เริ่มต้นบทเพลง
“เจอกันพรุ่งนี้นะบีม”
“อื้ม พรุ่งนี้เจอกัน” ฉันยืนโบกมือลาเพื่อนสาวก่อนที่ตัวเองนั้นจะเดินออกมาจากรั้วของโรงเรียนรัฐสตรีชื่อดังย่านใจกลางเมืองและไปหยุดยืนรอรถประจำทางที่ป้ายรถเมล์
เวลาที่เลิกเรียนแบบนี้ผู้คนก็มักจะเยอะมากเป็นพิเศษทั้งเด็กสาวและชายหนุ่มที่ต่างก็มายืนรอรับแฟนสาวจากโรงเรียนหญิงล้วนที่ฉันเรียนอยู่ แต่ตัวฉันไม่ได้สนใจในเรื่องพวกนั้นและก้าวขึ้นไปยังรถประจำทางสายประจำก่อนที่ฉันจะเห็นมีที่ว่างเหลืออยู่พอดีให้ตัวของฉันพาร่างของตัวเองไปนั่ง
ฉันคว้าหยิบเครื่องเล่น MP3 ขึ้นมาจากกระเป๋าจาคอปของตัวเองพร้อมทั้งสมุดของฉันขึ้นมาทำเพื่อฆ่าเวลาก่อนที่จะถึงที่หมาย ฉันเปิดไปยังทำนองเพลงที่ฉันเป็นคนแต่งเอาไว้กับเหล่าเพื่อน ๆ ก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและมีบ้างที่ฉันจะจดมันลงไปบนสมุดของฉันที่อยู่ในมือ
ฉันเป็นนักดนตรีที่เล่นเพื่อความสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ผู้ชายของฉันซึ่งเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เราชื่นชอบการฟังเพลงจากเทปเหมือนกันเพราะพ่อของเรามักจะเปิดให้ฟังตั้งแต่ที่พวกเรายังเด็ก พวกเราจึงตั้งปณิธานขึ้นมาว่าโตขึ้นพวกเราอยากที่จะมีเพลงของตัวเองบ้างและอยากที่จะมีเสียงของพวกเราอยู่ในวิทยุเครื่องที่พ่อกับแม่ของเราเคยฟัง
มันดูเป็นความฝันไร้สาระของเด็ก ๆ แต่วันนี้ฉันกลับมาทำตามความฝันแล้วด้วยการแต่งเพลงและแต่งทำนองเองทั้งหมดโดยมีเพื่อน ๆ ของฉันอีกสามคนคอยให้การช่วยเหลือ เพลงที่พวกเราเลือกแต่งส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นเพลงรักหวานแหววให้เหมาะกับวัยมัธยมอย่างพวกเราแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนว่ามันมีบางอย่างขาดหาย
ทั้ง ๆ ที่ฉันมักจะได้รับคำชมเสมอกับเพื่อน ๆ เวลาที่ฉันเขียนเพลงเสร็จแล้วเอาไปให้พวกนั้นฟัง หรือแม้กระทั่งเพลงที่ฉันอัดลงในซีดีและไปเปิดให้พ่อกับแม่ฟังพวกเขาเองก็ว่าเพลงของฉันมันเพราะแล้วเหมาะสมกับวัย
แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าบางอย่างมันขาดหาย ยังรู้สึกเหมือนกับโน้ตเพลงของฉันมันยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่จนแล้วจนรอดมาจนถึงตอนนี้...ฉันก็ยังไม่รู้ว่าโน้ตเพลงที่มันขาดหาย มันขาดหายไปอยู่ที่ตรงไหนกันแน่
คิดอะไรเรื่อยเปื่อยรถก็จอดรับผู้โดยสารที่ป้ายถัดไปให้ตัวฉันมีสติขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนต่างกรูกันขึ้นมาบนรถจนมันแออัดก่อนที่สายตาของฉันจะเหลือบไปเห็นคุณยายคนหนึ่งที่ไม่มีใครลุกให้กับแกนั่งเลย และดูเหมือนว่าถ้าแกยังยืนอยู่อย่างนั้นได้มีหวังล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเป็นแน่
“คุณยาย...มานั่งที่หนูสิคะ” ฉันลุกให้กับแกนั่งก่อนที่จะได้รับคำขอบคุณอย่างล้นหลามจนผู้คนต่างหันมาสบมองฉันเป็นตาเดียว
ฉันได้แต่ยืนยิ้มแหย่กลับไปและกดเลือกเพลงที่ฉันต้องการจะฟังอีกครั้งซึ่งเพลงที่ฉันฟังอยู่มันก็คือทำนองเพลงที่ฉันเป็นคนแต่งนั่นเอง แต่ว่าฉันยังแต่งไม่เสร็จเพราะเนื้อเพลงของฉันยังรู้สึกว่ามันยังไม่สมบูรณ์
ไม่นานฉันก็มาถึงที่หมาย นั่นคือห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองที่เด็กสาวและเด็กชายวัยมัธยมมักจะมาเดินเล่นร้องคาราโอเกะกันที่ห้างแห่งนี้ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็มาตามนัดของแฟนก่อนที่จะกลับไปคุยกันผ่านโทรศัพท์บ้านหรือผ่านแอปพลิเคชันอย่าง MSN อีกครั้ง จริง ๆ แล้วโทรมือถือก็มีออกมาแล้วแต่มันก็มีราคาที่ค่อนข้างสูงซึ่งฉันมองว่ามันยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับฉันสักเท่าไหร่
ฉันมองเหล่าหนุ่มสาวที่ต่างก็เดินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแล้วฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีถึงความรู้สึกนั้น ความรู้สึกที่ต้องตกหลุมรัก ความรู้สึกดี ๆ กับใครสักคน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเพราะฉันยังไม่เคยได้มีรักอย่างใครเขา
เสียงทำนองยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ฉันจะหันมองนาฬิกาภายในห้างแล้วพบว่ามันยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยที่ฉันจะไปที่ร้านหนังสือ ฉันไม่รอช้า รีบก้าวขายาว ๆ ของตัวเองเข้าไปในร้านหนังสือทันทีเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับดนตรีอีกสักเล่ม
“อ่า...เมื่อคืนลืมชาร์จแบตแน่เลย” ฉันสถบกับตัวเองเบา ๆ เพราะตอนนี้เครื่องเล่นของฉันดับไปแล้ว
ฉันจำใจที่จะต้องถอดมันและเก็บใส่ในกระเป๋าของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่ฉันจะเดินมองหามุมหนังสือดนตรีอีกครั้ง
“นี่ไง...” ฉันยกยิ้มออกมาเมื่อพบกับหนังสือที่ตัวเองตามหา และฉันยังเห็นว่าเวลามันยังเหลืออยู่มาก และที่นี่คนก็ไม่ได้เยอะมากนักเพราะคนส่วนมากก็น่าจะไปร้องคาราโอเกะกัน ฉันจึงยืนอ่านมันไปพราง ๆ อย่างตั้งใจ และพยายามที่จะทำความเข้าใจกับมันไปด้วย
“อือ...อยู่ไหนน้า” แต่แล้วเสียงหวานใสของใครบางคนก็ดังขึ้นมาดึงสติของฉันที่ตอนแรกจดจ่ออยู่ที่หนังสือให้ต้องหันกลับไปสบมอง
ตึกตัก ตึกตัก
ใบหน้าหวานใสผมสีน้ำตาลอ่อน ๆ ที่มัดเป็นหางม้าอยู่นั้นพาให้หัวใจของฉันสั่นไหว หัวใจของฉันไม่เคยเต้นเสียงดังโครมครามแบบนี้มาก่อน และเธอกำลังทำให้ฉันราวกับว่าตกอยู่ในห้วงภวังค์
“เจอแล้ว!” เสียงหวาน ๆ นั้นของเธอช่างไพเราะน่าฟัง หน้าหวานใสของเธอกำลังยกยิ้มออกมาราวกับว่ามีความสุข
โลกทั้งใบราวกับหยุดหมุนไป เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ขยับเคลื่อนไหว คือท้วงท่าที่สง่างามของเธอและมันทำให้หัวใจของฉันเองก็กำลังเกเรอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่แล้วสิ่งที่ฉันคิดหวังกลับต้องหยุดลงไป เธอหันหลังเดินจากออกไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินและกำลังจะเดินมุ่งหน้าออกไปจากร้านหนังสือแห่งนี้ ฉันที่สับสนและกำลังถกเถียงกับตัวเองในใจว่าควรทำอย่างไรก็ได้แต่ยืนอื้ออึงจนร่างของเธอเดินขึ้นบันไดเลื่อนใกล้จะลับสายตาของฉันไปแล้ว
ฉันอยากรู้จักเธอ...
อยู่ ๆ คำนี้มันก็ผุดขึ้นมาในสมองให้ฉันต้องรีบวิ่งออกไปจากร้านในทันทีให้คนทั้งหมดได้แต่มองตามอย่างสงสัย ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบันไดเลื่อนก่อนจะยกยิ้มเพราะเห็นแผ่นหลังของเธอยังอยู่ตรงหน้าไม่ใกล้ไม่ไกล
ฉันวิ่งตามเธอขึ้นไปและพยายามจะเก็บอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด กลิ่นน้ำหอมจากเธอลอยฟุ้งอ่อน ๆ พาให้หัวใจของฉันรู้สึกผ่อนคลาย ฉันเดินยิ้มราวกับคนบ้าตามเธอมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็เดินเข้าไปในสถาบันเรียนพิเศษแห่งหนึ่งและฉันก็ได้แต่ยืนสถบด่าตัวเองอยู่อย่างนั้น
ฉันไม่ได้ใจกล้าพอที่จะเข้าไปทักทายเธอแบบนั้นหรอก แต่ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้เรื่องของเธอ...อย่างไรสักวันหนึ่งฉันก็จะต้องได้รู้จักชื่อของเธอให้จงได้!