เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้า
ชายหนุ่มผมสีดำสนิทขยับตัวลุกออกจากเตียงตามเวลาเดิมเช่นทุกวัน ท้องฟ้าใกล้จะสว่างขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ เฉินเฟยหยางมักจะตื่นในยามเช้าตรู่เป็นกิจวัตร และทำเหมือนดั่งเช่นทุก ๆ วัน นั่นคือ ตื่นนอน ล้างหน้า และไปค่ายทหาร วนอยู่เช่นนี้มานานนับห้าปี
“ท่านแม่ทัพ ข้าเตรียมน้ำไว้ให้แล้วเจ้าคะ”
“อืม ขอบใจ”
บ่าวใช้ด้านนอกรู้เวลาตื่นของท่านแม่ทัพเป็นอย่างดี ได้จัดเตรียมน้ำอุ่นไว้รอก่อนแล้ว เมื่อได้ยินคำขอบคุณต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใบหน้าแดงก่ำแล้วรีบเดินออกไป เฉินเฟยหยางลุกขึ้นจัดการตัวเอง เนื่องจากเขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวาย สาวใช้ด้านนอกจึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาปรนนิบัติเขาแม้จะได้ยินเสียงตอบกลับของเจ้าตัวว่าตื่นแล้วก็ตาม
‘มันน่ารำคาญ’
“ท่านแม่ทัพ แม่นางอี้หนานมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
“...”
ชายหนุ่มยังคงส่องกระจกจัดชุดของตนให้เรียบร้อย นำปลอกแข็งเหล็กเข้ามาสวม โดยไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เมื่อไร้คำตอบรับจากคนด้านในทั้งที่ได้ยินเสียงอยู่ใกล้ๆทำเอาหัวหน้าสาวใช้อย่าง ‘เลี่ยงจี’ ไม่กล้าหันกลับไปมองสตรีงดงามราวบุปผาด้านหลัง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพคงไม่สะดวก”
ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มกว้างพาให้คนมองยิ้มตาม เลี่ยงจีรู้สึกผิดอย่างยิ่งยามเห็นรอยยิ้มไม่กล่าวว่าอะไรของนาง นางอยู่มาถึงสี่สิบปี ไม่เคยพบผู้ใดอ่อนหวาน กิริยางดงามเทียบเท่าแม่นางอี้หนานมาก่อน อยู่กับนางเพียงข้ามคืนกลับรู้สึกเอ็นดูนางเสียเหลือเกิน
“ท่านแม่ทัพปล่อยให้สตรีตากลมหนาวรอไม่ดีนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของเลี่ยงจีติดไม่พอใจอยู่ในที
เฉินเฟยหยางสายตาเรียบนิ่งราวกับน้ำที่สงบทว่ามีพายุใต้คลื่น ดวงตาเลื่อนไปมองยังดาบข้างกาย ‘ฆ่าเสียเลยดีไหม’ ใบหน้าของฮองเฮาเสิ่นสะท้อนขึ้นมาเหนือความกรุ่นโกรธ นางเป็นสาวใช้ที่ฮองเฮาเลือกด้วยตนเองและส่งมา หากฆ่าไปแล้วคงได้มีแต่ความวุ่ยวายเข้ามาไม่หยุดเป็นแน่
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะตอบกลับออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นปกติที่สุด
“ให้นางรอข้าที่ห้องรับแขก เสร็จตรงนี้ ข้าจะตามไปทีหลัง”
“เจ้าค่ะ” เลี่ยงจียิ้มตอบรับ “คุณหนูอี้หนานไปรอที่ห้องรับรองก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะนำทางให้”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” หลานอี้หนานกล่าวขอบคุณโดยไม่อิดออด ยิ่งสร้างความประทับใจให้กับเลี่ยงจีมากขึ้นไปอีก
‘น่าเสียดายนักที่ฮองเฮาไม่ต้องการให้คุณหนูตบแต่งเข้าตำหนักองค์รัชทายาท กลับเลือกสตรีใจดำอย่างแม่นางเสวี่ย สตรีร้ายกาจคนนั้นเสียแทน หาไม่ใช่เพราะชาติตระกูลอัครเสนาบดีของนางแล้ว จะมีใครอยากเอานางติดเรือน ใครได้นางไปคงไม่วายฉิบหายล่มจมกันหมด’
ณ ห้องรับรอง หลานอี้หนานมองไปรอบโต๊ะพบเพียงขนมผิงจานเดียววางอยู่ มันดูแข็งเหมือนกับวางตากลมตรงนี้อยู่พักหนึ่งแล้ว เลี่ยงจียกชาร้อนเข้ามา รินน้ำชาใส่ถ้วยชาและยื่นให้แก่หญิงสาวตรงหน้า หลานอี้หนานยกมือรับพร้อมกับระบายยิ้มดุจบัวขาวบริสุทธิ์เพื่อขอบคุณ
“เรือนท่านแม่ทัพอยู่อย่างอดอยาก สงสารแต่คุณหนู ต้องพบความลำบาก จากบ้านมาไกลถึงตงฟาง สาเหตุเพราะคนเถื่อนใจหยาบช้าพวกนั้น”
ชาร้อนรสเฝื่อนลิ้น มือเรียวสวยสั่นไหวเสี้ยวสั้นๆ หยุดการจิบชาไว้เท่านั้น หากกล่าวถึงคนเถื่อนพวกนั้นย่อมต้องถามถึงผู้จ้างวานเบื้องหลังเช่นกัน คนคนเดียวที่พอคิดออก นางก็ไม่กล้าจะเอ่ยขึ้นมา
“ขอบคุณเลี่ยงจีที่เป็นห่วง ขอเพียงมีที่นอนกับน้ำแกงสักมื้อ ข้าก็อยู่ได้”
“โถ กินขนมผิงรองท้องเสียก่อนเจ้าค่ะ อาหารจากในครัวใกล้จะเสร็จแล้ว” เลี่ยงจีกล่าว ยื่นขนมผิงส่งให้มือนาง
“อะ..ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หลานอี้หนานจำต้องรับขนมมากินก่อนอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ภายในใจแล้วนางนั้นไม่ชอบอาหารที่ตากลมจนแห้งกร้านเช่นนี้เอาเสียเลย
“แม่นางหลานมีธุระอันใดกับข้างั้นหรือ”
เสียงบุรุษทุ้มต่ำน่าฟังดังขึ้น หลานอี้หนานได้จังหวะจึงแสร้งวางขนมที่ยังไม่ทันเข้าปากลงไปจาน หญิงสาวลุกขึ้นโค้งตัวคำนับด้วยกิริยาอ่อนช้อยน่ามอง สองมือประสานไว้ระหว่างช่วงท้องตามท่วงท่างดงามที่ร่ำเรียนมา
“คำนับท่านแม่ทัพเฉิน ขออภัยที่มารบกวน” คนตัวสูงเดินผ่านนางไปเลือกที่นั่งตรงกันข้าม เปรยตามองเลี่ยงจีด้วยสายตาน่ากลัว เพียงแต่ว่าวินาทีถัดมานั้นก็ยกยิ้มอ่อนโยนอย่างเคย
“..อืม หากขาดเหลือสิ่งใดเจ้าสามารถบอกเลี่ยงจีได้ ไม่ต้องลำบากมาพบข้าแต่เช้าเช่นนี้เลย”
ประโยคที่กล่าวนั้นดูเหมือนคล้ายเป็นห่วงคล้ายรำคาญอยู่ในที แต่น้ำเสียงที่ได้ยินกลับรื่นหู ประกอบกับใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยนของเจ้าตัวทำให้นางไม่กล้าคิดถึงอย่างหลัง
“หนานเอ๋อร์อยากขอบคุณท่านแม่ทัพอีกครั้ง ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพพอจะมีเวลาว่างบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“ตัวข้าไปกลับค่ายทุกวัน กว่าจะเข้าจวนก็มืดค่ำแล้ว หากเจ้ายังคิดรอเราก็สามารถพบกันได้ในช่วงค่ำของวัน”
“ขะ..ข้ารอได้เจ้าค่ะ” หลานอี้หนานกล่าวตะกุกตะกัก วิธีที่เขาพูดไม่ได้ต่างจากการตัดสัมพันธ์อันดีตั้งแต่แรก
“เข้าใจแล้ว”
เฉินเฟยหยางพยักหน้า มือหยาบกร้านยกชารสเฝื่อนขึ้นจิบ ขณะที่สายตาเลื่อนมองผ่านหลานอี้หนานไปยังเรือนด้านหลัง อันเป็นที่ที่เขาสั่งให้คนจัดที่พักให้กับจ้าวเสวี่ยซิน ตะวันขึ้นเหนือขอบฟ้ามาสักพักแล้วแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของนางหรือกระทั่งเงาของทหารฝีมือดีที่ส่งไป ทั้งที่คิดว่า หลังจากยอมรับคำขอร้องของแม่นางหลาน ให้เรือนติดกับเรือนหลักแก่นางไป จะทำให้สตรีใจดำเช่นนางตามมาโวยวายและบุกทำร้ายแม่นางหลานอย่างที่เคยได้ยินมาเสียอีก
“ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเจ้าจะหลับสบายดี”
ยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ดวงตาคมกริบสำรวจสตรีตรงหน้าอีกครั้ง นางกล่าวว่านางรู้สึกไม่ปลอดภัยและต้องการอยู่ใกล้เรือนเขาไว้ก่อนเผื่อมีเรื่องใดเกิดขึ้นนางจะได้ขอความช่วยเหลือได้ทัน
“สบายดีเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ยอมฟังคำร้องขอของข้า”
“มันไม่ได้มากมายอะไร หากเพื่อความปลอดภัยดั่งที่เจ้าต้องการ ข้ายินดีช่วย หาไม่แล้วข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านราชครูหลาน”
บทสนทนาต่อไปอีกเพียงสองสามประโยคจากนั้นจึงเงียบไป ส่วนใหญ่แล้วบทสนทนาครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายจนคล้ายจะน่าเบื่อ แม้แต่หลานอี้หนานยามนี้ก็ยังกระอักกระอ่วนลอบมองใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับนิ่งเฉยตรงหน้าด้วยความกังวล เหตุใดเขาถึงเฉยชาถึงเพียงนี้
ไม่นานนักอาหารหน้าตาน่าทานกว่าห้าอย่างถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ หลานอี้หนานได้ทีจึงรีบกล่าวชวน
“ท่านแม่ทัพอยู่รับอาหารด้วยกันก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าขอให้เขาทำเพิ่มมาสองอย่างเป็นอาหารที่กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวงต้าฉินช่วงนี้”
“สายมากแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน”
เฉินเฟยหยางเลือกวางถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วลงบนจานรองและกล่าวปฏิเสธไป ใบหน้าโฉมสะคราญหน้าชาราวกับโดนตบหน้า ความไม่พอใจสายหนึ่งเกิดขึ้นในจิตใจ ทำไม่เขาถึงไม่สนใจนาง! เท่าทันความคิดชั่ววูบ แต่เพียงเท่านั้นหญิงสาวรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปแล้วยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ในส่วนลึก
“ไม่เป็นไรเจ้าคะ เป็นข้าเองที่รบกว..”
ครืด
เสียงขาโต๊ะครูดลากไปกับพื้นรวดเร็ว ร่างหนาที่นั่งอยู่ตอนแรกลุกพรวดพราดขึ้นมาราวกับโดนไฟลน หูถูกฝึกมาอย่างดีสามารถจับเสียงไปไกลหลายจั้ง ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วราวกับนกแก้วดังมาแต่ไกล
ถัดจากสวนไปยังสะพานข้ามสระบัว พบร่างหญิงสาวใบหน้างดงามทว่ามีรอยแผลนูนเล็กน้อยที่หน้าผาก ข้อมือเล็กถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล เพียงแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดสนใจมากนัก สนใจแต่พูดคุยกับชายหนุ่มด้านข้างราวกับไม่มีคนให้พูดด้วยเป็นปีเสียมากกว่า มุมปากของนางยกยิ้มไม่ยอมหุบขณะที่นิ้วเรียวดั่งแท่งเทียนชี้ไปตรงนู้นทีตรงนี้ที ดวงตาที่มักจะเย็นชาซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ ยามนี้กลับสุกสว่างวาวใสยามต้องแสงอาทิตย์ ดูสดใสราวกับฤดูดอกไม้ผลิ
“ข้าทำขนมจากเม็ดบัวเป็นนะเจ้าอยากลองชิมหรือไม่”
“..ข้าไม่บังอาจ” ข้างกายเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง หน้าตาซีดเซียว องครักษ์ที่เขาส่งไปเองกับมือกำลังเดินตามสตรีผู้นั้นต้อย ๆ พลางตอบคำถามไปมาเหมือนสนิทกันเสียมากมาย
“แม่นางเสวี่ยซินนี่เจ้าคะ นางกำลังไปที่ใดหรือ”
ทิศทางที่จ้าวเสวี่ยซินกำลังไปนั้นคือเรือนหลังเล็กด้านหลัง ดูเหมือนหลานอี้หนานจะลืมไปแล้วว่าเฉียนยี่บาดเจ็บพักอยู่เรือนหลังเล็กเพราะตามมาช่วยนางก่อนหน้านี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาได้บอกกับนางไปแล้ว
“ทะ ท่านแม่ทัพ” เสียงหวานเรียกเขาเมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังก้าวเท้าออกไป
"ขออภัยด้วย ข้าคงต้องเสียมารยาทขอตัวไปก่อน เชิญแม่นางหลานทำตัวตามสบาย รับประทานอาหารก่อนกลับเรือน ข้าขอตัว"
รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงประดับบนใบหน้าหล่อเหลา เขาเอ่ยปฏิเสธอย่างเป็นธรรมชาติและเดินออกจากห้องรับรองไปยังทั้งสองคนทันที ทิ้งให้หลานอี้หนานนั่งอึ้งจากการกระทำที่เมินเฉยของเขา ใจพลันจับความรู้สึกไม่ยินยอมสายหนึ่งได้อีกครั้ง ตามองตามแผ่นหลังกว้างไปจนกระทั่งร่างนั้นหายลับหายไปจากสายตา
กลับมา ณ ปัจจุบัน
เฉินเฟยหยางกอดอกพลางมองชิงเหยาคาดโทษ เขาส่งมาเพื่อจับตาดูไม่ใช่ส่งมาเพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นนาง! ชิงเหยาอ่านสายตานั้นออกก็หน้าซีดเซียว ได้เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า
‘เขาทำผิดสิ่งใดกัน’
“น้องชายข้าบาดเจ็บข้าก็ต้องมาดูแลสิเจ้าคะ ว่าแต่ท่านแม่ทัพเฉิน ไม่รีบไปค่ายทหารหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเป็นสตรี บุรุษกับสตรีไม่ควรใกล้ชิดกัน” เฉินเฟยหยางละความสนใจจากชิงเหยา คาดโทษเอาไว้แล้วในใจ หลังจากนี้คงต้องฝึกให้หนักขึ้นให้เรียนรู้คำว่า ‘จับตาดู’ ต้องทำเช่นไร
“ข้ายืนห่างจากเขาถึงสามก้าว”
“พูดคุยเล่นกันอย่างสนิทสนมยิ่งไม่สมควร” อีกคนกลับไม่ยอมฟัง
“เขาเป็นผู้ติดตามที่ท่านส่งมา ไยจะสนิทสนมไม่ได้หรือเจ้าคะ” น้ำเสียงหวานกล่าว ศีรษะเล็กเอียงคอมองคนตรงหน้าที่กำลังมีสีหน้านิ่งเฉยด้วยความสงสัย
คิ้วหนายิ่งกระตุกถี่ทุกครั้งที่ได้ยินคำตอบของนาง ดูเหมือนนางจะลืมไปแล้วว่านางเป็นใครเคยทำอะไรไว้กับเขาบ้าง ร่างสูงเดินตรงเข้ามาหาคนที่เอียงคอสงสัยได้อย่างน่ารัก แก้มของนางอมลมจนแก้มป่อง ทว่าน่าแกล้งเสียมากกว่า
“อะ..อะไรเจ้าคะ เข้ามาใกล้ทำไม โอ้ยย!!”
“!”
เมื่อประชิดตัวได้ ฝ่ามือหนาก็ดึงเอาเอวคอดเข้าหาตัวเอง ส่งผลให้ใบหน้างามกระแทกเข้ากับเกราะแข็งอย่างจัง นางร้องโอดโอยยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองป้อยๆ เงยหน้าสบเข้ากับดวงตาคมที่กระตุกยิ้มเย็นแก่นาง ท่ามกลางความตกใจของชิงเหยาเช่นกัน
“หึ” เฉินเฟยหยางยกยิ้มมุมปาก
ใบหน้าคมคายโน้มลงมองคนตัวเตี้ยกว่าที่อยู่เพียงหน้าอกของเขา จ้าวเสวี่ยซินกลั้นหายใจเมื่อใบหน้านั้นขยับเข้ามาใกล้กระทั่งปลายจมูกแตะเข้ากับปลายจมูกรั้นของนาง หญิงสาวขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัว เมื่อสายตานั้นสำรวจไปทั่วใบหน้านางช่างดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจต่อใจเหลือเกิน!
กรี๊ด เขาอ่อยหนูค้า!!
จ้าวเสวี่ยซินพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออก หลบเลี่ยงสายตาไปทางอื่นอย่างช่วยไม่ได้จนกระทั่งคนตัวสูงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าติดไม่พอใจอยู่ในที
“กับข้าเจ้าทำได้ แต่กับคนอื่นเจ้าทำไม่ได้”
“!!”
เฉินเฟยหยางเน้นคำว่าคนอื่นชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาดวงตากลมโตเบิกกว้างอ้าปากค้าง นิ่งแข็งเป็นรูปปั้น ไม่คาดคิดว่าพ่อพระเอกจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ต่อหน้านาง เช่นเดียวกับชิงเหยาที่ตาเหลือกโต ลูกตาแทบจะถลนออกจากเบ้ามองไปทางท่านแม่ทัพ ยกมือขยี้หูตัวเองหนึ่งที..
..หูของข้าหนวกไปแล้วใช่หรือไม่
มุมปากเขายังคงยกยิ้มชั่วร้าย เหมือนต้องการกลั่นแกล้งนาง.. อึก อย่ายิ้มมั่วซั่ว! จ้าวเสวี่ยซินตาพร่าเบลอ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายเขายิ่งทำให้นางใจเต้นไม่ปกติ! จะผลักออกก็สู้แรงไม่ได้ ขนาดกัดหรือทุบตอนนั้นเขายังไม่สะทกสะท้านเลย ฮึ่ย!
วินาทีนั้นนางตัดสินใจมุดตัวลงด้านล่างเพื่อหนีการเกาะกุม ทว่า.. ด้วยความเร่งรีบกลัวเขาจะไหวตัวทัน จังหวะที่นางมุดตัวลงมาได้ ข้อเท้าที่พันแผลไว้เกิดอาการปวดแล่นขึ้นมากะทันหันจากการขยับตัวรวดเร็วและผิดลักษณะ.. ส่งผลให้นางทรงตัวไม่อยู่
“!!”
นางตกใจเสียงหายไปในลำคอ เมื่อความพลาดท่าส่งผลให้หน้านางซุกลงไปกับกล่องกลางใจของเขาเข้าอย่างแรง!!
“!!”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก!!!! ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกอยู่ในภวังค์ ตาเหลือกโตจากอาการตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่เฉินเฟยหยางที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว คงเพราะช็อค อึ้ง ทึ่งจนขยับตัวไม่ได้
กรีดร้องงงง มันจบสิ้นแล้ว!!
ชิงเหยารีบยกมือขึ้นปิดตา สาบานกับตัวเองว่าไม่ได้เห็นเลยสักนิดที่มีสาวน้อยซุกอยู่ตรงกลางใจของท่านแม่ทัพ!!
จ้าวเสวี่ยซินบัดนี้แปรสภาพเป็นรูปปั้น ทั้งตัวและหน้าขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย นางค่อยๆเงยหน้าขึ้น จังหวะเดียวกันกับที่เขาก้มต่ำมองยังนางที่คุกเข่าอยู่ ทั้งสองเลื่อนตาสบกันอย่างช้า ๆ ..และ..
“ขอโท๊ดดดดดดด” จ้าวเสวี่ยซินร้องลั่น
ไม่ ไม่ ไม่! อะไรนิ่มๆนั่นนางไม่ได้รู้สึกถึงมันเลยนะ ไม่จริงงง!!
นางเด้งตัวออกจากเขาไปไกลหลายหลา ลืมความเจ็บปวดที่ข้อเท้าไปจนหมดสิ้น เสียงขอโทษดังก้องจนถึงเรือนท่านแม่ทัพ หลานอี้หนานที่กำลังตักน้ำแกงอยู่ชะงักพลางหันไปมอง ขณะที่อีกคนหนึ่งมีผ้าพันแผลตามลำตัวและแขนชะเง้อคอมองไปยังประตู
“เสียงท่านพี่ไม่ใช่หรือ..”