดูหุ่นสูสีกับรุ่งอรุณนั่งทับบนตักคอยป้อนผลไม้ให้อย่างเอาอกเอาใจ
“ก็ยักน่ะสิคะ”
นึกว่าจะแคร์เรา ที่ไหนได้ นึกถึงตอนที่เขาเข้ามาห้ามยัยล่ำ แล้วพาออกจากตรงนั้น ขับรถมาส่งเธอที่บ้านด้วยหน้าตาเคร่งเครียด พยัคฆ์บอกเธอก่อนจากไปว่า หากเธอทำร้ายรุ่งอรุณอีกครั้ง เขาจะไม่ห้ามเพราะถือว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่ดูจากหน่วยก้านคราวหน้าเห็นทีเธอคงต้องหาคนไปช่วย วันนี้ที่ลงมือได้เพราะเล่นทีเผลอเอา
“พี่พัฒน์ช่วยพีพีหน่อยได้ไหม”
พีรพัฒน์เงยหน้าจากแก้มสาวบนตักแล้วถาม “ให้ช่วยอะไรล่ะ”
พีรพรรณหยิบผลไม้ในมือผู้หญิงของพี่ชายแล้วส่งเข้าปากตัวเอง เคี้ยวบดพร้อมนึกให้ยัยล่ำเป็นชิ้นที่อยู่ในปากของเธอ สายตาวาวเอาเรื่องขึ้นมาทันที
“อยากได้เมียอีกคนมาช่วยงานไหมคะ”
เด็กสาวที่ยังยิ้มหวานอยู่เมื่อครู่ชักสีหน้าทันที เธอยอมเป็นผู้หญิงของพีรพัฒน์ก็เพราะชอบเขาและชอบเงินของเขาด้วย แม้น้องสาวอย่างพีรพรรณจะดูถูกเธอด้วยสีหน้า แววตา คำพูดและการกระทำก็ตาม แต่นี่เล่นเอาผู้หญิงอีกคนมาเสนอกันซึ่งๆหน้าแบบนี้เธอยอมไม่ได้ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือนิ่งเงียบเท่านั้น
พีรพรรณยิ้มอย่างมาดร้ายแล้วเล่าแผนการบางอย่างให้พี่ชายฟัง ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นเมื่อพีรพัฒน์หัวเราะอย่างพออกพอใจ
เสียงพูดคุยหัวเราะหยอกล้อที่สนามอเนกประสงค์ไม่ได้อยู่ในโสตประสาตของรุ่งอรุณที่กำลังเดินทอดน่องตามทางเท้าเพื่อไปซึมซับบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินตรงตำแหน่งที่เคยเห็นพยัคฆ์ยืนดูคราวก่อน
ในใจยังกรุ่นไม่หายกับสองคนนั่น เธอเลยมีท่าทีมึนตึงกับพยัคฆ์จนถึงตอนนี้ แรกๆเขาก็ยังมีทีท่าเหมือนจะง้อเธอ แต่พอหลังๆคงเบื่อ เพราะเธอเห็นเขาเมินเธอไปเช่นกัน ต่างคนต่างอยู่ให้ตลอดนะ ถ้ามีใครมาระรานเธออีกอย่าหาว่าเธอร้ายก็แล้วกัน
ชายหนุ่มหนึ่งนายในสนามเตะบอลไปด้วยพร้อมกับถามพยัคฆ์ขึ้น “มึงพอรู้จักใครบ้างไหมยัก กูจะอัญเชิญไปแนะแนวเด็กที่ใกล้จะจบสักหน่อย”
รวิทย์เป็นเพื่อนของพยัคฆ์ในวัยเด็ก ทั้งยังเป็นญาติห่างๆกับพีรพรรณด้วย ชวนคุยขณะเตะบอลส่งให้คู่สนทนา
พยัคฆ์รับแล้วเตะส่งต่อให้มะเดี่ยว ถามกลับมีแววโม้ในนั้น“เอาแบบไหน รู้จักเยอะแยะ หมอ พยาบาล ป่าไม้ ตำรวจ ทหาร ด็อกเตอร์”
“ขี้โม้ฉิบหายเลยมึงนี่... เชี่ย นั่นแม่พันธุ์ของฟาร์มมึงหรือเปล่าวะยัก ทำไมมันสะบะระฮึ่มขนาดนี้”รวิทย์ต่อว่าเพื่อนไม่จริงจังแล้วสบถยืนนิ่งมองหญิงสาวที่เดินโต้ลมผ่านสนามไปอีกทางด้วยสายตาเพ้อๆ
พยัคฆ์มองตามคนพูด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มะเดี่ยวส่งบอลให้พอดี จู่ๆเจ้าตัวก็นึกฉุนขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เพราะพอรู้สเปคเพื่อนดีว่ารวิทย์ชอบผู้หญิงอวบอัดมีทรวดทรงอย่างคนที่เพิ่งเดินผ่าน และบอลที่มะเดี่ยวส่งให้อยู่ที่ปลายเท้าพอดี เจ้าตัวเลยออกแรงพอสมควรเตะลูกฟุตบอลอัดใส่หน้ารวิทย์เข้าอย่างเต็มแรง จนคนโดนโวยขึ้นมาทันที
“อะไรวะเนี่ย เตะบอลอัดกูทำไม”
“เฮ้ย โทษที ตะคริวแดกขา เสียจังหวะเลย”พยัคฆ์ยกมือขอโทษขอโพยแล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
มะเดี่ยววิ่งเข้ามาดูนายก่อนเป็นอันดับแรก แล้วออกวิ่งหน้าตั้งไปหาต้นเหตุที่เดินโต้ลมอยู่ไม่ห่างออกไปนัก พร้อมกับร้องเรียกไปด้วย
“พี่รุ้งครับ พี่รุ้ง”
รุ่งอรุณหยุดเดิน หันมาตามเสียงเรียก ขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้ามาหา
“ว่าไงเดี่ยว”
“ทางนี้ครับ นายเป็นตระคริวครับ”
รุ่งอรุณขมวดคิ้วย้อนถาม “แล้วมาบอกพี่ทำไม”
“ผมเคยเห็นในทีวีนี่ครับ พอนักกีฬาบาดเจ็บ เขาจะเรียกนักกายภาพบำบัดข้างสนามมาปฐมพยาบาล เลยวิ่งมาตามพี่รุ้งเนี่ยล่ะครับ รีบเถอะครับ ท่าทางนายจะเจ็บมาก”
รุ่งอรุณจะไม่ไปก็กระไรๆอยู่เลยเดินมาดูตามมะเดี่ยวแล้วจึงเห็นพยัคฆ์นั่งเหยียดขาหน้าตึงๆอยู่ในสนาม
แต่แล้วชายหนุ่มอีกคนที่เธอไม่คุ้นเคยที่ยืนลูบใบหน้าตัวเองป้อยๆท่าทางดูเป็นมิตรก็รีบทักเธอขึ้นก่อน
“เป็นนักกายภาพเหรอครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผม รวิทย์ครับ”
รุ่งอรุณยิ้มรับแล้วบอกชื่อตัวเองบ้าง ท้ายประโยคถามคนที่นั่งหน้าตูมอยู่ “รุ้งค่ะ ไหนเป็นตรงไหน...คะ”ว่าจะไม่ทิ้งหางเสียงแต่ก็ต้องกลั้นใจปล่อยออกไป
“ต้นขา”พยัคฆ์ตอบเสียงแข็งๆห้วนๆกลับไปเช่นกัน
รุ่งอรุณนั่งลงข้างๆเขา แล้วยื่นมือออกไปพันขากางเกงของพยัคฆ์ขึ้นเหนือต้นขาจัดแจงกับกล้ามเนื้อที่หดรัดตัวอย่างกะทันหันอยู่ครู่จนกล้ามเนื้อคลายตัว แล้วยืดเหยียดให้เป็นการตบท้าย เธอปัดมือสองสามทีแล้วลุกขึ้นยืนท้าวเอว ถาม
“มีใครเป็นอะไรอีกไหม”
คนอื่นๆพากันเงียบแต่มีคนงานบางคนแอบสะกิดแล้วพยักหน้ายิ้มๆให้กันคงไม่พ้นแซวเรื่องนายยัก แล้วมะเดี่ยวก็บอกเสียงอ่อยๆว่า
“พี่รุ้งครับ เอ่อ พานายกลับด้วยได้ไหมครับ”
“ทำไมต้องให้พี่พากลับด้วย”
มะเดี่ยวหน้าม่อยเสียงอ่อยลง “ก็พี่รุ้งกับนาย…”
“เออ ทำไมวะ” รวิทย์ถามแทรกขึ้นมาบ้าง
“เมียกู”
“ฮะ คุณรุ้งเป็นเมียมึงเหรอยัก แล้วพีพี... ถึงว่าเตะบอลอัดกูเฉยเลยเมื่อกี้กูแค่พูดเล่นนะเว้ย อย่าคิดมาก”รวิทย์โวยวายออกมาแล้วแก้ตัวยกใหญ่
พยัคฆ์ขัดขึ้นคล้ายร้อนตัว“กูไม่ได้เตะบอลอัดมึง ขากูเป็นตะคริวจริงๆ”
“เเอะ อย่ามาเนียน เออ เออ ไม่ได้เตะก็ไม่ได้เตะ ว่าแต่ ถ้าจะขอให้เมียมึง เอ้ย ขอคุณรุ้งไปแนะแนวเด็กๆได้ไหมวะ” รวิทย์สบโอกาสเหมาะ มองเห็นแล้วว่าเขาจะขอให้ใครไปแนะแนวเด็กๆที่โรงเรียน ดี เลยถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“ถามเขาเอาเองแล้วกัน ว่าจะไปหรือเปล่า” พยัคฆ์โยนให้เพื่อนถามความสมัครใจเอากับเธอเอง
“คุณรุ้งครับถ้าผมจะรบกวน ขอเศษเสี้ยวเวลาของคุณรุ้งไปแนะแนวอาชีพให้เด็กๆที่โรงเรียนไม่ทราบจะได้ไหมครับ”
“อ้อ ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา แต่รุ้งต้องขอเป็นเวลานอกเหนือจากดูแลคุณป้านะคะ”
รวิทย์ยิ้มอย่างประจบ “ขอบคุณนะครับ”
“แล้วงานที่สปา” พยัคฆ์แกล้งท้วง
“นี่มึงใช้งานคุณรุ้งขนาดนี้เลยเหรอวะ” รวิทย์แกล้งโวยแทนเจ้าตัว ก่อนจะเกทับ “ถ้าเป็นแฟนผมนะครับ จะไม่ให้ทำอะไรเลยครับคุณรุ้ง นอนสวยๆอยู่บ้านรอผมกลับมาก็พอ”
“ง่อยแดกดิ่ไม่ทำอะไรเลย ไปกลับบ้าน”
พยัคฆ์ขัดด้วยน้ำเสียงรวนๆยื่นมือออกมาหาเหมือนเด็กรอให้แม่มาอุ้ม ทีแรกรุ่งอรุณกะจะทำเป็นเมินแต่คิดไปแล้ว ถ้าเธอทำเมินเฉยใส่พยัคฆ์ไม่แน่ว่าอาจมีคน จับไต๋ได้ อย่างน้อยนายรวิทย์นี่ก็อาจเอาไปเล่าสู่คนอื่นฟัง คนอื่นที่เธอกังวลโดยเฉพาะยัยพีพี เพราะได้ยินพูดถึงเมื่อครู่ จึงจำใจต้องเข้ามาพยุงเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
พอเดินออกมาจนพ้นตรงนั้น พยัคฆ์ก็พูดด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตีขึ้นมาจนเจ้าตัวไม่อยากค้นหาว่ามันคืออะไร“ทีหลังอย่าเดินโต้ลมโชว์แบบนี้อีกนะ”
“ทำไม” เธอแหงะหน้าแล้วย้อนถาม
พยัคฆ์ไม่ตอบแล้วเตือนอีกเรื่อง “เสื้อบางๆแบบนี้ก็อย่าใส่”
“ให้มันน้อยๆหน่อยนะคุณมันอะไรกันนักหนามาห้ามนู่นห้ามนี่” รุ่งอรุณก้มมองเสื้อยืดจากผ้าเรย่อนแขนยาวที่สวมใส่อยู่แม้สีจะทึบๆทึมๆแต่ด้วยเนื้อผ้าเบาบางใส่แล้วสบาย ทำให้เธอหยิบมันมาใช้งาน และไม่คิดว่าการเดินเล่นเมื่อครู่จะทำให้เขาเอามาตำหนิเธอได้แบบนี้
“ก็มันเห็นหมดเลยน่ะสิ หรือชอบโชว์”
“ฮึ คิดอะไรแบบนี้ก็เป็นนะคุณเนี่ย เอามือออกเลย แล้วเดินเอง ตัวก็หนัก” รุ่งอรุณสะบัดมือของพยัคฆ์ที่โอบไหล่เธอออกอย่างหงุดหงิดเช่นกัน
พยัคฆ์ขืนแขนตัวเองไว้แล้วกดลงที่ไหล่ของเธอ อมยิ้มตอบไป “ได้ไง ทั้งไอ้วิทย์ ทั้งคนงานมองมาไม่เห็นเหรอ”
รุ่งอรุณยังไม่ละความพยายาม เธอสะบัดเขาอีกครั้ง “มองก็มองสิ ทำไม”
พยัคฆ์เลยหยุดเดินแล้วใช้แขนโอบตัวอวบๆของเธอเข้ามาแนบชิด บอกเสียงรอดไรฟันว่า“บอกแล้วใช่ไหมว่าเป็นเมียพยัคฆ์ ต้องทำตัวยังไง”
รุ่งอรุณเชิดหน้าตอบเขาอย่างลืมตัว“ใครเป็นเมียคุณ”
“อ้าว จำไม่ได้สักทีว่าเป็นอะไร เอางี้เดี๋ยวคืนนี้เลิกเล่นเลยไอ้ผัวๆเมียๆเนี่ย”
“จริงเหรอ” รุ่งอรุณถามด้วยสีหน้าดีใจ ยังยิ้มได้ไม่ถึงครึ่งนาทีก็หุบยิ้มฉับเมื่อพยัคฆ์ตอบกลับมาว่า
“ทำให้มันเป็นจริงๆเลยดีไหม”
“อย่ามาทำเป็นพูดเล่น ฉันเอาจริงนะ”
“นั่นไง คิดหาทางจับพยัคฆ์อยู่ล่ะสิ พอสบช่องก็กระโดดใส่เลยนะ”
รู้ทำไมเธอถึงนึกฉุนเขาที่พูดจาแบบนั้น แบบที่เห็นเธอจ้องจะเขมือบเขา เลยเงียบลงแต่คนพูดไม่ได้นึกเอะใจ ชวนคุยต่อ
“พรุ่งนี้ไปเยี่ยมป๊าด้วยกันนะ”
“ก็ไปสิ ผัวไปไหนเมียก็จะไปด้วย”
พยัคฆ์ยิ้มมุมปากสีหน้าเหมือนพอใจกับคำพูดของเธอ ก่อนจะหัวเราะดังลั่นออกมาทันที “เก่งให้ตลอดก็แล้วกันนะ รุ่งอรุณ”
รุ่งขึ้น พยัคฆ์พาเธอไปเยี่ยมคุณพายัพที่นอนพักรักษาตัวยังห้องไอซียูในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีสาขาอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆรวมถึงที่นี่ด้วย ท่านมีอาการอ่อนแรงของร่างกายทั้งสองข้าง เมื่อปีก่อน เหตุการณ์ในวันนั้น พยัคฆ์รู้เพียงว่าบิดามีปากเสียงกับคุณมาลาไพร และมีแม่เลี้ยงของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องอะไรถึงทำให้ท่านล้มป่วยจนต้องมานอนเป็นผักอยู่แบบนี้
สายระโยงระยางเต็มเตียงบอกภาวะวิกฤติของท่านได้พอควร พยัคฆ์ยกมือไหว้ป๊าแล้วเข้าไปจับที่มือของท่านลูบอย่างแผ่วเบา แววตาคมไหววูบเพียงครู่
รุ่งอรุณยืนมองด้วยความรู้สึกอ่อนไหวตามเขาไปด้วย แล้วม่านกั้นของเตียงก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงหวานที่ทักทายตามมา
“ว่าไงคะพี่ยัก”
“หมอมาพอดีเลย พี่แวะมาเยี่ยมป๊าครับ”
“คุณป๊าดีขึ้นมากแล้วนะคะ นี่ริสาว่าจะลองถอดท่อช่วยหายใจ ถ้าไปได้ดี
มีนักกายภาพช่วยดูอีกทางจะดีเลยค่ะ แล้วเราค่อยๆฟื้นฟูกันไปเรื่อยๆ ป๊าจะดีขึ้นเอง ริสาเอาใจช่วยนะคะ”
“นี่ไงพี่พามาแล้ว นักกายภาพส่วนตัวเลยนะครับคนนี้”
พยัคฆ์พเยิดหน้ามองมาทางเธอ รุ่งอรุณฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่แท้ก็เอาเธอมาใช้งานนี่เอง นึกว่าอยากพามาเพราะเหตุผลอย่างอื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดในใจ
“ดีเลยค่ะ เอ...นี่ ใช่รุ้งไหมเอ่ย”
อริสาทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่แววตามีแววดูถูกเธออย่างไม่คิดปิดบัง
รุ่งอรุณพยายามควบคุมสีหน้าให้มีรอยยิ้มดั่งคนมีจิตใจดีงามประดับ ไม่ใช่แยกเขี้ยวใส่คนพูด แต่ไม่ตอบรับใดๆ
“รู้จักกันด้วยเหรอครับ”พยัคฆ์เลิกคิ้วถามน้ำเสียงแปลกใจ
อริสาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนด้วยกันตอนปีหนึ่งเทอมหนึ่ง แต่เจ้าตัวย้ายตัวเองไปสอบใหม่เข้าคณะแพทย์ นั่นไม่น่าเจ็บใจเพราะอริสาไปรู้มาจากไหนว่าเธอแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่ง แม่นั่นใช้หน้าตาน่ารักๆเสียงอ้อนๆหวานๆจีบรุ่นพี่คนนั้นจนติดแล้วยังควงรุ่นพี่คน ที่เธอแอบปลื้มมาเย้ยด้วย คงเจ็บใจที่คะแนนสอบน้อยกว่าเธอเกือบทุกวิชา แต่เธอไม่คิดสอบแพทย์ใหม่ เพราะไม่อยากเสียเวลาและรักในสายวิชาชีพที่ตัวเองได้เลือกมาแล้วนี้ ไหนจะเงินทองที่จ่ายไปแล้วนั่นอีก ทั้งค่าเทอม ค่าหนังสือ แม้ไม่ใช่เงินตัวเองก็ยิ่งต้องใช้อย่างรู้คุณค่าพอๆกับกตัญญูรู้คุณคนที่ส่งเสียเธอให้มากเข้าไว้ด้วย ไม่ใช่ใคร คุณป้ามาลาไพรนั่นเอง
อริสาเดินเข้ามาหาคุณพายัพแต่ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรเลยผวาไปเกาะแน่นแนบที่แขนของลูกชายท่านแทน คุณหมอสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที แล้วพูดเสียงเบาๆว่า “ขอโทษค่ะพี่ยัก ริสาซุ่มซ่ามแบบนี้เรื่อยเลย มาค่ะขอริสาตรวจคุณป๊าหน่อยนะคะ”
รุ่งอรุณยืนมองสองคนนั่นด้วยสายตาหมิ่นๆ ดูก็รู้ว่าอริสาชอบพยัคฆ์ ฮึ เสน่ห์แรงเหลือเกิน ทำไมไม่หาเมียจริงๆไปเลยนะ มาหลอกใช้เธออยู่ได้
พออริสาจัดแจงตรวจคนไข้ของเธอเรียบร้อยก็หันมาทางพยัคฆ์
“อ้อพี่ยักคะ ริสามีเรื่องจะปรึกษา ทางนี้ค่ะ” อริสาหันไปยิ้มหวานกับเธอแบบที่เป็นยิ้มปั้นแต่งจนรู้สึกได้ แล้วพากันเดินออกไปทิ้งรุ่งอรุณไว้กับคุณพายัพเพียงสองคน รุ่งอรุณสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำไมรอบตัวนายยักถึงมีแต่ผู้หญิงร้ายๆ เธอจะทำหน้าที่เมียของเขาได้แค่ไหนกัน แล้วหันมามองหน้าคนบนเตียง ก่อนจะช่วยทำกายภาพบำบัดเท่าที่จะสามารถทำให้ท่านได้
รุ่งอรุณจิ้มอาหารที่เธอชอบเข้าปากอย่างเซ็งๆเพราะมีอริสาหัวร่อต่อกระซิกกับพยัคฆ์จนไม่นึกถึงเธอ พอสองคนออกไปนานร่วมสามสิบนาทีก็ชวนกันออกมาทานอาหารที่ร้านในเมืองไม่ห่างจากโรงพยาบาลเท่าไรนัก อริสาตักอาหารใส่จานพยัคฆ์แล้วยิ้มแย้มพูดคุยกันแต่เรื่องที่เธอไม่รู้ แล้วพยัคฆ์ก็ปรายตามาทางเธอ
“ไม่อร่อยเหรอ” พยัคฆ์ตักอาหารใส่จานให้เธออีก ทั้งๆที่ของเดิมก็ยังมี
แถมยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน เขาวางช้อนส้อมแล้วเอื้อมมือมาลูบผมเธออย่างนุ่มนวล
“บอกแล้วว่าไม่ต้องควบคุมอาหาร เพราะอะไรจำได้ไหมคนดี…” พยัคฆ์ทำเป็นเว้นช่องเหมือนจะย้ำคำตอบที่มีแต่เธอและเขาที่รู้กันเพียงสองคน “เพราะถึงอ้วนยังไงผมก็รักคุณ”
โหว นายยักเล่นแบบนี้กับเธอเลยเหรอ แต่สะใจชะมัดเพราะอริสา หุบยิ้มที่ยั่วเธอเมื่อครู่ฉับลงทันทีเช่นกันแล้วยกผ้าขึ้นซับปากแบบผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว
“ก็คุณชอบล้อฉันนี่คะ โดยเฉพาะเวลาที่เรา…”
เธอเลยสวมรอยเล่นกับเขาเสียหน่อย พูดค้างให้อริสาคิดต่อเอาเอง แล้วส่งสายตาหวานๆให้นายยัก
พยัคฆ์ส่งสายตาท้าทายตอบเธอมาแล้วก้มลงหอมแก้มเธอเสียอย่างนั้น
แต่เธอจะโกรธนายยักตอนนี้ไม่ได้ เลยทำท่าเขินๆทุบอกเขาออกไปทีหนึ่งแสดงตัวว่าเขินเสียเหลือเกิน ส่วนอริสาคงรู้สึกเหมือนไร้ตัวตนบนโต๊ะไปเลย แล้วหน้าตาเธอก็ปกปิดไม่มิดถึงอาการสมน้ำหน้าใครบางคน
จนตอนนี้ก็ยังนั่งยิ้มไม่หุบมองฝ่าฝนออกไปนอกรถเผลอฮึมฮัมตามเพลงที่พยัคฆ์เปิดไปด้วย
“ไม่น่าให้ท้ายเล้ย เลยได้ใจกินไม่หยุด” พยัคฆ์บ่นไม่จริงจังนัก พอเขาพูดแบบนั้น เธอเลยเถียงออกไปแต่อารมณ์ดีกว่าตอนเจอยัยริสากว่าเดิมโขทีเดียว
“มันเรื่องของฉันไหม ก็ที่นี่เลี้ยงอดๆยากๆ ดูสิเนี่ยกางเกงฉันหลวมไปหมดแล้ว มีบ้างไหมน้ำตก ซกเล็ก ตับหวานน่ะ เลี้ยงแต่ต้มจืดทุกวันจนหน้าฉันจืดตามอาหารคุณแล้วเนี่ย”
“มาเป็นชุดเลยเชียว ได้ผมจะบอกแม่ครัวไว้ให้”
“ไม่ต้อง ฉันอยู่ที่นี่อีกไม่นานหรอก ไม่ต้องยุ่งยากกับฉัน” รุ่งอรุณรีบบอกปัดเขา “อ้อ แล้วคราวหลังจะมาก็ไม่ต้องมาชวนฉันนะ รำคาญไม่อยากมานั่งดูคนหยอกล้อหัวเราะกระซิกๆใส่กัน...หมั่นไส้” คำหลังเธอไม่ได้พูดออกไป แค่คิดเท่านั้นเอง
พยัคฆ์ละสายตาจากถนนมามองเธอเพียงครู่แล้วพูดยิ้มๆขึ้น“อย่าหึงน่า ริสาก็แค่น้อง”
“ใครหึง”
พยัคฆ์หัวเราะเหมือนรู้ทันแล้วผิวปากท่อนฮุคเพลงที่เธอฮึมฮึมเมื่อครู่ เนื้อหาเพลงก็เหมือนจะเข้าทางกับเขาพอดิบพอดีจนเธอหมั่นไส้ แล้วใครหึงใคร เธอไม่ได้หึงนะ แต่ยัยริสานี่ทำเอาเป๋ไปเหมือนกัน ให้ตายเถอะ
หยุดหัวเราะสักทีได้ไหม นายยัก!