ปารวตีแกล้งถอนหายใจเสียงดัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยสักนิด “ผมเคยได้ยินคนพูดว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ถ้าเผลอสักนิดอาจจะถูกพิชิตหัวใจนะคุณ”
“ถ้าหมายถึงคุณกับฉันล่ะก็ ประโยคแรกอาจจะใช่ แต่ประโยคหลังน่ะนะ จ้างให้ก็ไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอนจ้ะ”
“เหรอ งั้นเหรอ” เฉินหมิงยิ้มแล้วเบ้ปากเล็กน้อย “เรื่องของเราสองคนปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตดีกว่าเนอะ ตอนนี้เชิญเข้ามาในร้านก่อนครับคุณผู้หญิง” เฉินหมิงผายมือเชื้อเชิญพนักงานคนสวยเข้ามาข้างใน แต่ทว่าเจ้าหล่อนกลับยืนนิ่งแล้ว มองจ้องเขาราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ “ผมไม่ปล้ำคุณหรอกนะ โธ่.. นี่ผมดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียวเหรอ”
ชายหนุ่มหน้าหยกแกล้งทำน้ำเสียงตัดพ้อ
“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจ้าหล่อนยกแขนขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “ยังไม่ถึงเวลาทำงานของฉัน เพราะฉะนั้นฉันขอนั่งรอหน้าร้านดีกว่า”
แต่ทว่าสุดท้ายความต้องการของปารวตีที่จะนั่งรอเวลาเข้างานอยู่ข้างนอกร้านกาแฟก็ไม่สัมฤทธิผล เมื่อเพชรน้ำหนึ่งเดินมาพร้อมกับกล่าวว่า..
“หนูมะปรางมาพอดีเลย ไปจ้ะ ไปกินข้าวกับป้ากับเฮียเฉินดีกว่าลูก” เพชรน้ำหนึ่งคล้องแขนสาวน้อยแล้วพาเดินอ้อมไปข้างร้านเพื่อไปยังบ้านของนาง “มาแต่เช้าเชียว อ้อ! ป้าลืมแนะนำให้หนูรู้จักกับลูกชายป้า” นางหันไปหาเฉินหมิงที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ “นี่เฮียเฉินจ้ะ ลูกชายคนเดียวของป้า”
ปารวตีจำต้องยกมือไหว้เฮียเฉินอย่างเสียไม่ได้ “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ทำงานกับแม่เฮียมานานแล้วเหรอ” รู้หรอกน่าว่าเพชรน้ำหนึ่งพึ่งรับเจ้าหล่อนเข้าทำงาน แต่ที่ถามเพราะอยากหาเรื่องชวนคุยไปงั้นแหละ
แหม! เปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองเร็วจังนะพ่อคุณ
“วันนี้วันแรกค่ะ”
แม้ไม่อยากเสวนาด้วย แต่กระนั้นปารวตีก็จำเป็นต้องตอบคำถามของชายหนุ่ม ครั้นจะให้พูดจาต่อปากต่อคำเหมือนเช่นอยู่กันตามลำพังสองคน ก็เกรงใจเพชรน้ำหนึ่ง
“เมื่อวานหนูมะปรางเขามาสมัครงานกับแม่ แม่ก็ยังพูดกับหนูมะปรางอยู่เลยว่าเสียดายที่อาเฉินกับหนูปรางไม่มีโอกาสได้เจอกัน วันนี้กลับได้พบหน้ากันซะงั้น” เพชรน้ำหนึ่งเห็นแววตายามที่เฉินหมิง มองพนักงานสาวแล้วอมยิ้ม “ดีใจจัง วันนี้ป้าจะมีลูกมือตั้งสองคน”
คิ้วโก่งเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่มันจะตกกลับลงมาอยู่ตำแหน่งเดิมในเวลาอันรวดเร็ว “คุณป้ารับพนักงานเพิ่มเหรอคะ”
ปารวตีภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้น เมื่อวานตอนที่คุยรายละเอียดกับเพชรน้ำหนึ่ง นางบอกกับเธอว่าพนักงานคนเก่าพึ่งลาออกไป เพราะฉะนั้นตอนนี้ร้านจึงมีเธอเป็นพนักงานเพียงคนเดียว ถ้าเพชรน้ำหนึ่งไม่ได้รับพนักงานคนอื่นเพิ่มอีกนอกจากเธอ ลูกมือที่นางหมายถึงก็คงเป็น..
“เปล่าหรอกจ้ะ เฮียเฉินเขาอาสาอยู่ช่วยน่ะ”
นั่นไง! ว่าแล้วเชียวว่าทำไมเมื่อเช้าจิ้งจกที่ห้องถึงได้ร้องทัก
ปารวตีลอบถอนหายใจ ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้เฉินหมิงมากเท่าไหร่ ก็เหมือนเรื่องราวและเหตุการณ์กลับยิ่งทำให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้นเท่านั้น เจ้าหล่อนชำเลืองมองหนุ่มตี๋หน้าหยกแล้วยิ่งรู้สึกอิดหนาระอาใจกับสายตาที่เขามองมายังเธอ
“เดี๋ยวหนูปรางนั่งคุยกับเฮียเฉินไปก่อนนะลูก ป้าไปดูเด็กในครัวทำข้าวต้มกับขนมแป๊บ”
“เออ.. คุณป้าคะ ให้หนูไปช่วยดีกว่านะคะ” ปารวตียิ้มหวานหวังให้เพชรน้ำหนึ่งตอบรับแล้วพาเจ้าหล่อนติดสอยห้อยตามไปด้วย
“ไม่เป็นไรจ้ะ หนูปรางรออยู่นี่แหละ อยู่คุยกับเฮียเฉินรอป้านะลูก” ทันทีที่พูดจบนางก็รีบผละจากลูกชายกับปารวตีหนีเข้าครัว ด้วยว่าอยากเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้ทำความรู้จักกัน
แม้อยากพาตัวเองหนีไปจากชายหนุ่ม แต่ด้วยมารยาทแล้วเธอไม่ควรเดินเพ่นพ่านในบ้านคนอื่นโดยไม่จำเป็น เจ้าหล่อนจึงทำได้เพียงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วถอดถอนหายใจออกมาอย่างสุดแสนเซ็ง
รู้อย่างนี้มาทำงานตรงเวลาดีกว่า..
“มะปรางดื่มอะไรหน่อยมั้ย เดี๋ยวเฮียไปเอามาให้” เจ้าของดวงตากลมโตเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้”
ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเล็กน้อย แววตาของหนุ่มตี๋หน้าหยกทอประกายซุกซน “เรียกเฮียว่าเฮียก็ได้นะ เฮียชอบบบ” เขาลากเสียงยาวเพื่อเน้นย้ำให้ปารวตีรู้ว่าชอบมากแค่ไหน