“คืนพรุ่งนี้อย่าสายนะอ้าย” ยัยป้าแว่นบอกกับฉัน หลังจากที่ฉันขึ้นมานั่งบนรถในเวลาพลบค่ำ วันนี้ทั้งวันฉันถ่ายละครหนักมาก มีหลายฉากหลายซีน แล้วกว่าจะได้แต่ละฉาก แต่ละซีน กว่าผู้กำกับจะโอเค กว่าทุกอย่างจะลงตัว
บอกได้คำเดียวว่า ‘เหนื่อย’
“เรื่องที่ถ่ายวันนี้ปิดกล้องเมื่อไหร่นะแก” ฉันเอ่ยถามเพื่อน โดยที่ยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เพื่อนสั่งเมื่อก่อนหน้านี้ และคือฉันไม่ค่อยรู้รายละเอียดเรื่องปิดกล้องหรืออะไรทั้งนั้น ส่วนมากฉันจำแค่การท่องบท
“อาทิตย์หน้า แต่ของแกหมดแล้วไง แกไม่ต้องถ่ายอะไรแล้ว นอกจากจะมีฉากแก้ แต่ฉันคิดว่าผู้กำกับน่าจะไม่แก้นะ ทุกอย่างมันดูโอเคแล้ว รอเลี้ยงปิดกล้อง เออ นี่ แล้วบทที่ฉันส่งให้แกดูเมื่อสามวันก่อน อ่านบทหรือยัง แกจะเล่นไหม โอเครึเปล่า ฉันจะได้ confirmกับผู้จัด”
“ฉันว่าจะไม่เล่น ไม่ค่อยถูกใจกับบทที่ได้มา มันเหมือนไม่ใช่ฉัน แล้วฉันก็อยากพักสักหน่อย ฉันเหนื่อย” ฉันบอกกับเพื่อนหลังจากที่เมื่อวานฉันนอนอ่านบทละครเรื่องนั้นอยู่สามถึงสี่ชั่วโมง
“แกอยากพักก็บอก แต่แกอย่าบอกว่าบทไม่ใช่ตัวแก เพราะตัวแกจริง ๆ มันเป็นผู้หญิงร้ายกาจ”
“แกกำลังกัดฉัน แล้วรถแกได้วันไหน”
“อีกนาน แล้วทีหลังอย่าก่อเรื่องแบบคืนนั้นอีกนะ ฉันไม่ไหวจะเคลียร์ให้แก”
“จ้ะ” ฉันรับคำแค่นั้น ไม่อยากทำให้ยัยป้าแว่นหัวร้อน เรื่องที่ยัยป้าแว่นพูดถึง มันเกิดขึ้นวันที่ฉันนึกครึ้มอยากเที่ยว อยากดื่ม ฉันจึงแปลงโฉมและชวนยัยป้าแว่นไปเป็นเพื่อน
พอขากลับฉันน่าจะกวนเพื่อนเพราะความเมา รู้สึกตัวอีกทีรถยัยโรสก็ไปจิ้มตูดรถคันหน้าที่จอดติดสัญญาณไฟ และด้วยความเมาที่ค่อนข้างเกินลิมิต ฉันจึงคุมสติที่มีอยู่น้อยนิดไม่อยู่
ก็เลยเผลอแสดงนิสัยด้านลบออกไปมากมาย แล้วพอเคลียร์จบ ฉันก็โดนยัยป้าแว่นสวมวิญญาณแม่ด่าฉันซะหูชา
ซึ่งเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้สองอาทิตย์กว่าแล้ว และตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นฉันก็โดนยัยป้าแว่นกักบริเวณการเป็นตัวของตัวเองมาตลอด
“แล้วสรุปคืนพรุ่งนี้อย่าสายนะ” ผู้จัดการส่วนตัวจอมจู้จี้ทักขึ้นอีกครั้ง ฉันอุตส่าห์แกล้งลืมแล้วเชียว
“ความจริงแกไปคุยแทนก็ได้ ข้อเสนอต่าง ๆ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะงานอะไรแกก็คุยให้ฉันตลอด” ฉันอิดออด เพราะอยากจะฉวยโอกาสออกไปเที่ยวข้างนอกตามลำพังสักนิดระหว่างที่เพื่อนไปจัดการธุระที่มีนักธุรกิจติดต่อมา
นั่นก็คือเจ้าของคอนโดเปิดใหม่ย่าน สุขุมวิท เขาต้องการให้ฉันไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ และคือตลอดเวลาที่ฉันเข้าวงการมา ฉันยังไม่เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์คอนโดให้บริษัทไหนสักครั้ง ด้วยความที่ฉันไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาฉันสนุกกับงานการแสดงละคร ภาพยนต์ ซีรีส์ และเดินแบบ
แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกอิ่มตัวกับงานที่เคยทำ ก็เลยอยากจะพัก และบังเอิญมีคนติดต่อมาให้ฉันไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยัยป้าแว่นก็อยากจะให้ฉันลอง เผื่อมีแรงบันดาลใจในการกลับมาเล่นละครอีกครั้ง
“แต่งานนี้บอสใหญ่เขาจะมาคุยเอง และแกควรให้เกียรติเขา ไม่รู้ล่ะ ยังไงแกก็ต้องตื่นให้ทัน กลับไปถึงบ้านก็นอนเลย ตื่นมาก็น่าจะเที่ยง ๆ เดี๋ยวบ่ายฉันจะให้ช่างแต่งหน้าทำผมเข้าไปหาแกที่บ้าน กว่าแกจะจัดการอะไรต่อมิอะไรเสร็จก็น่าจะพอดีแหละ”
“ฉันไม่เข้าใจว่านัดไปคุยข้อเสนอและดูคอนโดทำไมต้องไปตอนกลางคืน แกไม่ได้รับงานมั่ว ๆ ใช่ไหมโรส”
“มั่วอะไรล่ะ บริษัทนี้เขาเปิดมาจะ 30 ปีแล้วแก พนักงานทุกคนทำงานเนี้ยบกันทั้งนั้น ส่วนบอสคนนี้เขาเข้ามารับตำแหน่งนี้ตั้งแต่อายุ 20ได้มั้ง เขาเก่ง และเขาบริหารงานได้กำไรกลับมาเพียบ แล้วคือบอสเขาบอกว่าเขาโอเคกับเวลานัดไง”
“ก็ได้ ฉันไปก็ได้ แต่ถ้าฉันรับงานนี้ แกต้องยอมให้ฉันออกไปเที่ยวนะ” ฉันทำหน้าอ้อน
“เดี๋ยวก็เป็นแบบเดิมอีก” ยัยป้าแว่นมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจกัน
“ฉันจะไม่เป็นอีก” ฉันให้คำมั่น
“แกก็รู้ว่าพ่อแม่แกหวงและห่วงแกมาก ซึ่งพวกท่านทั้งสองรักและไว้ใจฉันมาก ท่านฝากให้ฉันดูแลแก” แล้วยัยป้าแว่นก็เริ่มเอาพ่อกับแม่ของฉันมาอ้าง พ่อกับแม่ที่ไม่เคยมีเวลาว่างให้ฉัน เพราะคำว่า…งานยุ่ง
หนึ่งปีเจอกันไม่ถึงสิบห้าครั้ง และทุกครั้งที่เจอ จะมีคำลงท้ายว่า ‘แม่รักลูกนะ’
ฉันก็พอเข้าใจว่าแม่ต้องเดินทางตามติดพ่อที่ทำงานหลายประเทศ แต่บางทีก็อดน้อยใจไม่ได้
ตั้งแต่จำความได้ ก็มีแต่เงินนี่แหละมั้งที่อยู่ข้างฉันตลอด อยากได้อะไรก็ซื้อเอานะลูก เข้าใจแม่ด้วยนะ ฉันจำขึ้นใจกับคำพวกนี้
อ้อ ! ไม่สิ อีกอย่างหนึ่งที่อยู่ข้างฉันมาก็คือพี่ชายฉัน ตอนเด็ก ๆ เราตัวติดกันมาก และฉันรักเขามาก แต่ตอนนี้เราค่อนข้างห่างกัน นาน ๆ ครั้งเขาจะกลับมาบ้านสักที และเวลาเขาหายไป เขาก็จะใช้ข้ออ้างว่า ‘ออยล์ไม่ว่าง’
ฉันโคตรเกลียดคำว่าไม่ว่าง
ยังดีที่โตขึ้นมาหน่อยฉันได้รู้จักกับยัยโรสผู้หญิงที่ค่อนข้างประหลาด และฉันก็คงประหลาดด้วยเพราะเราคบกับได้
“พี่ออยล์กลับบ้านเหรออ้าย” ยัยป้าแว่นพูดขึ้นมาระหว่างที่ฉันกำลังเหม่อลอย คำถามของเพื่อนทำให้ฉันหันมองออกนอกรถ และก็ได้รู้ว่าถึงบ้านตัวเองแล้ว
“เห็นรถก็แสดงว่าใช่ แกเข้าบ้านไหม” ฉันให้คำตอบและเอ่ยถามกลับ
“ไม่ดีกว่า ขี้เกียจปั้นหน้า อย่านอนดึกเกินนะอ้าย พรุ่งนี้เย็นมีงาน ห้ามเถลไถล” ยัยป้าแว่นสั่งเข้ม และปกตินางจะนอนกับฉันนั่นแหละ แต่วันนี้นางบอกจะหาแม่นาง บวกกับจังหวะที่พี่ชายของฉันกลับมาบ้านด้วย
แม่ของโรสเปรียบเสมือนแม่ของฉันเช่นกัน เพราะฉันเจอท่านบ่อยกว่าครอบครัวของฉันซะอีก
และทุกครั้งที่พี่ชายของฉันกลับมาบ้าน ยัยโรสจะไม่อยู่ค้างที่บ้านฉัน
สาเหตุก็คือ ‘ลำบากใจ’
“รู้แล้วจ้า เดี๋ยวฉันจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้เลย ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าคิดถึง” ฉันลงจากรถหลังจากที่พูดจบ จากนั้นรถก็ขับออกไป ฉันจึงเดินเข้าบ้าน
“ไม่คิดจะทักทายกันเลยหรือไง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทัก ระหว่างที่ฉันเดินผ่านประตูบ้าน และเขายืนจ้องมองหน้าฉันอยู่
“…” ฉันมองหน้าพี่ชายนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วจากนั้นก็เดินเลี่ยงหนี
“แค่เพื่อน ไม่ได้จริงจัง ฟังกันบ้าง” เขาคว้าแขนฉันไว้แล้วดึงฉันเข้าไปกอด
“คิดถึงนะรู้ไหม อยากจะมาหาแทบตาย แต่งานก็ยุ่งจนปลีกเวลามาไม่ได้ อ้ายก็รู้ว่าตอนนี้สาขาย่อยหลายสาขากำลังแย่ ออยล์ไม่อยากโดนเทกโอเวอร์ ออยล์ยอมเหนื่อยก็เพื่อครอบครัวเรานะ” เขาสาธยายเมื่อเห็นว่าฉันไม่โต้ตอบอะไรสักอย่าง
“นี่พอว่างก็รีบขับรถกลับมาหา แทนที่จะฉีกยิ้มกว้าง ๆ เหมือนเวลาออกสื่อ กลับทำเหมือนออยล์ไม่มีตัวตน” เขาเริ่มตัดพ้อเมื่อฉันยังนิ่ง
“ถ้าไม่ว่างจริง แล้วทำไมมีข่าวควงผู้หญิงขึ้นคอนโด เพื่อนขึ้นห้องสองต่อสองได้เหรอ” ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาดวงตาคม ฉันพยายามจับจ้องเพื่อหาพิรุธในดวงตาของเขา
“โธ่ เอ้ย นึกว่าใคร คนที่ขึ้นคอนโดด้วยน่ะ เลขาออยล์เอง ออยล์เปลี่ยนเลขาเพราะคนเก่าเมียเขาคลอดลูก เขาก็เลยขอลาออกไปดูแลเมีย ออยล์ยุ่งจนลืมบอกอ้ายไง”
“ทำไมต้องเป็นเลขาผู้หญิง”
“ก็มันฉุกละหุก งานก็มีปัญหาถ้ามัวแต่รอผู้ชายมาสมัครออยล์ก็หัวปั่นพอดีสิ เข้าใจออยล์ได้ไหมอ้าย นาน ๆ กลับมาทีอย่าทะเลาะกันเลยนะ” เขาว่าจบก็โน้มหน้าลงมาจูบที่หน้าผากของฉัน
“ถ้าอ้ายไม่โกรธ ไม่ยอมรับสาย ยังไงออยล์ก็ไม่ยอมกลับ นี่ขนาดโกรธนะ เรื่องผ่านไปตั้งสองอาทิตย์กว่าแล้ว ถามจริง ๆ นะ อ้ายยังสำคัญสำหรับออยล์อยู่ไหม” ฉันโต้แย้งและทำหน้าเศร้า
“ทำไมถามแบบนี้ ถ้าไม่สำคัญออยล์จะมายืนอยู่ตรงนี้ไหม อ้ายก็รู้ว่างานยุ่งแค่ไหน ออยล์โคตรเหนื่อยกับงานเลย ไหนยิ้มให้ชื่นใจหน่อยซิ บอกทีว่าไม่โกรธกันแล้ว” เขาจูบที่หน้าผากฉันอีกครั้ง แล้วจากนั้นสองมือก็แนบที่แก้มของฉัน
“อยู่กี่วัน” ฉันยังไม่ได้ยิ้ม
“มากสุดสองวัน เคลียร์เวลาได้แค่นั้น”
“เมื่อไหร่จะมีเวลาให้อ้ายบ้าง แต่ก่อนออยล์ไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้ พออ้ายตามไปทำงานด้วยออยล์ก็บอกไม่มีสมาธิ พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยว่าง อ้ายถึงต้องเข้าวงการเพื่อหาอะไรทำแก้เหงา ออยล์ลืมแล้วใช่ไหม คำพูดที่ออยล์เคยบอกในคืนนั้น” ฉันทำหน้าเศร้ายิ่งกว่าเดิม
“พี่จะไม่ทิ้งน้องให้นอนร้องไห้คนเดียวเด็ดขาด อ้ายยังมีพี่ออยล์นะ เห็นไหมว่าออยล์ยังจำได้ ช่วงนี้งานมันยุ่งจริง ๆ นะอ้าย เชื่อพี่สิ ถ้างานลงตัวพี่จะอยู่กับอ้ายตลอดเวลาที่ว่างเลย” เขาเอ่ยคำพูดที่เคยพูดกับฉันในวันที่ฝนตกฟ้าร้อง แล้วทั้งบ้านมีแค่เราสองพี่น้อง
เขารีบตอบเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ลืมฉัน
“อ้ายจะรอนะ” ฉันฝืนยิ้มให้เขา รู้ว่าเขาไม่ได้ลืมคำพูด แต่การกระทำมันไม่ใช่ พักหลังมานี้เขาไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ฉันเลยในเวลาที่ฉันต้องการเขา
เขามีแต่บอกให้ฉันรอ แล้วฉันก็รอ แต่ยิ่งนับวันงานของเขามันก็ยิ่งมากมายมากกว่าเดิม
ไม่รู้เลยว่าฉันต้องรออีกนานเท่าไหร่
“ออยล์รักอ้ายนะ” หลังประโยคบอกรักเรียวปากหนาประกบที่ริมฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยน…