บทที่ 6 หอบผ้าหอบผ่อน

2951 คำ
หลังจากพบท่านหมอ เขาให้ยานางมาทาหัวที่ปูดโน และพันแผลให้กับนางตามข้อมือและข้อเท้าแล้วจึงให้ยาสำหรับวันนี้มา นางได้กินยาและหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีคนเปลี่ยนชุดให้นางแล้ว เป็นชุดสีขาวเรียบง่าย ส่วนตัวนางเองก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าข้อมือและข้อเท้าของนางเป็นสีม่วงคล้ำ รอยช้ำเป็นเส้นรอบข้อมือ คงเกิดจากการรัดของเชือกที่แน่นจนเกินไป “ปวดวุ้ย!” นางงัวเงียก้มมองดูแผลของตัวเองพลางเบ้ปากด้วยความเจ็บเมื่อพยายามยกข้อมือขยับไปมา นางละความสนใจจากแผลก่อนจะสำรวจตัวห้องของตนเองอีกครั้ง มันไม่ได้แย่อย่างที่ถูกกล่าวหาในนิยายสักนิด ส่วนที่ถูกกล่าวไว้ตรงนั้นคงเป็นความคิดเห็นของแม่นางร้ายเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน จวนของแม่ทัพนั้นไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางมากนัก นั่นคือสิ่งที่ในนิยายบรรยายบอกเอาไว้ แต่เมื่อนางเห็นของจริงคงต้องกลับความคิดใหม่ มันไม่ใหญ่ตรงไหนกัน มีทั้งสระบัว สวนดอกไม้ส่งกลิ่นหอมกรุ่นซึ่งกินพื้นที่ไปแล้วกว่าบ้านสองหลัง ยังไม่นับพื้นที่สำหรับเรือนหลัก เรือนรับรอง และเรือนบ่าวใช้ด้านหลังกำแพงนั่นอีกที! หากกล่าวว่าจวนแม่ทัพอยู่กันแบบพอกินพอใช้แล้ว พาให้นึกถึงจวนอัครเสนาบดีจ้าว รายนั้นถูกบรรยายไว้อย่างโอ้อ้าว่าเป็นจวนขนาดใหญ่กว้างขวาง ทั่วทั้งเรือนประดับด้วยสีชมพูขาวของดอกพลัมและดอกเหมย กลีบดอกโรยราประดับราวกับฉากงดงามบนสวรรค์ เปรียบเทียบจากคำพรรณนาแล้ว หมายความว่าจวนของนางใหญ่กว่าที่นี่อีกหลายเท่านัก นางถึงกับยกยิ้มหน้าบานตลอดการรักษากับท่านหมอเลยเชียว เพราะนางรวย และรวยมาก! ส่วนเรื่องเรือนที่พักของนางร้ายและนางเอกแล้ว มันถูกจัดตามที่บรรยายไว้ในนิยายทุกระเบียบนิ้ว เรือนรับรองของแม่บัวขาวนั้นห่างจากเรือนท่านแม่ทัพเพียงสระบัวกั้น กลับกันเรือนรับรองที่ถูกตั้งห่างไว้อีกที่หนึ่งหลังจวนแม่ทัพเป็นของจ้าวเสวี่ยซิน ซึ่งถูกจัดให้อยู่ห่างจากเรือนหลักของท่านแม่ทัพอยู่พอสมควร ระหว่างระยะทางจากเรือนของนางจนถึงเรือนพ่อพระเอกถูกกั้นด้วยสวนและสะพานข้ามสระบัวอีกชั้นหนึ่ง หมายความว่าหากนางต้องการจะไปพบเขา ต้องผ่านสวนดอกไม้ ข้ามสระบัว และผ่านสวนดอกไม้อีกชั้นหนึ่ง และผ่านลานฝึก ถึงจะพบเรือนของเขา เขากลัวว่านางจะแอบเข้าห้องเขาอีกรึไง! ถ้าเป็นไปตามเนื้อเรื่องเดิม แม่นางร้ายใจดำๆคนนี้เป็นอันต้องสร้างเรื่องเพื่อให้ได้เข้าใกล้เรือนบุรุษในดวงใจที่ห่างหายเข้ากลีบเมฆมานานนับห้าปี เรื่องที่นางได้ก่อน่ะหรือ เป็นอะไรที่เรียบง่ายแต่กลับได้ผลดีเกินคาด สวมบทบาทเรียกร้องความสนใจประหนึ่งดอกสาลี่ต้องฝน ร่ำไห้ประท้วงไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ทางด้านพระเอกนั้นหน่ายใจเหลือจะกล่าว ยอมมาเยี่ยมเยียนนางบางครั้งบางคราว กระทั่งแม่นางร้ายตัวดีอดทนรอไม่ไหวให้ได้ใกล้บุรุษมากกว่านี้ จึงจุดไฟเผาเรือน ผลักความผิดไปให้ ‘หนิงผิง’ ผู้เป็นภรรยาของไห่เทา บ่าวชายที่พบในตอนแรก ความผิดเรื่องจ้างวานพ่อค้าคนเถื่อนยังไม่ทันหาย ความฉิบหายก็ได้เพิ่มมาอีกกระทงแล้ว ใบหน้าโฉมสะคราญมีรอยยิ้มเอือมระอาประดับบนใบหน้า กลอกตามองบนให้กับความร้ายกาจ เอาแต่ใจของนางคนเก่า บทสรุปในตอนนั้นคือนางสามารถลอยตัวเหนือปัญหาที่ได้ก่อ นางยืนกรานหนักแน่นว่าเป็นหนิงผิงที่สะเพร่าวางเชิงเทียนได้ไม่ดี กลับดำกลายเป็นขาว หนิงผิงกลายเป็นแพะรับบาปในครั้งนั้น และยังใช้ประโยชน์ไม่เอาความผิด ขอแลกเปลี่ยนกับความเอาใจใส่ที่มากขึ้นของท่านแม่ทัพ ย้ายตัวนางเข้าเรือนของเขาอย่างหน้าไม่อาย “นางเป็นคนที่พยายามมากอยู่ แต่ความพยายามดันทำให้คนเดือดร้อน อีกทั้งวิธีการที่นางใช้ยังน่ากลัวอีกด้วย นางต้องเป็นคนเช่นไรถึงกล้าจุดไฟเผาเรือนเกือบคลอกตัวเองตาย!” บางครั้งเวลาอ่านวีรกรรมของนางร้ายแต่ละอย่างแล้ว ตัวของนางเองก็แอบนับถือในความใจกล้าและโหดเหี้ยมของนางอยู่ไม่น้อย ทุก ๆ อย่างที่นางทำล้วนนำชีวิตตัวเองไปแขวนทั้งสิ้น เหมือนกับว่าอยากฆ่าตัวตาย แต่ไม่กล้าพอ เลยคิดยืมมือคนอื่นให้ฆ่าตัวเองซะงั้น ที่จริงชีวิตของนางก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย นางเกิดมาเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและชาติตระกูล ฮูหยินเอกหรือ ‘ฮุ่ยเยี่ยน’ บุตรสาวพ่อค้าผู้ร่ำรวยจากทางเหนือตบแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดีจ้าวและให้กำเนิดจ้าวเสวี่ยซินในเวลาถัดมา จนกระทั่งฮูหยินจ้าวได้ตั้งครรภ์อีกท้องหนึ่ง ทว่าเกิดครรภ์เป็นพิษแท้งเด็กในท้อง ประจวบกับ ‘จ้าวฉงซาน’ ผู้เป็นสามีที่ไม่เคยมอบความรักให้นางตลอดกินอยู่กันมาดันรับอนุเข้าจวน อนุผู้นั้นได้ตั้งครรภ์ในเวลาเดียวกันและได้คลอดบุตรชายออกมาหนึ่งคน เด็กคนนั้นก็คือจ้าวเฉียนยี่นั่นเอง หลังจากที่ฮุ่ยเยี่ยนรับรู้เรื่องที่อนุศัตรูหัวใจได้คลอดเป็นบุตรชาย ยิ่งเกิดความแค้นในใจ คิดเพียงว่าหากนางสามารถคลอดลูกชายได้ ความสนใจจากจ้าวฉงซานจะแบ่งปันมาถึงนางบ้าง ความกังวลและความไม่พอใจทำให้นางเลือกที่จะเกลียดชังลูกของตัวเอง ยามนั้นจ้าวเสวี่ยซินอายุเพียงสองปี กลับถูกผลัดเลี้ยงด้วยบ่าวไพร่ในเรือนแทน และแล้วเวลาก็ล่วงผ่านไปถึงสามปี จ้าวเสวี่ยซินอายุย่างเข้าเจ็ดขวบ วันหนึ่งมารดาได้อุ้มเด็กชายตัวเล็กเข้ามา เฉียนยี่ในวัยห้าปี หน้าตาน่ารักน่าชังราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ วันนั้นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นรอยยิ้มประดับบนใบหน้างดงามของผู้เป็นมารดา ที่ผ่านมานั้นนางไม่เคยเข้าใจว่าทำไมมารดาถึงไม่เคยอุ้มตนหรือพูดคุยกับตนด้วยความรักเฉกเช่นมารดาคนอื่น กับบิดาเองก็ไม่ค่อยได้พบหน้า เนื่องจากงานรัดตัว แต่ในวันนี้เด็กน้อยรับรู้แล้วว่า สาเหตุไม่ได้มาจากใครแต่เป็นเพราะนางไม่ใช่ที่รักของพวกเขาเท่านั้นเอง ยิ่งผ่านไปนานวัน นางยิ่งรับรู้ถึงความรักที่ไม่เท่ากัน จิตใจของนางเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ และมันได้เกิดเป็นความแค้นใจนับแต่นั้นมา กล่าวคือ นางเป็นเพียงแค่เด็กมีปัญหาคนหนึ่ง ที่ขาดความรักความอบอุ่นเท่านั้นเอง อยู่ๆจ้าวเสวี่ยซินก็สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนใบหน้าของตัวเอง “อ่า.. ให้ตายเถอะเหตุใดถึงร้องไห้กัน.." มือบางยกขึ้นปาดน้ำตา แต่ปาดเท่าไหร่น้ำตามันกลับไหลออกมาเองเสียดื้อๆ หรือนี่เป็นความรู้สึกของนางคนเก่า.. "ร้องไห้ออกมาเถิด ที่ผ่านมาเจ้าคงเหนื่อยมามากแล้ว” นางบอกความรู้สึกเก่าๆภายในใจของนางร้ายคนก่อน.. แว๊บแรกนางสงสารแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องตายอนาถแทนแม่นางร้ายนั่นก็เลือกที่จะถีบความสงสารเก็บกลับไปที่เดิม! จ้าวเสวี่ยซินนั่งร้องไห้ไปเช็ดน้ำตาและขี้มูกไปอยู่พักใหญ่ กว่าจะสงบลงได้เทียนก็หายไปกว่าครึ่งแล้ว “เห้อ” นางถอนหายใจ นางไม่ได้อยากร้อง แต่น้ำตามันกลับไหลลงมาไม่ยอมหยุดเอง นางนิ่งไปสักพักก่อนจะนึกถึงใบหน้าน่ารักแก้มกลมป่องของเฉียนยี่ในความทรงจำ พลันใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้าง ใครเห็นคงตกใจ เมื่อสักครู่ยังร้องไห้ปานขาดใจเป็นชั่วยาม หยุดร้องไม่ทันรอให้น้ำตาแห้งก็ยิ้มยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองร้องกรี๊ดกร๊าดในลำคอคนเดียวเสียอย่างนั้น น่ารัก! มีโอกาสได้เห็นหน้าเฉียนยี่ตอนเด็ก นางก็พร้อมตายจากไปอย่างสงบศพสีชมพูเจ้าค่ะ! พูดถึงเฉียนยี่ของนางแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง นางอยากไปดูอาการเขาเสียตอนนี้เลย "เอาไปหมดเนี่ยแหละ!" ไม่ต้องคิดให้มากความ ทันทีที่นึกถึงร่างกายก็กอบโกยผ้าห่มและหมอนบนเตียง เตรียมพร้อมจะหอบผ้าหอบผ่อนไปหาไอต้าวของนางทันที "เฉียนยี่รอข้าก่อน มัมมี้คนนี้จะตามไปหาเจ้าแล้ว ในเมื่อนางเอกไม่คิดจะเหลียวแลเจ้า ทิ้งเจ้าไว้ไปพลอดรักกับพระเอกสองคน …เจ้าก็อย่าได้น้อยใจไปเลย เจ้าจะมีข้าเนี่ยแหละคอยดูแลแทนแม่บัวขาวเอง อะ…โอ้ยเจ็บๆ" นางพูดบ่นกับตัวเองพลางนิ่วหน้าไปมาด้วยความปวดแผลที่ข้อมือ ผ้าห่มก็ไม่ได้หนักเลยสักนิดร่างนี้มันอ่อนแอต่างหาก! “คุณหนูตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงทุ้มต่ำติดเฉื่อยชานิดๆ ดังขึ้นมาจากด้านนอกขัดจังหวะติ่งกำลังคลั่ง จ้าวเสวี่ยซินเงยหน้าจากฝ่ามือมองไปทางเสียงเรียก พบเงาตะคุ่มหนึ่งยืนอยู่ภายหน้าประตู “...” นางสังเกตเห็นแสงสีส้มเริ่มระบายบนขอบฟ้าจึงรู้ว่านี่ยังอยู่ในช่วงเช้ามืด นางวางผ้าห่มและหมอนลงก่อนผินหน้ากลับไปมองยังประตูอีกครั้งก็พบว่าชายผู้นั้นยังคงยืนอยู่ไม่ยอมขยับ จ้าวเสวี่ยซินแปลกใจเป็นทุนเดิม เพราะหากเป็นไปตามในนิยายคนที่ปลุกนางคนแรกย่อมต้องเป็นหนิงผิงสิ หรือเขาจะเป็นไห่เทา “ไห่เทาหรือ เพิ่งเช้ามืดเจ้ารีบมาชวนข้าไปตักบาตรหรือไร” “....” คนข้างนอกเงียบเป็นเป่าสาก จ้าวเสวี่ยซินอมยิ้มขณะเลื่อนมือไปหยิบเสื้อคลุมนำมาสวม “ฮ่าๆ ข้าล้อเจ้าเล่น ข้าตื่นแล้ว รอประเดี๋ยวข้าเปิดประตูให้” “..ข้าไม่ใช่ไห่เทาหรอกขอรับ ตัวข้ามีนามว่า ‘ชิงเหยา’ ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าคอยคุ้มกันท่านในระหว่างที่ท่านอยู่ที่นี่ วันนี้ข้ามาเพื่อรายงานตัวกับท่านขอรับ” มือบางที่กำลังกระชับเสื้อคลุมหยุดชะงัก การส่งองครักษ์มาไม่เท่ากับว่าคิดจะจับตามองนางทุกฝีก้าวหรอกรึ! หึ! “แล้วบ่าวข้างกายข้าเล่า ท่านแม่ทัพได้พูดถึงหรือไม่” “ขอรับ.. หนิงผิงจะเป็นคนดูแลคุณหนูยามอยู่ในเรือนเป็นหลัก แต่หากนอกเรือนจะเป็นหน้าที่ของข้าขอรับ” ได้ยินเช่นนั้นก็พอโล่งใจขึ้นหลายส่วน นางสวมชุดคลุมเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยุดด้านหน้าประตู ตั้งใจจะขอดูหน้าพ่อหนุ่มองครักษ์ที่ถูกส่งมาเสียหน่อย เมื่อประตูเปิดออกก็พบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม ผมถูกรวบตึงไว้ด้านหลังเผยสันกรามเด่นชัด คิ้วหนาเฉียงขึ้นเล็กน้อยดูดุรับกับดวงตาดูเบื่อหน่ายของเจ้าตัว จ้าวเสวี่ยซินซึ้งน้ำตาปริ่ม นอกเหนือจากตัวละครหลักทั้งสองอย่างเฉินเฟยหยางและเฉียนยี่แล้ว ตั้งแต่ทะลุมิติมานางเห็นแต่มนุษย์ลิง เครารกรุงรัง บ้างก็หนวดยาวเป็นปลาหมึก บ้างก็ดีดตัวม้วนขึ้นตรงมุมปากเป็นโจรสลัดกลางทะเล ไม่น่ามองเลยสักนิด หญิงสาวเช่นจ้าวเสวี่ยซินที่ชื่นชอบของสวยๆ งามๆ เห็นองครักษ์ประจำตัวที่ถูกส่งมาแล้วก็ขอยกนิ้วให้พ่อพระเอกสักหนึ่งที ทำดีมาก! ทางด้านชิงเหยา เขาเคยได้ยินชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวมาอยู่บ้าง การรับหน้าที่ในครั้งนี้เขาจึงไม่ยินยอมเสียเท่าไหร่ แต่ดูเผิน ๆ แล้ว นางก็เป็นเพียงหญิงสาวงดงาม ดูไม่มีพิษมีภัยคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะปักใจเชื่อเพียงเพราะภาพลักษณ์น่าทะนุถนอมของนางย่อมไม่ดีเท่าไหร่ จากคำเตือนเพื่อนร่วมรบและคำลือหนาหูแล้ว คงต้องรอดูไปก่อนว่านางจะงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ หรือ ร้ายกาจดั่งดอกพิษกันแน่ “ชิงเหยา หนิงผิงจะมาเมื่อใด” อยู่ๆ นางก็ดึงบทสนทนาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชิงเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือนางกำลังไม่พอใจที่ไม่มีคนมาปรนนิบัตินางงั้นหรือ “จวนแม่ทัพไม่ได้มีเบี้ยเพียงพอให้รับบ่าวเข้ามามากนัก ยามนี้หนิงผิงจึงยังคงทำหน้าที่อยู่ในเรือนแม่ทัพเฉิน และคุณหนูหลานอี้หนาน จากนั้นจึงจะมาพบท่านตามลำดับขอรับ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็แอบหวั่นใจ ในเมื่อทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณหนูตระกูลจ้าวผู้นี้หลงรักท่านแม่ทัพเฉินมากเพียงใด นางเขียนจดหมายส่งมาให้ในทุก ๆเจ็ดวันไม่เคยขาดมีแต่เกินมาตลอดห้าปี หากรู้ว่าตนเองถูกสนใจเป็นลำดับหลังรองจากศัตรูหัวใจอย่างบุตรสาวราชครูแล้ว นางจะบังเกิดโทสะอาละวาดยังเรือนแม่ทัพทำร้ายคุณหนูอี้หนานดั่งที่เคยได้ยินมาหรือไม่ แต่มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดไว้สักนิดเดียว “อู้ววว นั่นดอกอะไรรึ” “ดอกเถาฮวาขอรับ” “ว้าววว! ดอกบัวดอกใหญ่นัก ใช้อะไรปลูกรึ” “ข้าไม่มั่นใจนัก.. ไห่เทาเป็นคนปลูกมัน คุณหนูถามไห่เทาได้เมื่อพบเข..” “โว้ววว น้ำใสยิ่ง สะท้อนใบหน้าข้าเหมือนดั่งกระจกเลย” “...” ชิงเหยาเก็บคำกลืนลงคอ ดูเหมือนว่านางจะถามและพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยไม่ได้ต้องการคำตอบ “เจ้าว่าไหม” นางหันกลับมาถาม คนที่คิดว่าคงไม่ต้องการคำตอบสะอึกน้ำลายในลำคอ ภายในใจชิงเหยาถึงกับเผลอร้องตะโกนอีกรอบว่า อะไรกัน!! “ขอรับ..” “อืม เจ้าเคยกินเมล็ดบนดอกบัวหรือไม่” "ไม่ขอรับ" เจ้า เจ้า เจ้า …และคำถามอื่น ๆอีกมากมาย ระยะทางเพียงจากหน้าเรือนของนางจนถึงเรือนท่านเฉียนยี่ห่างกันแค่หกสิบก้าวเดิน ไม่ถึงสามเค่อ นางยังคงพูดไม่หยุดจนกระทั่งถึงหน้าเรือน! ชิงเหยาคนพูดน้อย วันหนึ่งพูดไม่ถึงสิบประโยค กลายเป็นว่าเขาพูดเกินกว่ายี่สิบประโยคภายในวันเดียว! และภายในแค่สามเค่ออีกด้วย! “เจ้าดูเหนื่อยๆ นะชิงเหยา” “....ไม่ขอรับ” ชิงเหยาเกือบสะดุ้งหยุดฝีเท้าลงกะทันหันเมื่อคุณหนูเสวี่ยที่หันหลังพูดไม่หยุดผินหน้ากลับมาถามเขา ชายหนุ่มกลั้นใจตอบและมันเป็นประโยคที่ยี่สิบสองของวัน ..บนใบหน้าของชายหนุ่มแทบจะมีคำว่า ‘ข้ามาทำอะไรที่นี่’ แปะหราอยู่บนใบหน้า “ขอบคุณเจ้าที่บอกทางมายังเรือนแก่ข้าและเป็นเพื่อนคุยข้าตลอดทาง” จ้าวเสวี่ยซินขยับยิ้มให้พลางหัวเราะเสียงใสเมื่อเห็นสีหน้าเขาเช่นนั้น ชิงเหยามองนางตอบด้วยสายตานิ่งๆ เขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาเล่าลือกันถึงความร้ายกาจ วันนี้เขาได้ประสบกับตัวเอง กล่าวได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด “ขอโทษที่ทำให้เจ้าวุ่นวายแต่เช้า ระหว่างนี้ฝากเจ้าบอกหนิงผิงให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าข้าอยู่ที่เรือนรับรองหลังเล็ก” จ้าวเสวี่ยซินไม่ได้หอบผ้าหอบผ่อนมาอย่างที่ตั้งใจ หากนางต้องการพักใกล้เรือนของเฉียนยี่ที่นั่นคงมีผ้าห่มอะไรให้พร้อมอยู่แล้ว นางคงติดนิสัยมาจากโลกเก่าเกินไปที่ชอบใช้ของที่ตัวเองใช้มากกว่าของใหม่ “ขอรับ” ชิงเหยาตอบรับคำ รู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดเก่งขึ้นในรอบยี่สิบปี “ไม่คิดเลยว่าพอฟื้นขึ้นมาได้ เจ้าก็ตรงดิ่งมาหาน้องชายเจ้าทันที” เสียงทุ้มกังวานสายหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ปรากฏร่างชายหนุ่มสวมชุดเกราะเต็มยศยืนกอดอกเอาไว้หลวมๆ ผมถูกรวบเอาไว้ด้านหลังเผยใบหน้าคมสันหล่อเหลา นัยน์ตาคมตวัดมองทั้งสองสลับกัน ชิงเหยานั้นราวกับถูกกระแสไฟจี้ ขนลุกเกรียวตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงโคนผม หันหลังกลับไปยังเจ้าของต้นเสียงที่เคยตามหลอกหลอนยามฝึกและยามรบ “คำนับท่านแม่ทัพเฉินขอรับ!” เขาคุกเข่าลงกับพื้น สองมือประสานเข้าหากัน ก้มหน้าลงตามอย่างที่เคยฝึกมา “ทะ.. ท่านแม่ทัพ!” จ้าวเสวี่ยซินเองก็เผลอตกใจเกือบทรุดเข่าลงทำความเคารพตามชิงเหยาไปด้วยอีกคน ดีที่นางรั้งขาตัวเองไว้ได้ทันไม่งั้นคงได้ขายขำต่อหน้าพ่อพระเอกนี่อีกรอบ แสงสว่างของสีส้มจางๆบนท้องฟ้าส่องเป็นเอฟเฟคประกอบด้านหลังเจ้าของใบหน้าหล่อล่มเมือง ทำเอานางต้องหรี่ตามองเขาพร้อมกับคิดในใจว่า อื้อหือ นี่หล่อจนแสบตาหรือว่าแดดมันจ้ากันล่ะเนี่ย..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม